สวัสดีค่ะทุกคนนนน ในช่วงกักตัวอยู่บ้านแบบนี้ไม่อยากให้ปล่าวประโยชน์ วันนี้เราเลยอยากมาบอกเล่าประสบการณ์ที่คุยกับหนุ่มต่างชาติมาก็ไม่นาน เขาเพิ่งกลับไปประเทศได้ประมาณ 2 เดือน ต้องออกตัวก่อนว่าจริงๆไม่ใช่การมาแฉนะคะ แต่อยากมาบอกเล่าประสบการณ์ในมุมของเราที่ได้พบเจอ ถ้าใครโชคดีเจอความรักที่ดีก็ยินดีด้วยน๊าาาา 
      เราอายุ 25 ปีค่ะ ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่มีคนมาจีบเรื่อยๆทั้งไทยและต่างชาติ สำหรับเราถ้าไม่ใช่เราก็ไม่คุยเลยตั้งแต่แรกเพราะไม่มีแพสชั่น ฮ่ะฮ่า อีกอย่างเมื่อก่อนยังเด็กไม่ได้ซีเรียสเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้เจอใครอีกเยอะ แต่หลังจากที่เราได้เจอคนที่คิดว่าน่าสนใจ ก็เลยอยากลองเปิดใจศึกษา เริ่มแรกเราทำงานในที่ที่ต้องเจอต่างชาติตลอด (ไม่ใช่งานกลางคืนนะคะ อย่าเข้าใจผิด อิอิ ) เลยทำให้เรามีโอกาสรู้จักชาวต่างชาติอยู่บ่อยๆ 
ปลายปีที่แล้ว เราเจอผู้ชายไต้หวันเยอรมันคนหนึ่ง ชื่อ k ล่ะกัน อายุ 29 ปี เขาเป็นลูกค้าของที่ทำงานเราเองและมีเวลาว่างเหลือจากการทำงานที่กรุงเทพ 3 วัน เลยได้มีโอกาสพาไปเที่ยวที่อยุทธยา ก็ไปกันสองคนค่ะ ไม่มีอะไรมากก็พาไปเที่ยวตลาดน้ำอโยธยา อุทยานประวัติศาสตร์ แล้วไปนั่งทานขนมในร้านกาแฟ แล้วก็กลับกัน วันแรกก็รู้สึกว่าคุยกันถูกคอดี เขาก็ส่งข้อความมาขอบคุณและบอกว่าเขาสนุกมากสำหรับวันนี้ เราก็เฉยๆค่ะไม่ได้คิดว่าเขาจะจีบหรือมาชอบอะไร ก็วางตัวเป็นเพื่อนปกติ วันต่อมาเขาก็ส่งข้อความมาอีก ทักทายสวัสดีตอนเช้าปกติและก็ชวนเราไปทานบะหมี่ชื่อดัง ชามล่ะ 1,500 แอบปาดเหงื่อเบาๆแต่อร่อยก็ให้อภัย 5555 หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปหาเพื่อนก่อนแยกกันที่บีทีเอสเขาก็โอบกอดเราเบาๆ เราเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่อยากคิดไปเองก็เลยยังเฉยๆค่ะ ตอนเย็นก็ชวนเขาไปเยาวราชเพราะว่าเพื่อนของเราก็จะพาลูกค้าอีกคนไปพอดี เลยนัดว่าจะไปด้วยกันแต่พอเอาเข้าจริงลูกค้าอีกคนไม่ไปก็เลยกลายเป็นว่ามีแค่เรากับเพื่อนและเขาเป็น 3 คน ก็พาเขาไปหาอะไรอร่อยๆกิน เห็นแสงสียามค่ำคืนในกรุงเทพ เสร็จแล้วเราก็ไปเล่นสนุ๊กเกอร์ และเดินเยี่ยมชมในซอยคาวบอย สาวสวยละลานตาไปหมด 5555 คืนนั้นกว่าจะได้กลับบ้านนอนก็ปาเข้าไปตีสี่แทบหมดแรง ก่อนแยกย้ายกันเขาก็โอบกอดเราเบาๆเช่นเคยค่ะ วันสุดท้ายก่อนเขากลับก็ส่งข้อความมาหาอีกว่าเราสามารถไปที่ไหนได้ก่อนเขากลับบ้างมั้ย เรากับเพื่อนเลยพาเขาไปกินบอนชอนแล้วก็ไปเดินซื้อของฝากที่แพทตินั่ม เสร็จแล้วเพื่อนเขาก็มารับไปสนามบิน ก่อนกลับเขาก็เข้ามากอดแล้วก็บอกว่า keep