บ้าน ผีสิง

กระทู้สนทนา
บ้านผีสิง......
 
ราส์ส กิโลหก
 
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปี 2521 ตอนนั้นผมถูกคำสั่งโยกย้ายออกจากส่วนกลาง ซึ่งเป็นต้นสังกัดเดิม  มายังพื้นที่บ้านเกิดจังหวัดทางภาคกลาง  โดยคำสั่งของกรมฯ  แต่ทางจังหวัดส่งตัวให้ไปประจำที่สำนักงานที่ดินอำเภอฯ ซึ่งขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่เพียง 2 คนรวมผมผู้มาใหม่ด้วยเป็น 3 คน ตัวสำนักงานเป็นอาคารไม้สองชั้น ใต้ถุนโล่ง ตั้งอยู่ใกล้ๆที่ว่าการอำเภอ  ภูมิประเทศของอำเภอฯในยุคนั้น พื้นที่ป่ายังอุดมสมบูรณ์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
 
พื้นที่ดินทั่วไปเป็นป่า มีการจับจองและเข้าทำประโยชน์โดยยังไม่หลักฐานทางที่ดิน เป็นเหมือนที่ดินหลักลอย ต่างคนต่างก็อ้างสิทธิ์กันเอง  ทำให้เกิดผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เข้ามารังแกชาวบ้านตาดำๆ ฉะนั้นการทะเลาะวิวาทเข่นฆ่ากันจึงเป็นเรื่องธรรมดาของพื้นที่นี้  คนแพ้ต้องตายกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปตามระเบียบ  กฎหมายป่ายังคงความเฉียบขาดใครแข็งแรงกว่าเป็นผู้ชนะ เรื่องความผิดถูกของกฎหมายไม่ต้องพูดถึงเพราะ กฎหมายกันลูกปืนไม่ได้    
 
นายเบิ้ม อายุประมาณ 60 ปีนำที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่เกือบ 50 ไร่ มายื่นคำขอรังวัดแบ่งแยก เพื่อเตรียมไว้ให้ลูกซึ่งมีเพียงคนเดียว  ส่วนหนึ่งจะขายเอาเงินมาใช้ยามแก่เฒ่า และอีกส่วนจะยกให้ลูกไว้ทำกิน
 
ผมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอ ที่ดินแปลงนี้  ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังเป็นห้วยสาธารณประโยชน์ ด้านข้างระบุว่าติดภูเขา เรียกว่าธรรมชาติอยู่ล้อมรอบก็ว่าได้ หลับตานึกถึงพื้นที่ของตำบลนี้ คิดว่าว่าคงได้เดินทางกันสนุกแน่ เพราะตั้งอยู่ห่างไกลมากๆ ถ้ามีถนนลาดยางดีๆคงไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่ถนนหนทางจะเป็นดินลูกรัง ผิวถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เหมือนเบ้าขนมครก
 
ผมกำหนดวันทำการรังวัดในอีก 15 วันข้างหน้า  โดยจะเดินทางไปในพื้นที่ด้วยตนเอง นัดเจอกัน ที่วัดแห่งหนึ่ง วัดนี้อยู่ห่างจากที่ดินของแกประมาณ 5 กิโลเมตร โดยนัดเจอกันใน เวลา 10 โมงเช้า   
 
เมื่อถึงวันที่กำหนดผมและลูกน้องคืออ้ายเหวง พร้อมด้วยเทปวัดระยะ เอกสารเกี่ยวกับเรื่องการรังวัด เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็น พากันขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ 2 ล้อขนาด 100 ซีซีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ เอาผ้าพันหน้าเหลือแต่ลูกตา  สวมหมวกผ้ามีสายมารัดที่คางกันหลุดเวลาขับขี่  ส่วนลูกน้องสวมหมวกไหมพรมคลุมทั้งหัว-หู ยังไม่พอ มันยังใส่แว่นตาสีดำ  เรารีบเดินทางกันแต่เช้าเพราะรู้ว่าเส้นทางมันไกล ขับขี่กันไปท่ามกลางสภาพเส้นทางเหมือนผิวมะกรูด   เจ้าสองล้อเครื่องยนต์ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์ มันพาเราผ่านหลุมโลกพระจันทร์จำนวนนับร้อยนับพันหลุม ใช้เวลานานเป็นหลายชั่วโมง จนมาถึงเป้าหมายคือบริเวณวัด 
 
