สำหรับผมคือการเรียนมหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนสาขาวิชาแบบไม่แยแสอนาคตเลย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจบแล้วเอาไงต่อ ทั้ง ๆ ที่ใจชอบทางสถาปัตย์ แต่ก็ดันไม่ได้ลงสอบวิชาความถนัดทางสถาปัตย์ ต้องไปเรียนวิศวะแทน เรียนอยู่ตั้งสามปีแล้วดันติสต์แตกคิดว่ามันไม่ใช่ตัวเอง ขอทางบ้านลาออกแล้วจะมานอนอยู่ที่บ้านเฉย ๆ อยู่ไปอยู่มารำคาญคนรอบ ๆ บ้าน ชอบมองเราด้วยสายตาแปลก ๆ เลยขอพ่อไปเรียนมหาวิทยาลัยต่อ แต่พ่อไม่ยอมส่งเรียนแล้วไม่คุยด้วยเลย แม่เลยช่วยส่งคนเดียว แม่ขอให้เรียนวิชากฎหมายที่พ่อชอบ เพื่อที่พ่อจะได้มองเราในแง่ดีขึ้นบ้าง ก็โอเค ยอมเรียนนะ เพราะตอนนั้นขอไปไกล ๆ บ้านก่อน เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนที่รามคำแหงในตอนที่เพื่อนร่วมชั้นมัธยมเขาเรียนปี 4 กันแล้ว แรก ๆ ก็สอบผ่านเยอะ แต่พอเพื่อน ๆ ทยอยจบหายหน้าหายตากันไปหมด ผมก็ไม่เข้ามหาวิทยาลัยเลย จะไปเฉพาะตอนมีสอบ วันไหนมีสอบแต่ตื่นไม่ไหวก็ไม่ไปสอบเอาดื้อ ๆ ผลคือผมใช้เวลาไปเปล่า ๆ กับการนอนเล่นที่ห้อง กับออกไปร้านอินเตอร์เน็ต อยู่ 5 ปีเต็ม โดยที่เพิ่งเก็บหน่วยกิตได้เกินครึ่งทางไปนิดหน่อย
แม่จะโทรมาถามผมตลอดว่าใกล้จะจบหรือยังลูก แม่เป็นกำลังใจให้นะ มันยากตรงไหนก็ต้องพยายามนะ แม่รู้ว่าลูกต้องทำได้ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานแม่ผมเริ่มร่างกายทรุดโทรม จิตใจย่ำแย่ สมัยนั้นเรายังไม่รู้จักคำว่าโรคซึมเศร้าอย่างแพร่หลายเหมือนตอนนี้ แต่คิดว่าแม่มีอาการเข้าใกล้มันไปทุกที วันนึงแม่โทรมาถามผมตรง ๆ ว่าปีนี้จะจบไหม เพราะแม่หมดแรงแล้วลูก แม่อยากพักแล้ว อายุแม่จะ 60 แล้ว ลูกต้องบอกแม่ตรง ๆ นะ ถ้าไม่ไหวลูกก็กลับมาอยู่บ้าน แต่ต้องรู้ว่าถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้วลูกจะลำบากมาก จะหวังพึ่งญาติพี่น้องที่ไหนไม่ได้อีก แล้วแม่ก็ร้องไห้อยู่นาน ผมได้แต่นั่งฟังแล้วน้ำตาไหล เหมือนที่ผ่านมาผมอยู่แต่ในโลกที่ตัวเองสร้างขึ้น มีความสุขกับมัน โดยไม่รู้ว่าคนรอบข้างต้องเจ็บปวดแค่ไหน เพราะผมหนีมาจากปัญหาแล้วปล่อยให้ครอบครัวรับแทน วันนั้นเป็นวันที่ผมคิดได้ ใช้เวลา 1 ปีเต็มในการเก็บหน่วยกิตจนครบและขอจบการศึกษา ใช้เวลาอีก 2 - 3 ปี ทำงานในหน่วยงานราชการ จนสอบบรรจุเข้ารับราชการได้สำเร็จ
ถ้าผมเลือกได้ ผมคงเลือกที่จะเรียนกฎหมายตั้งแต่แรก และสอบบรรจุเข้ารับราชการให้ได้ตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ ป่านนี้คงก้าวหน้าในสายงาน หรือมีทางเลือกชีวิตที่หลากหลายกว่านี้ พ่อกับแม่ผมคงมีช่วงชีวิตที่มีความสุขยาวนานกว่านี้ แต่ตอนนี้ชีวิตก็ดีครับ แค่รู้สึกเสียดายกับชีวิตในช่วงนั้นจริง ๆ
มีจุดไหนที่คิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตคุณ แล้วถ้ากลับไปแก้ไขได้ยังอยากเลือกทางเดิมหรือลองทางใหม่?
แม่จะโทรมาถามผมตลอดว่าใกล้จะจบหรือยังลูก แม่เป็นกำลังใจให้นะ มันยากตรงไหนก็ต้องพยายามนะ แม่รู้ว่าลูกต้องทำได้ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานแม่ผมเริ่มร่างกายทรุดโทรม จิตใจย่ำแย่ สมัยนั้นเรายังไม่รู้จักคำว่าโรคซึมเศร้าอย่างแพร่หลายเหมือนตอนนี้ แต่คิดว่าแม่มีอาการเข้าใกล้มันไปทุกที วันนึงแม่โทรมาถามผมตรง ๆ ว่าปีนี้จะจบไหม เพราะแม่หมดแรงแล้วลูก แม่อยากพักแล้ว อายุแม่จะ 60 แล้ว ลูกต้องบอกแม่ตรง ๆ นะ ถ้าไม่ไหวลูกก็กลับมาอยู่บ้าน แต่ต้องรู้ว่าถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้วลูกจะลำบากมาก จะหวังพึ่งญาติพี่น้องที่ไหนไม่ได้อีก แล้วแม่ก็ร้องไห้อยู่นาน ผมได้แต่นั่งฟังแล้วน้ำตาไหล เหมือนที่ผ่านมาผมอยู่แต่ในโลกที่ตัวเองสร้างขึ้น มีความสุขกับมัน โดยไม่รู้ว่าคนรอบข้างต้องเจ็บปวดแค่ไหน เพราะผมหนีมาจากปัญหาแล้วปล่อยให้ครอบครัวรับแทน วันนั้นเป็นวันที่ผมคิดได้ ใช้เวลา 1 ปีเต็มในการเก็บหน่วยกิตจนครบและขอจบการศึกษา ใช้เวลาอีก 2 - 3 ปี ทำงานในหน่วยงานราชการ จนสอบบรรจุเข้ารับราชการได้สำเร็จ
ถ้าผมเลือกได้ ผมคงเลือกที่จะเรียนกฎหมายตั้งแต่แรก และสอบบรรจุเข้ารับราชการให้ได้ตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ ป่านนี้คงก้าวหน้าในสายงาน หรือมีทางเลือกชีวิตที่หลากหลายกว่านี้ พ่อกับแม่ผมคงมีช่วงชีวิตที่มีความสุขยาวนานกว่านี้ แต่ตอนนี้ชีวิตก็ดีครับ แค่รู้สึกเสียดายกับชีวิตในช่วงนั้นจริง ๆ