in touch กันนะ แถมยังส่งข้อความมาอีกว่าขอบคุณมากๆสำหรับทุกอย่าง สนุกมากที่ใช้เวลาอยู่กับคุณ หวังว่าเราจะได้เจอกันเร็วๆนี้แล้วก็มีอีโมจิหัวใจ เราเริ่มรู้สึกได้ว่าเหมือนเขาก็เริ่มชอบเราแต่เราก็ยังไม่อยากคิดอะไรเพราะส่วนใหญ่เรามองว่าเขากลับประเทศไปก็คงลืมหรือความรู้สึกลดหายไปเอง เลยยังไม่อยากไปคิดอะไร แต่พอเขาถึงสนามบินจู่ๆก็วิดิโอคอลมาเราเลยคิดว่าเอ๋ มันก็แปลกๆนะ เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างทางต่อเครื่องยันถึงประเทศรายงานตลอด แล้วหลังจากนั้นเขาก็ทักมาทุกวัน สวัสดีตอนเช้า ตอนเย็นบอกฝันดีก่อนส่งเข้านอนทุกคืน ระหว่างวันก็คุยกันตลอด ช่วงนั้นเรานอนตีสามตีสี่ทุกวัน คุยกันจนเพื่อนแซวว่าอย่างกับแฟน บางทีเขาก็มีหึงที่เราต้องไปกับลูกค้าคนอื่น เราเลยคิดว่าเขาต้องชอบเราและเดี๋ยวก็ขอเราเป็นแฟนแน่ๆ ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะคะ แต่ลักษณะข้อความมันเหมือนแฟนจริงๆ แต่แล้วหลังจากคุยกันได้ประมาณ 2 เดือน ช่วงหลังคริสมาสต์ปีที่แล้วเราก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ความใส่ใจที่ลดลง เริ่มทักมาน้อยแต่บางทีเราก็ทักไปก่อนนะไม่ได้รอเขาทักฝ่ายเดียว เริ่มไม่สนใจบางคำถามที่ถามไป รูปในไอจีที่เคยไลค์เป็นคนแรกๆก็เริ่มไม่ไลค์ ที่เคยโทรหาวันเว้นวันก็กลายเป็นอาทิตย์ล่ะครั้ง แต่ก็ยังคุยกันเรื่อยๆนะแค่มันลดลงอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นเราที่หลังจากเขากลับไปก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ พอเขาเปลี่ยนไปจากที่เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกลายเป็นว่าเรายึดติด เราเริ่มนอยด์ที่เขาไม่เหมือนเดิม เริ่มเพ้อเจ้อ โพสสเตตัสประชดบ้าง จนเหมือนวันหนึ่งเหมือนมันระเบิด จนเขามาถามว่าที่โพสต์ไปหมายถึงใคร จนเรากับเขาก็เปิดใจคุยกันแต่เราก็ยังไม่ได้ถามซะทีเดียวว่าเขาจะเอายังไง แค่ถามว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป หลังจากคุยกันเข้าใจแล้วก็เริ่มปกติค่ะ แต่มันก็ค่อยๆลดลงคล้ายกับว่าเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เราคุยกับเขาต่อเรื่อยๆเพื่อดูท่าทีว่าเขาจะเอายังไง มันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเปล่า แต่ระหว่างรอนี้ก็นอยด์เป็นระยะ ได้แต่มองโลกในแง่ดีรวมถึงปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนๆบ้าง เขาก็ยังไม่ได้มีทีท่าว่าจะชัดเจนสักที 
