คำถาม : ในการเกิดคดีทุกครั้ง “ทำไมผู้เสียหายกลับต้องมาเหนื่อยกับผลกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ ในขณะที่อีกฝ่ายตัวปลิว’’
อำนาจ เงินทอง ความไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี จากปากคนที่ทำผิดแล้วมักประกาศว่าตนนั้นเป็น ”คนธรรมะธรรมโม เป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น”
อุทาหรณ์ คือ
(1) เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 13 เมษายน 2563 ทางเราได้ประสบอุบัติเหตุโดนรถเฉี่ยวชน บริเวณจุดกลับรถ เทอดไท skywalk BTS บางหว้าซึ่งเรากับ @Sittichai Pee ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์มาทางตรง แล้วมีรถเก๋งคันสีทองออกมาจากซอยตัดหน้ากะทันหัน แล้วทางเราเบรกไม่อยู่ จนทำให้ล้มลงไปกับพื้นถนน ได้รับความบาดเจ็บและทรัพย์สินได้เสียหายทั้งตัวรถ และ โทรศัพท์เป็นจำนวน 2 เครื่อง จากนั้นทางคู่กรณีได้ชะลอรถและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ และขณะที่ล้มได้มีพลเมืองดีจำนวนมากบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์ว่า มีรถยนต์คันดังกล่าว ได้ขับรถตัดหน้าเรา กำลังขับออกไปจากที่เกิดเหตุ จากนั้นก็มีพลเมืองดีได้ขับมอเตอร์ไซค์ตามไปเรียกให้เค้ากลับมา แต่ขณะที่เขามาถึง แฟนก็ได้ถูกหามตัวส่งโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
(2) หลังนั้นทางคู่กรณีก็ได้เข้ามาพูดคุยกับเราซึ่งบาดเจ็บเล็กน้อยและพยายามเสนอเงินเป็นจำนวน 30,000 บาทเพื่อจะไม่ให้คดีไปถึงตำรวจ โดยไม่ได้ให้ความสนใจในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น สนใจแค่ตัวรถและต้องการจะจบเรื่องให้เร็วที่สุด สืบเนื่องมาจาก ตัวคู่กรณีนั้นได้มีคดีติดตัวเมาแล้วขับ จนถูกยึดใบขับขี่ และพอเราบอกว่า ทำไมพี่ไม่เรียกประกันละ เพราะพี่จะได้ไม่ต้องไปเสียใช้จ่ายสูงขนาดนั้น เพราะคดีเก่ากับใหม่มันคนละเคส หลังจากนั้นผมเป็นคนเรียกฝ่ายประกันของทางคู่กรณีมาให้เนื่องจาก คู่กรณีเป็นเจ้าของอู่รถและไม่ทราบว่าต้องทำยังไง อีกทั้งเค้าได้นำรถลูกค้ามาทดลองขับและไม่อยากให้ทางอีกฝ่ายทราบ จนเราพยายามไกล่เกลี่ยว่าอย่างน้อยก็ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนก็ดี ซึ่งพอไปถึงสน บางขุนเทียน