จอดรถใต้ต้นโพธิ์ใหญ่หันหน้ามองไปรอบๆ ผมถอดหมวกและเอาผ้าพันหน้าออก เอาหมวกและผ้ามาตีใส่กัน ฝุ่นสีแดงฟุ้งออกมาเป็นกระบุง
 
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด..
 
เสียงห้าวๆดังมาจากทางด้านหลัง 
 
“มารอลุงเบิ้มหรือครับ เจ้านาย”
 
ชายหนุ่มรูปร่างผอมเกร็ง ตัวดำๆ 
 
“ใช่ๆ” ไอ้เหวงรีบบอก
 
“พ่อใช้ให้ผมมารับแทนครับ รีบไปกันเถอะเพราะทางไปลำบาก เดี๋ยวจะมืด”
 
ลูกชายลุงเบิ้มไม่ได้พูดอะไร หันไปที่รถจักรยานเก่าๆที่พิงอยู่ที่ต้นไม้แล้วก็ขึ้นขี่ออกนำหน้าไป
 
ผมคว้ารถมอเตอร์ไซค์รีบติดเครื่องตามหลังไปทันที  รถจักรยานเก่าๆนำหน้าไปทางด้านหลังของวัด เลยวัดไปไม่ไกลต้องเลี้ยวแยกเข้าไปในทางเดินเล็กๆ  พอเห็นทางข้างหน้าผมแทบสะอึก เส้นทางที่จะไปมันไม่ควรเรียกว่าทาง เพราะไม่มีสภาพเป็นทางเสียเลย   คงเป็นทางกระบือในสมัยโบราณ ถ้าเป็นกระบือเดินคงไม่ลำบาก  แต่เป็นนี่รถเครื่องสองล้อและรถของผมไม่ใช่รถวิบากเสียด้วย  ทำไงได้ก็ต้องบุกเข้าไป  ขี่ๆไป รถจะล้มก็หลายหนเพราะบางที่พื้นเละเป็นโคลน บางทีก็เป็นเนินดินมีมีเศษหินแข็งๆทำให้รถไหลลื่น 
 
เสียงรถดังบ้างเบาบ้างตามแต่สภาพพื้นทาง บางครั้งต้องบิดแรงๆเพื่อให้รถพ้นจากหลุม  ผมสงสารรถคู่ชีพจริงๆ เนื่องจากแทบจะวิ่งไม่ได้ต้องคืบคลานไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ต้องหลบหลุมหลบบ่อ  บางบ่อกว้างขนาดควายลงไปนอนแช่ได้สบาย พี่ดำไม่ต้องพูดถึงพี่แกขี่รถจักรยานไปฉิวท่าทางเหมือนขี่รถในทางเลียบ 
 
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เส้นทางเริ่มเข้าไปในเขตที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย นี่ละหรือ ที่เขาเรียกว่า ป่า ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของป่า มันเยือกเย็นและวังเวง เหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนที่ลึกลับทุกสิ่งทุกอย่างมองดูแปลกตา ถ้าเป็นตอนกลางคืนจะมีบรรยากาศที่น่ากลัวขนาดไหน  .
 