        ประจวบกับช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมาเราได้เจอกับน้องฝรั่งผมทองตาฟ้าจากแถบนอดิกคนหนึ่งจากที่ทำงานเหมือนเดิม น้องเขาก็น่ารักดีค่ะ ให้ชื่อ m ล่ะกัน อายุ 22 ปีตัวสูงมากอีก 2 เซนติเมตรก็ 2 เมตรแล้ว ยืนด้วยกันนึกว่าพุ่มไม้ TT  m เป็นช่างภาพ วันแรกที่เจอเราเขามีกล้องเลยเกิดความสนใจเพราะเราก็ชอบถ่ายรูปแล้วเราก็อยากได้เลนส์แบบใหม่ พร้อมอวดรูปที่เราถ่ายให้เขาดู เขาเลยถามอินสตาแกรมเราแต่เราไม่ได้ให้น้องก็ไม่ได้ถามต่อ แต่เพื่อนเราแคปไอจีเขามาให้ดูเราเลยตามไปขอฟอลโล่ ก็คุยกันทักทายทั่วไป จนช่วงวันเกิดเราเขาก็ทักมาชวนไปถ่ายรูปเขาบอกว่าไม่ค่อยมีรูปตัวเองเลยอยากให้เราถ่ายให้ เราว่างๆพอดีเลยไปก็ได้ เราไปถ่ายรูปกันที่สวนลุมพินีค่ะเสร็จแล้วพาเขาไปกินก๋วยเตี๋ยว ต่อด้วยมาม่าเกาหลีกับเพื่อนเรา เราคิดว่าเขาชอบเพื่อนเราเพราะดูกวนๆเหมือนกันคุยกันสนุกดี แต่หลังจากวันนั้นเขาก็ทักมาเรื่อยๆทุกวัน เราคิดว่าเขาอาจจะเหงาด้วยเพราะเขามาเที่ยวมีเพื่อนอยู่แค่คนเดียวบางทีเพื่อนก็ต้องอยู่กับแฟน เราเองก็เบื่อๆก็คิดว่าไม่ได้เสียหายอะไรเป็นเพื่อนกันไป แต่ระหว่างนี้เราก็บอก k ตลอดนะ บอกในฐานะอะไรไม่รู้เหมืนอกันแต่ความรู้สึกบอกให้บอก หลังๆน้องก็มีชวนไปนวดหน้า ไปเดินตลาดรถไฟ กินข้าว ดูหนัง ไปเจอเพื่อนๆเขา ไปถ่ายรูปบ้าง บางที k ก็บอกว่าหึงบ้าง ไม่อนุญาติบ้างแต่ก็เป็นลักษณะขำๆ มากกว่า เราสังเกตได้ว่า m ก็เริ่มชมเรา เริ่มน้อยใจเรื่องอายุที่เราไม่ชอบคนที่เด็กกว่า ชวนเราไปมาเลเซียโดยบอกว่าอยากไปกับเราแต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้เราคงไม่เสี่ยงไป เราไม่ได้ชอบน้องอ่ะ บางทีน้องแซวมาเรื่องเหมือนแฟนกันหรือเรื่องแต่งงาน มีลูก เราก็ไม่สนใจเพราะเราคิดว่าผู้ชายแรกๆก็เป็นอย่างนี้ บางทีก็เปลี่ยนเรื่องไปจนน้องเหมือนระเบิดอารมณ์ คุยกันอยู่ดีๆ ก็บอกอยากกลับประเทศไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่ มาเอเชียเพื่ออะไร เราเริ่มรู้สึกได้ว่า m แปลกๆไป เลยถามไปตรงๆแรกๆก็ไม่บอกจนนี่ขยั้นคยอ สุดท้ายน้องก็เลยบอกว่าชอบเรามากจริงๆ แต่รู้ว่าเราไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน กลายเป็นดราม่าซะงั้น เราเองก็ไม่อยากให้น้องเสียใจ เราเข้าใจเวลาที่คนเรารู้สึกแย่เป็นยังไง ช่วงนั้นเราเองก็ยังคาราคาซังกับหนุ่มเยอรมันเราเลยตัดสินใจถามหนุ่มเยอรมันไปตรงๆหลังจากที่ยืดเยื้อกันมานานว่าตกลงการที่เราคุยกันมาเนี่ย ต้องการอะไรจากเรามั้ย ต้องการแค่เพื่อนใช่มั้ย ช่วยบอกเราที  สิ่งที่เขาตอบกลับมาก็คือ  ฉันยังไม่รู้นะ  อยู่ที่ว่าอนาคตเธอจะอยุ่ที่ไหน เราไม่สามารถพัตนาความสัมพันธ์ได้เพราะตอนนี้เราอยู่คนล่ะที่เป็นไปไม่ได้ที่จะคบกันเร็วๆนี้ เขาต้องการเวลามากกว่านี้และอยากรอดูหากว่ากลางปีเราสามารถไปเรียนต่อที่ประเทศเขาได้ค่อยดูอนาคตอีกที เขาเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่มีความคิดนะ มีงานที่ดีทำแต่เรารู้สึกว่าการจะคุยกันไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดมุ่งหมายแล้วปล่อยตามโชคชะตากำหนดมันก็เข้าใจได้นะแต่สำหรับเราคิดว่าคงไม่ดีเท่าไหร่ เราก็อึ้งนะกับคำว่ายังไม่รู้ของเขา สิ่งที่เราเสียใจคือทำไมในเมื่อเขามีไอเดียแบบนี้ว่าการที่คนจะคบกันต้องรู้จักกันดีพอและต้องอยู่ใกล้ๆกัน แล้วที่ผ่านมาจะคุยแบบนั้นกับเราทำ 😊 อะไรว่ะ ฮา เลยคิดว่าโอเค พอล่ะ สำหรับเราถ้าเขาชัดเจนมาแบบนี้ก็ไม่ค้างคาและไม่รอล่ะ บางครั้งเราหงุดหงิดเขาจนพาลใส่ m ก็มี แต่พอคำตอบมันชัดเจนเราโอเคมากๆเราเลยคิดว่าไหนๆก็ไหนๆลองให้โอกาศตัวเองและ m ดู แม้ว่าเขาจะเด็กกว่าเรายอมมองข้ามข้อนี้ไปได้(แม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าคิดผิด 5555 )
     m ก็ชวนน้องออกไปหาอะไรกินพร้อมเพื่อนๆของเขา ยังชวนไปดูหนัง ถ่ายรูป กินข้าวตามประสาบ้าง ก่อนเขาจะเดินทางไปมาเลเซียเพื่อต่อวีซ่าท่องเที่ยวเราให้เค้ามาพักที่คอนโดเราหนึ่งคืนเพราะคอนโดเราอยุ่ใกล้สนามบินดอนเมืองแต่เรามีข้อแม้ว่าห้ามทำอะไรเรา ฮา ไม่ได้แอ้มง่ายๆจ้ะ ซึ่งน้องก็สุภาพบุรุษดีไม่แตะตัวเราเลยแล้วก็ไม่ได้ดูจะฉวยโอกาสเราก็ประทับใจค่ะ รู้สึกว่าช่วงนี้เขาน่ารักจัง มีเด็กมาทำให้หัวใจพองโต ช่วงเขาอยู่มาเลเซียก็คุยกันทุกวันมันเริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆแชร์นุ่นนี่นั่นกันไป เราคุยกับ m จนความนอยด์ที่มีต่อ k ค่อยๆหายไป แต่บางทีก็กลัวเป็นเหมือนคนก่อนอีกที่แรกเริ่มก็ดีหลังๆผู้ชายเปลี่ยนไป ไม่สม่ำเสมอ จนสถานการณ์โควิดแย่ลง m ต้องกลับประเทศก่อนกำหนด เลยต้องมาไทยเร็วขึ้นเขาเลยถามเราว่าอยู่ไหนดีมาอยุ่กับเราได้มั้ย เราเลยบอกได้แต่ว่าไม่มีอะไรกันนะครั้งนี้  เราต้องการจะพิสูจน์ว่าถ้าบอกว่าชอบเราจริงๆจะรอและแสดงความจริงใจได้มั้ย ส่วนหนึ่งก็ด้วยว่าเรายังไม่มั่นใจในตัวเขาเท่าไหร่เพราะยังเด็กอาจจะยังรักสนุก  เขาไปนอนกับใครมาบ้างก็ไม่รู้ สำหรับเราความปลอดภัยมาก่อน เขาก็โอเคถ้าเราไม่พร้อมเขาก็ไม่ได้จะเร่งอะไร ช่วงที่เขามาอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แรกๆก็แฮปปี้นะ เขาไม่สบายและเพิ่งกลับมาจากมาเลเซียด้วยเราก็พาไปหาหมอและตรวจโควิด ช่วงปลายเดือนมีนาคมประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดที่น่าวิตกกังวลเราจึงต้องอยู่แต่ในคอนโดออกไปไหนไม่ได้ ก็ กิน นอน วัดไข้กันวนไป แต่ช่วงใกล้วันที่เขาจะเดินทางกลับก็เริ่มรู้สึกเขาเหมือนมีความต้องการ ก็มีมาชวนเราแต่เราไม่ยอมด้วยเหตุผลที่บอกไป เขาก็ดูนอยด์ๆนิดนึงนะเราไม่รู้นะว่าเขาคิดยังไง เขาอาจจะเสียใจบวกความคิดที่ว่าเราไม่ได้ชอบเขาด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เราก็มีคุยกันบ้างในเรื่องนี้เขามองว่าความสนุกก็เป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ แต่สำหรับเราอยากมั่นใจในตัวคนนั้นก่อน เราบอกเขาไปว่าไม่อยากเป็น your holiday girlfriend ตอนนี้เขาอาจจะพูดอะไรก็ได้เพราะถ้าเขากลับไปเขาก็แค่หายไปเลยก็ยังได้ นั่นคือฝรั่งส่วนใหญ่ถ้าจะไม่จริงจังคงทำแบบนั้น เขายังพูดเลยว่า ก็จริงนะ เขาดูมีอารมณ์จึงชวนเรามีอะไรกับเขา เราก็ยังยืนยันคำเดิมค่ะ แต่เอะใจตรงที่เขาถามเราว่ามีถุงยางมั้ย เพราะก่อนที่เขาจะไปมาเลเซียเราแซวเขาเรื่องถุงยางว่าเราขอเผื่อจะได้ใช้ซึ่งเขาก็ขำๆ เราเลยคิดว่าเขาน่าจะใช้ตอนอยู่มาเลเซีย เขาก็ยอมรับนะและบอกว่าเขาไม่ได้ทำไรผิดนะเพราะเรายังไม่ได้ตกลงคบกันจริงจัง ถ้าเราเป็นแฟนกันเขาจะไม่ทำ สำหรับเราเฉยๆนะ ก็ถูกของเขา แต่เราก็แค่แบบ แหม ร้ายนะ ภาพลักษณ์ใสๆตอนแรกไม่ใช่และ แต่ผู้ชายอ่ะนะและด้วยวัยของเขา แต่..แต่มันมีที่พีคกว่านั้นค่ะทุกคน
คืนสุดท้ายเขาบอกจะไปนอนแถวนานาใกล้เพื่อนเขา เขาถามเราว่าถ้าคืนนี้เขาจะสนุกกับคนอื่นเราจะโอเคมั้ย  เราคิดว่าถ้าเขาต้องการขนาดนั้นแล้วเราไม่พร้อมเนี่ยก็ปล่อยเขาเถอะ เราคิดว่ามันคงไม่เป็นไรแต่ถ้าเขาไม่ทำก็คงประทับใจมากกว่า ก็โอเคขับรถไปส่งที่นานา แวะไปทักทายเพื่อนเขาด้วย ไปเดินเล่น ซื้อของฝากกัน เราบอกเขาระหว่างเดินค่ะว่าวันนี้ฟรีด้อมนะอยากทำอะไรก็ทำแล้วถ้ากลับประเทศไปแล้วยังอยากคบกันก็ค่อยคุยกัน  เขาก็พยักหน้า สักพักเขาก็บ่นว่าร้อนขอตัวไปอาบน้ำ โดยที่เรารู้สึกได้ว่าเขาไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่นะ ไม่แม้แต่จะกอด พูดจบก็เดินไปเลย คงรีบอาบน้ำเตรียมพร้อมมากกว่า เราอยู่กับเพื่อนเขาต่อสักพักก็กลับ ระหว่างกลับเราก็เริ่มรู้สึกว่ากับคนนี้คงไม่โอเคล่ะ การกระทำเขาไม่ได้เหมือนอย่างที่เขาพูดกับเราเลย ว่าอยากให้เราเป็นภรรยาเขา ปีหน้าแต่งงานกัน บลาๆ หลังจากนั้นเขาก็หายไปเกือบสองชั่วโมงค่ะ เราคิดว่ายังไงเขาก็น่าจะเรียกผู้หญิงมานอนแน่ๆเพราะเขาให้เราเปิดเน็ตให้ตอนเราขับรถไปส่งก็แอบเห็นส่งสติ๊กเกอร์จุ๊บๆด้วย น่าจะเป็นคนเดียวที่เขาเจอผ่านแอปก่อนเจอเรา ซึ่งเขาบอกว่าก็แค่ ONS หลังจากที่หายไปเกือบสองชั่วโมงเขาก็กลับมาคุยปกติ																															
						 
												
						
					
ประสบการณ์เดทและความแซ(ส)บของหนุ่มน้อยฝรั่ง ระวังให้ดีถ้าไม่อยากเป็น Holiday girlfriend.