(3) ทางคู่กรณีก็พยายามเสนอเงินให้มากขึ้นถึง 50,000 บาทแต่เราก็ไม่รับแล้วบอกว่าเอาอย่างนี้เราแค่ลงบันทึกประจำวันเอาไว้เพราะทางฝ่ายของแฟนจะได้เคลมพรบ. มอเตอร์ไซค์ได้ แล้วพี่ก็ให้ประกันพี่จ่ายในส่วนที่ประกันจะสามารถรับผิดชอบได้ ส่วนถ้ามีค่าส่วนต่างเช่น ค่าเดินทาง ค่าที่ยายของแฟนต้องหยุดงานมาดูเขาหรือค่าเดินทางของเราขณะที่ต้องเดินทางไปทำงานเองขณะที่แฟนบาดเจ็บและไม่สามารถออกใบเสร็จได้ หรือที่ประกันไม่รับผิดชอบพี่ก็ช่วยในส่วนนี้ อีกฝ่ายก็รับคำตกลงอย่างง่ายดาย สรุปได้ความว่า “ ทางคู่กรณีขับขี่โดยประมาทจนทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ โดยมีเราซ้อน กับ แฟนขับและได้มีทรัพย์สินคือ โทรศัพท์ จำนวน2 เครื่องเสียหาย’’
(4) ขณะที่แฟนนอนอยู่รพ.ก็ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนหรือถามไถ่อะไรกันเลย ยกเว้นวันแรกที่มาหาแล้วพูดว่า “อย่านอนโรงพยาบาลนานนักนะ แล้วเอาเงินพรบ.ที่เหลือไปใช้เที่ยวเล่น’’ แล้วก็กลับไปหลังวันนั้นก็ไม่ได้มาอีกเลย จนแฟนออกจากรพ. วันที่ 15 เมษายนแต่ก็ยังไม่หายดี แต่เพราะว่าทางบ้านไม่สะดวกมาเฝ้าไข้เพราะติดงานอีกทั้งฉันก็ยังต้องทำงานจะให้เทียวมาเทียวไป รพ.---คอนโด---ที่ทำงาน----นั่งรถแท็กซี่ทุกวันก็คงเหนื่อยมากเกินไป อีกทั้งยังมีมาตรฐานคุมเข้ม ห้ามออกจากบ้านหลัง 22.00 อีก แฟน จึงตัดสินใจกลับมานอนที่ห้อง แล้วขาดงานเป็นระยะเวลา 10 วัน แล้วต้องนั่งแท็กซี่ไปล้างแผลทุกวัน เทียวไปเที่ยวกลับ ส่วนฉันก็ต้องนั่งวินแล้วต่อบีทีเอส รีบไปรีบกลับก่อนช่วงเคอร์ฟิว จะบอกว่าทางประกันซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ 3 วันเสร็จแต่ก็ขับรถไม่ได้นะ เพราะว่ามือยังเจ็บ จนประมาณ 10 กว่าวันกว่าแผลจะหายสนิท แล้วกลับมาขับรถได้ เป็นปกติ
(ขมวดปม : หลังจากเราคิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้ว แฟนหายดี และเราได้ยื่นเรื่องเอกสารกับทางประกันแล้ว แต่ไม่ได้มีการติดต่อกลับมาเลย เราเลยให้แฟนโทรไปคุยกับทางคู่กรณีให้มาเจรจาที่สน. บางขุนเทียน)
1. ครั้งที่ 1 : วัน 8 พฤษภาคม 2563 , นัดเค้าไว้ 18.00-20.00น. ,สรุป : นางมา 17.00น. โดยอ้างว่าพวกเราไม่มาเอง และตำรวจบอกให้กลับได้เลย เราและแฟน เหวอ งง ปะ ! เรานัด 18.00-20.00มาห้าโมง) ขณะในช่วงคุยโทรศัพท์กัน ได้บอกว่าร้านเขาปิด 18.00 โอเค (???)สรุปวันนั้นไม่ได้เรื่องอะไร >>>>ฉันยังโดนอีกนะว่า โทรไปขู่เค้าทุกวัน ซึ่งฉันคุยกับนางล่าสุดคือวันแรกที่เกิดคดี13 เมษา หลังจากนั้นคือไม่ได้คุยกันอีกเลย แต่ทางตำรวจบอกว่าอย่าให้ชั้นไปขู่เค้า (1 แมต) โอเคไม่เป็นไร
2. ครั้งที่ 2 : 14 พฤษภาคม 2563 คราวนี้ให้ทางตำรวจเจ้าของคดีนัดไว้เที่ยงตรงซึ่งก็ไม่มาอีก โดยอ้างว่า ต้องทำงานไม่ว่าง โดยไม่มีการแจ้งหรือบอกกล่าวอะไรเลย แต่ปล่อยให้เรารอเก้อ โอเคเหนื่อย ก็คิดว่าเมื่อไหร่คดีจะจบ เสียเวลาชีวิต +เครียด