อ้ายเหวงเดินเตร่มาหา ขณะที่ผมกำลังเอาขายันประคองไม่ให้รถล้มเพราะพื้นทางช่วงนี้เป็นลอนเหมือนกระเบื้องลอนคู่
 
“ลูกพี่ ผมว่ามันยังไงๆอยู่นา  ทำไมยังไม่ถึงซักที ดวงตะวันก็มองไม่เห็น  มีแต่กิ่งไม้ใบไม้ กางปิดฟ้าจนมิดเลย”
 
“เลยโค้งข้างหน้าก็ถึงแล้วครับ” นายดำหันหน้ามาพูด
 
ผมกับอ้ายเหวงหันมามองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไร คิดว่าเดี๋ยวไปถึงแล้วรีบๆรังวัดให้เสร็จเร็วๆจะได้กลับบ้านกัน วัดที่ดินมาก็หลายที่หลายแปลง ไม่มีลำบากลำบนเหมือนแปลงนี้เลย ผมชักหวั่นๆใจ  คิดอยากจะกลับเสียตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่   
 
พอพ้นริมเขาด้านหน้าตามที่พี่ดำตับเป็ดบอกไว้   ก็ถึงบริเวณที่ดินของลุงเบิ้ม  พื้นที่ดินปลูกต้นมันฯเป็นส่วนใหญ่ มีบ้านหลังคามุงแฝก อยู่ 2 หลังเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร  ทุกหลังตั้งในทำเลที่ดีเพราะสร้างอยู่ตามริมลำธาร ถ้าใครชอบธรรมชาติแท้ๆนี่แหละใช่เลย.. 
 
ที่ดินเนื้อที่ 50 ไร่ไม่ใช่น้อยๆ มองเข้าไปมันดูกว้างใหญ่ไพศาล  และด้านข้างๆยังมีทั้งลำธารและภูเขา  โดยเฉพาะลำธารเส้นนี้เป็นลำธารธรรมชาติมีสภาพคดเคี้ยว เหมือนถนนที่เข้ามาที่ดินลุงเบิ้ม  ผมมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ เกือบเที่ยงแล้ว จะเสร็จทันหรือเปล่า ? ที่หนักใจไม่ใช่อะไร เพราะถ้าออกจากที่ดินช่วงเวลาเย็น มันจะไปมืดกลางทาง
 
จอดรถเสร็จลงจากรถด้วยความเมื่อยขบ ขยับแข็งขาให้ผ่อนคลาย  ลุงเบิ้มในชุดชาวสวนมือถือมีดขอ เดินออกมาจากดงกล้วยที่ปลูกอยู่หลายกลุ่มตามแนวริมลำธาร 
 
“สวัสดีเจ้านาย เดินทางคงลำบากสักหน่อย”  ลุงเบิ้มร้องทักอย่างอารมณ์ดี 
 
“สวัสดี ลุง”  ผมตอบรับตามมารยาท  
 
“คืนนี้นอนค้างที่นี่สักคืน นะ  ผมว่ารังวัดเสร็จไม่ทันในวันนี้แน่” 
 
“โอ๊ย ! ไม่ไหวละลุง รีบๆไปวัดกันให้เสร็จวันนี้แหละ” เสียงอ้ายเหวงร้องเสียงหลง มันคงกลัว
 
ลุงเบิ้มหันหน้ามาทางผม  
 
“ไหนๆก็มาจนไกล ไม่ถือโอกาสพักผ่อนสักวันหรือครับ เหล้ายาปลาปิ้ง  ไก่ป่าผมก็เตรียมไว้หลายตัว เร่งรีบไปทำไมเดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่าๆ”
 
“ลูกพี่ว่าไง !  ลุงแกมีน้ำใจดี ผมว่าอย่าไปขัดศรัทธาแกเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้วค้างสักคืนนะ” ไอ้เหวงอยากค้างที่นี่
 
ตอนนั้นผมยังเป็นโสด อ้ายเหวงก็ไม่มีเมีย  การจะไปหลับนอนที่ไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ที่ผมหวาดๆก็เพราะ ที่ตรงนี้มันดูลึกลับและเปลี่ยวๆชอบกล วิเคราะห์ดูแล้วตอนนี้เวลาเที่ยงวันเข้าไปแล้ว รังวัดกันยังไงก็คงไม่เสร็จหรือเสร็จก็คงเกือบมืด นึกภาพตอนกลับกันมืดๆ มันคงหนักกว่าที่จะยอมนอนค้างคืนเป็นแน่ ผมตัดสินใจอย่างหลังคือนอนค้างสักคืน คิดว่าคงไม่ถึงกับช็อกตายคาป่า.. 
 
ลุงเบิ้มมองหน้าผม  รอคำตอบ..
 
“ก็ได้ครับลุง นอนเล่นที่บ้านป่าสักคืน ขอดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติล้วนๆ”  
 
“ไปๆกินข้าวกลางวันกันก่อน เดี๋ยวจะทำอะไรต่อค่อยว่ากัน” 
 
เจ้าของบ้านพูดด้วยความดีใจ พร้อมพาพวกเราไปที่บริเวณบ้านไม้หลังแรกซึ่งสร้างห่างจากลำธารไม่มากนัก ด้านหน้าบ้านหันไปทางลำธาร ตรงริมตลิ่งทำเป็นสะพานเล็กๆยื่นออกไปประมาณ 2 เมตร เพื่อใช้เดินไปตักน้ำใช้หรือนั่งเล่น..สายน้ำในลำธารไหลเอื่อยๆ ช่วงที่ไหลผ่านโขดหินน้ำจะแตกเป็นฟอง เสียงดังซ่าๆ 
 
ลุงเบิ้มชี้มือไปที่แคร่ไม้  ซึ่งวางอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านคลุมเป็นพื้นที่กว้าง
 
“เจ้านายนั่งรอที่นี่ก่อน  เดี๋ยวผมจะจัดอาหารมากินกันที่นี่”  พร้อมกับเดินหายเข้าไปในบ้าน
 
ผมวางสัมภาระต่างๆลงบนแคร่ไม้ ในใจคิดว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะเริ่มงานทันที ทำงานให้เสร็จภายในวันนี้ เพราะดูท่าแล้วคืนนี้คงได้ฉลองกันเต็มที่แน่ๆ เหล้าป่ากับไก่ป่า และบรรยากาศที่แสนจะสุดยอดแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ
 
การรังวัดที่ดินในสมัยนั้นคงเทียบไม่ได้กับสมัยนี้ มันเหมือนทำแผนที่สังเขป ช่วงไหนที่ขอบเขตคดโค้งมากๆก็ตัดให้ตรงเพื่อสะดวกแก่การรังวัด  ความถูกต้องตรงกับความเป็นจริงคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื้อที่จากการรังวัดไม่ต้องพูดถึงมันคงเพี้ยนพอสมควร  แต่คงไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ เพราะที่ดินสมัยนั้นราคาต่ำแทบจะติดดิน
 
ลุงเบิ้มยกสำรับข้าวออกมาเอง แกคงเตรียมไว้แล้ว พอยกจานชามมาให้จนครบแล้วก็ขอตัวเข้าบ้าน 
 
“เชิญตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมจะไปเตรียมไม้และมีด ตามที่เจ้านายสั่ง”
 
แกไม่ยอมนั่งกินข้าวกับเรา  เพราะก่อนหน้านั้นผมบอกกับลุงเบิ้มว่า เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วจะลุยรังวัดที่ดินให้เสร็จภายในวันนี้ ถึงจะมืดค่ำก็จะทำให้เสร็จ ผมไม่ชอบทำงานครึ่งๆกลาง ลำบากซะที่เดียว จะได้หมดห่วง  
 
ข้าวร้อนๆ ต้มยำไก่ ผัดเผ็ดปลาดุก น้ำปลาพริกมะนาว น้ำพริกและผักสดๆ น้ำฝนใส่ขันลงหิน(ขันสีทองเหลือง) ทุกอย่างสดๆซิงๆเรียกว่าเก็บจากต้น จับจากบ่อ รวมกับฝีมือแบบป่าๆ อร่อยจนลืมอิ่ม 
 
เมื่อจัดการกับอาหารมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว..เราเริ่มทำงาน
 
ลุงเบิ้มเดินนำหน้า  เราเริ่มต้นทำการรังวัด  นายดำลูกชายลุงเบิ้มมาช่วยกันอีกแรง เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ งานเสร็จเกือบมืด.  
 
หลังจากทำงานกันเสร็จ เดินกันเป็นแถวเรียงหนึ่ง .เพื่อกลับที่พัก
 
“เดี๋ยวเจ้านายกับลูกน้อง  นอนที่บ้านหลังแรกนะครับ  ” ลุงเบิ้มพูดกับผม
 
“อ้าวแล้วลุงจะไปนอนที่ไหนละครับ”
 
“ไม่ต้องห่วง ผมนอนตรงไหนก็ได้ ที่นี่มันถิ่นผม เจ้านายอาบน้ำอาบท่าให้หายเหนื่อย เดี๋ยวผมจะจัดไก่ย่างและเหล้าป่าแรงๆให้กินกัน”
 
ตะวันเคลื่อนหายไปพร้อมกับแสงสว่าง  เหมือนตะเกียงที่หรี่ลงๆจนดับไป  ความมืดคืบคลานเข้ามาแทนที่ เหมือนทุกเมื่อเชื่อวัน มันเกิดหมุนเวียนมาแล้วไม่รู้กี่สิบๆล้านครั้ง ธรรมชาติช่างน่าแปลก มีมืดมีสว่าง มีขั้วบวกมีขั้วลบ มีผู้ชายผู้หญิง มีกรดมีด่าง และมีความเป็นกับความตาย...
 
ที่ชายคาบ้านมีตะเกียงน้ำมันแขวนไว้ 1 ดวงเพื่อให้ความสว่าง  สภาพภายในบ้านมีตะเกียงกระป๋องอีก 1 กระป๋อง เป็นห้องห้องโถงโล่งๆ ไม่มีกั้นห้อง  ผมขนสัมภาระส่วนตัวไปยังมุมห้องด้านหนึ่ง อ้ายเหวงขยับไปอีกมุมหนึ่ง เราเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย ห้องอาบน้ำไม่มีหรอกครับ โน่นแหละสะพานริมตลิ่งคือห้องน้ำ
 
การไปอาบน้ำต้องหิ้วตะเกียงไปแขวนไว้ที่หัวเสาของสะพาน เอาขันตักน้ำขึ้นมาอาบ น้ำเย็นจนหนาว นั่งอาบน้ำมองไปข้างหน้ามืดสนิทเสียงสารพัดอย่างดังมาเข้าหูตลอดเวลา สัตว์ป่าบางชนิดเริ่มออกหากิน จะเป็นคนหรือสัตว์ก็ต้องออกหากิน
 
อาบน้ำชำระร่างกายกันเรียบร้อย เหมือนคอยท่าอยู่แล้ว ลุงเบิ้มโผล่มาจากริมต้นไม้ด้านข้างบ้าน แกถือหม้อใบย่อมภายในบรรจุไก่ย่างที่หอมฉุยสับเป็นชิ้นๆ  ที่ไหล่สะพายถุงย่าม มีเหล้าป่าใส่ในขวดแม่โขงกลมมา 3 ขวด อ้ายเหวงไปหาขอนไม้ซึ่งมีอยู่มากมายมาสุมกองไฟเพื่อให้แสงสว่าง
 
“เหล้าป่านี่ขนาดจุดไฟติดครับ แก้โรคได้สารพัด โดยเฉพาะโรคเหงา”  
 
เปิดขวดเหล้ารินลงแก้วเกือบครึ่ง   แล้วเลื่อนแก้วมาให้ผม 
 
“เจ้านายลองดูครับ” ลุงเบิ้มพูด  (ยังมีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่