เราอายุ 25 ปีค่ะ ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่มีคนมาจีบเรื่อยๆทั้งไทยและต่างชาติ สำหรับเราถ้าไม่ใช่เราก็ไม่คุยเลยตั้งแต่แรกเพราะไม่มีแพสชั่น ฮ่ะฮ่า อีกอย่างเมื่อก่อนยังเด็กไม่ได้ซีเรียสเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้เจอใครอีกเยอะ แต่หลังจากที่เราได้เจอคนที่คิดว่าน่าสนใจ ก็เลยอยากลองเปิดใจศึกษา เริ่มแรกเราทำงานในที่ที่ต้องเจอต่างชาติตลอด (ไม่ใช่งานกลางคืนนะคะ อย่าเข้าใจผิด อิอิ ) เลยทำให้เรามีโอกาสรู้จักชาวต่างชาติอยู่บ่อยๆ
ปลายปีที่แล้ว เราเจอผู้ชายไต้หวันเยอรมันคนหนึ่ง ชื่อ k ล่ะกัน อายุ 29 ปี เขาเป็นลูกค้าของที่ทำงานเราเองและมีเวลาว่างเหลือจากการทำงานที่กรุงเทพ 3 วัน เลยได้มีโอกาสพาไปเที่ยวที่อยุทธยา ก็ไปกันสองคนค่ะ ไม่มีอะไรมากก็พาไปเที่ยวตลาดน้ำอโยธยา อุทยานประวัติศาสตร์ แล้วไปนั่งทานขนมในร้านกาแฟ แล้วก็กลับกัน วันแรกก็รู้สึกว่าคุยกันถูกคอดี เขาก็ส่งข้อความมาขอบคุณและบอกว่าเขาสนุกมากสำหรับวันนี้ เราก็เฉยๆค่ะไม่ได้คิดว่าเขาจะจีบหรือมาชอบอะไร ก็วางตัวเป็นเพื่อนปกติ วันต่อมาเขาก็ส่งข้อความมาอีก ทักทายสวัสดีตอนเช้าปกติและก็ชวนเราไปทานบะหมี่ชื่อดัง ชามล่ะ 1,500 แอบปาดเหงื่อเบาๆแต่อร่อยก็ให้อภัย 5555 หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปหาเพื่อนก่อนแยกกันที่บีทีเอสเขาก็โอบกอดเราเบาๆ เราเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่อยากคิดไปเองก็เลยยังเฉยๆค่ะ ตอนเย็นก็ชวนเขาไปเยาวราชเพราะว่าเพื่อนของเราก็จะพาลูกค้าอีกคนไปพอดี เลยนัดว่าจะไปด้วยกันแต่พอเอาเข้าจริงลูกค้าอีกคนไม่ไปก็เลยกลายเป็นว่ามีแค่เรากับเพื่อนและเขาเป็น 3 คน ก็พาเขาไปหาอะไรอร่อยๆกิน เห็นแสงสียามค่ำคืนในกรุงเทพ เสร็จแล้วเราก็ไปเล่นสนุ๊กเกอร์ และเดินเยี่ยมชมในซอยคาวบอย สาวสวยละลานตาไปหมด 5555 คืนนั้นกว่าจะได้กลับบ้านนอนก็ปาเข้าไปตีสี่แทบหมดแรง ก่อนแยกย้ายกันเขาก็โอบกอดเราเบาๆเช่นเคยค่ะ วันสุดท้ายก่อนเขากลับก็ส่งข้อความมาหาอีกว่าเราสามารถไปที่ไหนได้ก่อนเขากลับบ้างมั้ย เรากับเพื่อนเลยพาเขาไปกินบอนชอนแล้วก็ไปเดินซื้อของฝากที่แพทตินั่ม เสร็จแล้วเพื่อนเขาก็มารับไปสนามบิน ก่อนกลับเขาก็เข้ามากอดแล้วก็บอกว่า keep in touch กันนะ แถมยังส่งข้อความมาอีกว่าขอบคุณมากๆสำหรับทุกอย่าง สนุกมากที่ใช้เวลาอยู่กับคุณ หวังว่าเราจะได้เจอกันเร็วๆนี้แล้วก็มีอีโมจิหัวใจ เราเริ่มรู้สึกได้ว่าเหมือนเขาก็เริ่มชอบเราแต่เราก็ยังไม่อยากคิดอะไรเพราะส่วนใหญ่เรามองว่าเขากลับประเทศไปก็คงลืมหรือความรู้สึกลดหายไปเอง เลยยังไม่อยากไปคิดอะไร แต่พอเขาถึงสนามบินจู่ๆก็วิดิโอคอลมาเราเลยคิดว่าเอ๋ มันก็แปลกๆนะ เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างทางต่อเครื่องยันถึงประเทศรายงานตลอด แล้วหลังจากนั้นเขาก็ทักมาทุกวัน สวัสดีตอนเช้า ตอนเย็นบอกฝันดีก่อนส่งเข้านอนทุกคืน ระหว่างวันก็คุยกันตลอด ช่วงนั้นเรานอนตีสามตีสี่ทุกวัน คุยกันจนเพื่อนแซวว่าอย่างกับแฟน บางทีเขาก็มีหึงที่เราต้องไปกับลูกค้าคนอื่น เราเลยคิดว่าเขาต้องชอบเราและเดี๋ยวก็ขอเราเป็นแฟนแน่ๆ ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะคะ แต่ลักษณะข้อความมันเหมือนแฟนจริงๆ แต่แล้วหลังจากคุยกันได้ประมาณ 2 เดือน ช่วงหลังคริสมาสต์ปีที่แล้วเราก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ความใส่ใจที่ลดลง เริ่มทักมาน้อยแต่บางทีเราก็ทักไปก่อนนะไม่ได้รอเขาทักฝ่ายเดียว เริ่มไม่สนใจบางคำถามที่ถามไป รูปในไอจีที่เคยไลค์เป็นคนแรกๆก็เริ่มไม่ไลค์ ที่เคยโทรหาวันเว้นวันก็กลายเป็นอาทิตย์ล่ะครั้ง แต่ก็ยังคุยกันเรื่อยๆนะแค่มันลดลงอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นเราที่หลังจากเขากลับไปก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ พอเขาเปลี่ยนไปจากที่เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกลายเป็นว่าเรายึดติด เราเริ่มนอยด์ที่เขาไม่เหมือนเดิม เริ่มเพ้อเจ้อ โพสสเตตัสประชดบ้าง จนเหมือนวันหนึ่งเหมือนมันระเบิด จนเขามาถามว่าที่โพสต์ไปหมายถึงใคร จนเรากับเขาก็เปิดใจคุยกันแต่เราก็ยังไม่ได้ถามซะทีเดียวว่าเขาจะเอายังไง แค่ถามว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป หลังจากคุยกันเข้าใจแล้วก็เริ่มปกติค่ะ แต่มันก็ค่อยๆลดลงคล้ายกับว่าเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เราคุยกับเขาต่อเรื่อยๆเพื่อดูท่าทีว่าเขาจะเอายังไง มันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเปล่า แต่ระหว่างรอนี้ก็นอยด์เป็นระยะ ได้แต่มองโลกในแง่ดีรวมถึงปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนๆบ้าง เขาก็ยังไม่ได้มีทีท่าว่าจะชัดเจนสักที