3. ครั้งที่ 3 : 25 พฤษภาคม 2563 นัดเที่ยงคราวนี้นางมานะ แต่ไม่เจรจาพูดคุยอะไรเลย มาเสียค่าปรับแล้วก็กลับ คุยแค่กับแฟนชั้นให้เซ็นยอมความ
4. ครั้งที่ 4 : ล่าสุด 1 มิถุนายน 2563 เที่ยงตรง นางก็ไม่มาอีก ทางตำรวจก็บอกติดต่อนางให้แล้ว นางบอกว่า นางติดธุระมาไม่ได้ และตำรวจก็ยื่นหนังสือมาให้เซ็น พร้อมบอกว่า ถ้าเซ็นนี้ก็สามารถเอาฟ้องคดีแพ่งได้ และสามารถนำไปเรียกร้องค่าอื่นๆที่เกิดขึ้นได้ และอีกทั้งโทรศัพท์เราอาจจะได้ซ่อมเร็วด้วย ??? (ไม่ได้เซ็นไปนะครับ)
--------------- 4 ครั้งกับความอดทดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกเลยว่า เราจะเจอกับคนประเภทนี้ในสังคม จากวันนั้นจนถึงตอนนี้แค่เจอหน้าคู่กรณีอีกสักครั้งยังไม่เคย หรือจะพูดคุยกันทางโทรศัพท์อีกสักครั้งก็ไม่เคย เพราะว่า ทุกครั้งนางจะชอบเคลมว่า ทางเราได้โทรไปขู่นาง ซึ่งตั้งแต่วันเกิดคดี ฉันกล้าการันตีเลยว่า ไม่เคยโทรไปคุยกับนางและพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทีข่มขู่เลยโดยซ้ำ หากใครเคยรู้จักฉันจะรู้เลยว่า การที่ฉันจะด่าใครสักคนด้วยถ้อยคำหยาบคายหรือรุนแรงแทบจะไม่มี
(สรุป) จนถึงตอนนี้ รวมทั้งสิ้น 1 เดือน 19 วัน
1. นัดทางคู่กรณี จำนวน 4 ครั้งด้วยกัน กับคดีขับรถเฉี่ยวชน ไม่มีความคืบหน้า ไม่สามารถนัดคู่กรณีมาเจอ หรือเจรจาด้วยกันสักรอบเลย แถมยังบล็อกเบอร์อีก ตอนนี้ค่าเสียหายส่วนต่างที่สูญเสียไปมากกว่า 12,500 แล้วครับพร้อมทั้งเสียเวลา
2. เรื่องเคลมโทรศัพท์ประกัน’’’อลิอัน อยุธยา’’’ส่งเรื่องไปตั้งแต่ 22 เมษายน จนถึงบัดนี้ยังไม่ติดต่อกลับมาเลย โทรไปถามบ่อยครั้ง ได้คำตอบแค่ว่า อยู่ในระหว่าง Process
สิ่งที่อยากจะบอกคือ เสียใจมากก ถึงมากที่สุด ในขณะที่เราจะพยายามประนีประนอมกับอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เขาเสียเงินเยอะโดยใช่เหตุ กลับกลายเป็นว่า “เราต้องเสียเงินเยอะเอง เสียทั้งเงินและเวลา (เงินค่าแท็กซี่ ค่าเดินทาง ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินทางไปทำงาน เดินทางไปติดต่อประกันสำนักงานใหญ่ หรือศูนย์ไอแคร์ซัมซุง ที่อยู่ถึง เมกะบางนา และนนทบุรี เหนื่อยชิพหายเลยนะ ที่แบบต้องมาทำทุกอย่างด้วยตนเองและทำงานอีก สุดท้ายไม่มีแม้แต่ความคืบหน้าเลย คดีกำลังจะครบ 3 เดือน หรือหมดอายุความ)
สุดท้ายขออนุญาตเสนอบทเรียนสำคัญที่เกิดขึ้นกับตนในครั้งนี้ คือ ‘พี่เป็นคนธรรมะธรรมโมนะ ชอบเข้าวัดทำบุญ ปล่อยปลา’ สรุปความได้ว่าวลีนี้มักเป็นคำกล่าวอ้าง ของ ‘โจรในคราบผู้แสวงบุญ’ เวลากระทำความผิด
“ในวันที่ฉันหมดศรัทธา ในความชอบธรรมของกฎหมายไทยและความโอนเอียงของคนที่ถูกขานนามว่า ผู้ผดุงความยุติธรรม’’
อำนาจ เงินทอง ความไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี จากปากคนที่ทำผิดแล้วมักประกาศว่าตนนั้นเป็น ”คนธรรมะธรรมโม เป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น”
อุทาหรณ์ คือ
(1) เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 13 เมษายน 2563 ทางเราได้ประสบอุบัติเหตุโดนรถเฉี่ยวชน บริเวณจุดกลับรถ เทอดไท skywalk BTS บางหว้าซึ่งเรากับ @Sittichai Pee ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์มาทางตรง แล้วมีรถเก๋งคันสีทองออกมาจากซอยตัดหน้ากะทันหัน แล้วทางเราเบรกไม่อยู่ จนทำให้ล้มลงไปกับพื้นถนน ได้รับความบาดเจ็บและทรัพย์สินได้เสียหายทั้งตัวรถ และ โทรศัพท์เป็นจำนวน 2 เครื่อง จากนั้นทางคู่กรณีได้ชะลอรถและขับออกไปจากที่เกิดเหตุ และขณะที่ล้มได้มีพลเมืองดีจำนวนมากบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์ว่า มีรถยนต์คันดังกล่าว ได้ขับรถตัดหน้าเรา กำลังขับออกไปจากที่เกิดเหตุ จากนั้นก็มีพลเมืองดีได้ขับมอเตอร์ไซค์ตามไปเรียกให้เค้ากลับมา แต่ขณะที่เขามาถึง แฟนก็ได้ถูกหามตัวส่งโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
(2) หลังนั้นทางคู่กรณีก็ได้เข้ามาพูดคุยกับเราซึ่งบาดเจ็บเล็กน้อยและพยายามเสนอเงินเป็นจำนวน 30,000 บาทเพื่อจะไม่ให้คดีไปถึงตำรวจ โดยไม่ได้ให้ความสนใจในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น สนใจแค่ตัวรถและต้องการจะจบเรื่องให้เร็วที่สุด สืบเนื่องมาจาก ตัวคู่กรณีนั้นได้มีคดีติดตัวเมาแล้วขับ จนถูกยึดใบขับขี่ และพอเราบอกว่า ทำไมพี่ไม่เรียกประกันละ เพราะพี่จะได้ไม่ต้องไปเสียใช้จ่ายสูงขนาดนั้น เพราะคดีเก่ากับใหม่มันคนละเคส หลังจากนั้นผมเป็นคนเรียกฝ่ายประกันของทางคู่กรณีมาให้เนื่องจาก คู่กรณีเป็นเจ้าของอู่รถและไม่ทราบว่าต้องทำยังไง อีกทั้งเค้าได้นำรถลูกค้ามาทดลองขับและไม่อยากให้ทางอีกฝ่ายทราบ จนเราพยายามไกล่เกลี่ยว่าอย่างน้อยก็ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนก็ดี ซึ่งพอไปถึงสน บางขุนเทียน
(3) ทางคู่กรณีก็พยายามเสนอเงินให้มากขึ้นถึง 50,000 บาทแต่เราก็ไม่รับแล้วบอกว่าเอาอย่างนี้เราแค่ลงบันทึกประจำวันเอาไว้เพราะทางฝ่ายของแฟนจะได้เคลมพรบ. มอเตอร์ไซค์ได้ แล้วพี่ก็ให้ประกันพี่จ่ายในส่วนที่ประกันจะสามารถรับผิดชอบได้ ส่วนถ้ามีค่าส่วนต่างเช่น ค่าเดินทาง ค่าที่ยายของแฟนต้องหยุดงานมาดูเขาหรือค่าเดินทางของเราขณะที่ต้องเดินทางไปทำงานเองขณะที่แฟนบาดเจ็บและไม่สามารถออกใบเสร็จได้ หรือที่ประกันไม่รับผิดชอบพี่ก็ช่วยในส่วนนี้ อีกฝ่ายก็รับคำตกลงอย่างง่ายดาย สรุปได้ความว่า “ ทางคู่กรณีขับขี่โดยประมาทจนทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ โดยมีเราซ้อน กับ แฟนขับและได้มีทรัพย์สินคือ โทรศัพท์ จำนวน2 เครื่องเสียหาย’’
(4) ขณะที่แฟนนอนอยู่รพ.ก็ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนหรือถามไถ่อะไรกันเลย ยกเว้นวันแรกที่มาหาแล้วพูดว่า “อย่านอนโรงพยาบาลนานนักนะ แล้วเอาเงินพรบ.ที่เหลือไปใช้เที่ยวเล่น’’ แล้วก็กลับไปหลังวันนั้นก็ไม่ได้มาอีกเลย จนแฟนออกจากรพ. วันที่ 15 เมษายนแต่ก็ยังไม่หายดี แต่เพราะว่าทางบ้านไม่สะดวกมาเฝ้าไข้เพราะติดงานอีกทั้งฉันก็ยังต้องทำงานจะให้เทียวมาเทียวไป รพ.---คอนโด---ที่ทำงาน----นั่งรถแท็กซี่ทุกวันก็คงเหนื่อยมากเกินไป อีกทั้งยังมีมาตรฐานคุมเข้ม ห้ามออกจากบ้านหลัง 22.00 อีก แฟน จึงตัดสินใจกลับมานอนที่ห้อง แล้วขาดงานเป็นระยะเวลา 10 วัน แล้วต้องนั่งแท็กซี่ไปล้างแผลทุกวัน เทียวไปเที่ยวกลับ ส่วนฉันก็ต้องนั่งวินแล้วต่อบีทีเอส รีบไปรีบกลับก่อนช่วงเคอร์ฟิว จะบอกว่าทางประกันซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ 3 วันเสร็จแต่ก็ขับรถไม่ได้นะ เพราะว่ามือยังเจ็บ จนประมาณ 10 กว่าวันกว่าแผลจะหายสนิท แล้วกลับมาขับรถได้ เป็นปกติ
(ขมวดปม : หลังจากเราคิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้ว แฟนหายดี และเราได้ยื่นเรื่องเอกสารกับทางประกันแล้ว แต่ไม่ได้มีการติดต่อกลับมาเลย เราเลยให้แฟนโทรไปคุยกับทางคู่กรณีให้มาเจรจาที่สน. บางขุนเทียน)
1. ครั้งที่ 1 : วัน 8 พฤษภาคม 2563 , นัดเค้าไว้ 18.00-20.00น. ,สรุป : นางมา 17.00น. โดยอ้างว่าพวกเราไม่มาเอง และตำรวจบอกให้กลับได้เลย เราและแฟน เหวอ งง ปะ ! เรานัด 18.00-20.00มาห้าโมง) ขณะในช่วงคุยโทรศัพท์กัน ได้บอกว่าร้านเขาปิด 18.00 โอเค (???)สรุปวันนั้นไม่ได้เรื่องอะไร >>>>ฉันยังโดนอีกนะว่า โทรไปขู่เค้าทุกวัน ซึ่งฉันคุยกับนางล่าสุดคือวันแรกที่เกิดคดี13 เมษา หลังจากนั้นคือไม่ได้คุยกันอีกเลย แต่ทางตำรวจบอกว่าอย่าให้ชั้นไปขู่เค้า (1 แมต) โอเคไม่เป็นไร
2. ครั้งที่ 2 : 14 พฤษภาคม 2563 คราวนี้ให้ทางตำรวจเจ้าของคดีนัดไว้เที่ยงตรงซึ่งก็ไม่มาอีก โดยอ้างว่า ต้องทำงานไม่ว่าง โดยไม่มีการแจ้งหรือบอกกล่าวอะไรเลย แต่ปล่อยให้เรารอเก้อ โอเคเหนื่อย ก็คิดว่าเมื่อไหร่คดีจะจบ เสียเวลาชีวิต +เครียด
3. ครั้งที่ 3 : 25 พฤษภาคม 2563 นัดเที่ยงคราวนี้นางมานะ แต่ไม่เจรจาพูดคุยอะไรเลย มาเสียค่าปรับแล้วก็กลับ คุยแค่กับแฟนชั้นให้เซ็นยอมความ
4. ครั้งที่ 4 : ล่าสุด 1 มิถุนายน 2563 เที่ยงตรง นางก็ไม่มาอีก ทางตำรวจก็บอกติดต่อนางให้แล้ว นางบอกว่า นางติดธุระมาไม่ได้ และตำรวจก็ยื่นหนังสือมาให้เซ็น พร้อมบอกว่า ถ้าเซ็นนี้ก็สามารถเอาฟ้องคดีแพ่งได้ และสามารถนำไปเรียกร้องค่าอื่นๆที่เกิดขึ้นได้ และอีกทั้งโทรศัพท์เราอาจจะได้ซ่อมเร็วด้วย ??? (ไม่ได้เซ็นไปนะครับ)
--------------- 4 ครั้งกับความอดทดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกเลยว่า เราจะเจอกับคนประเภทนี้ในสังคม จากวันนั้นจนถึงตอนนี้แค่เจอหน้าคู่กรณีอีกสักครั้งยังไม่เคย หรือจะพูดคุยกันทางโทรศัพท์อีกสักครั้งก็ไม่เคย เพราะว่า ทุกครั้งนางจะชอบเคลมว่า ทางเราได้โทรไปขู่นาง ซึ่งตั้งแต่วันเกิดคดี ฉันกล้าการันตีเลยว่า ไม่เคยโทรไปคุยกับนางและพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทีข่มขู่เลยโดยซ้ำ หากใครเคยรู้จักฉันจะรู้เลยว่า การที่ฉันจะด่าใครสักคนด้วยถ้อยคำหยาบคายหรือรุนแรงแทบจะไม่มี
(สรุป) จนถึงตอนนี้ รวมทั้งสิ้น 1 เดือน 19 วัน
1. นัดทางคู่กรณี จำนวน 4 ครั้งด้วยกัน กับคดีขับรถเฉี่ยวชน ไม่มีความคืบหน้า ไม่สามารถนัดคู่กรณีมาเจอ หรือเจรจาด้วยกันสักรอบเลย แถมยังบล็อกเบอร์อีก ตอนนี้ค่าเสียหายส่วนต่างที่สูญเสียไปมากกว่า 12,500 แล้วครับพร้อมทั้งเสียเวลา
2. เรื่องเคลมโทรศัพท์ประกัน’’’อลิอัน อยุธยา’’’ส่งเรื่องไปตั้งแต่ 22 เมษายน จนถึงบัดนี้ยังไม่ติดต่อกลับมาเลย โทรไปถามบ่อยครั้ง ได้คำตอบแค่ว่า อยู่ในระหว่าง Process
สิ่งที่อยากจะบอกคือ เสียใจมากก ถึงมากที่สุด ในขณะที่เราจะพยายามประนีประนอมกับอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เขาเสียเงินเยอะโดยใช่เหตุ กลับกลายเป็นว่า “เราต้องเสียเงินเยอะเอง เสียทั้งเงินและเวลา (เงินค่าแท็กซี่ ค่าเดินทาง ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินทางไปทำงาน เดินทางไปติดต่อประกันสำนักงานใหญ่ หรือศูนย์ไอแคร์ซัมซุง ที่อยู่ถึง เมกะบางนา และนนทบุรี เหนื่อยชิพหายเลยนะ ที่แบบต้องมาทำทุกอย่างด้วยตนเองและทำงานอีก สุดท้ายไม่มีแม้แต่ความคืบหน้าเลย คดีกำลังจะครบ 3 เดือน หรือหมดอายุความ)
สุดท้ายขออนุญาตเสนอบทเรียนสำคัญที่เกิดขึ้นกับตนในครั้งนี้ คือ ‘พี่เป็นคนธรรมะธรรมโมนะ ชอบเข้าวัดทำบุญ ปล่อยปลา’ สรุปความได้ว่าวลีนี้มักเป็นคำกล่าวอ้าง ของ ‘โจรในคราบผู้แสวงบุญ’ เวลากระทำความผิด