ประจวบกับช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมาเราได้เจอกับน้องฝรั่งผมทองตาฟ้าจากแถบนอดิกคนหนึ่งจากที่ทำงานเหมือนเดิม น้องเขาก็น่ารักดีค่ะ ให้ชื่อ m ล่ะกัน อายุ 22 ปีตัวสูงมากอีก 2 เซนติเมตรก็ 2 เมตรแล้ว ยืนด้วยกันนึกว่าพุ่มไม้ TT m เป็นช่างภาพ วันแรกที่เจอเราเขามีกล้องเลยเกิดความสนใจเพราะเราก็ชอบถ่ายรูปแล้วเราก็อยากได้เลนส์แบบใหม่ พร้อมอวดรูปที่เราถ่ายให้เขาดู เขาเลยถามอินสตาแกรมเราแต่เราไม่ได้ให้น้องก็ไม่ได้ถามต่อ แต่เพื่อนเราแคปไอจีเขามาให้ดูเราเลยตามไปขอฟอลโล่ ก็คุยกันทักทายทั่วไป จนช่วงวันเกิดเราเขาก็ทักมาชวนไปถ่ายรูปเขาบอกว่าไม่ค่อยมีรูปตัวเองเลยอยากให้เราถ่ายให้ เราว่างๆพอดีเลยไปก็ได้ เราไปถ่ายรูปกันที่สวนลุมพินีค่ะเสร็จแล้วพาเขาไปกินก๋วยเตี๋ยว ต่อด้วยมาม่าเกาหลีกับเพื่อนเรา เราคิดว่าเขาชอบเพื่อนเราเพราะดูกวนๆเหมือนกันคุยกันสนุกดี แต่หลังจากวันนั้นเขาก็ทักมาเรื่อยๆทุกวัน เราคิดว่าเขาอาจจะเหงาด้วยเพราะเขามาเที่ยวมีเพื่อนอยู่แค่คนเดียวบางทีเพื่อนก็ต้องอยู่กับแฟน เราเองก็เบื่อๆก็คิดว่าไม่ได้เสียหายอะไรเป็นเพื่อนกันไป แต่ระหว่างนี้เราก็บอก k ตลอดนะ บอกในฐานะอะไรไม่รู้เหมืนอกันแต่ความรู้สึกบอกให้บอก หลังๆน้องก็มีชวนไปนวดหน้า ไปเดินตลาดรถไฟ กินข้าว ดูหนัง ไปเจอเพื่อนๆเขา ไปถ่ายรูปบ้าง บางที k ก็บอกว่าหึงบ้าง ไม่อนุญาติบ้างแต่ก็เป็นลักษณะขำๆ มากกว่า เราสังเกตได้ว่า m ก็เริ่มชมเรา เริ่มน้อยใจเรื่องอายุที่เราไม่ชอบคนที่เด็กกว่า ชวนเราไปมาเลเซียโดยบอกว่าอยากไปกับเราแต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้เราคงไม่เสี่ยงไป เราไม่ได้ชอบน้องอ่ะ บางทีน้องแซวมาเรื่องเหมือนแฟนกันหรือเรื่องแต่งงาน มีลูก เราก็ไม่สนใจเพราะเราคิดว่าผู้ชายแรกๆก็เป็นอย่างนี้ บางทีก็เปลี่ยนเรื่องไปจนน้องเหมือนระเบิดอารมณ์ คุยกันอยู่ดีๆ ก็บอกอยากกลับประเทศไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่ มาเอเชียเพื่ออะไร เราเริ่มรู้สึกได้ว่า m แปลกๆไป เลยถามไปตรงๆแรกๆก็ไม่บอกจนนี่ขยั้นคยอ สุดท้ายน้องก็เลยบอกว่าชอบเรามากจริงๆ แต่รู้ว่าเราไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน กลายเป็นดราม่าซะงั้น เราเองก็ไม่อยากให้น้องเสียใจ เราเข้าใจเวลาที่คนเรารู้สึกแย่เป็นยังไง ช่วงนั้นเราเองก็ยังคาราคาซังกับหนุ่มเยอรมันเราเลยตัดสินใจถามหนุ่มเยอรมันไปตรงๆหลังจากที่ยืดเยื้อกันมานานว่าตกลงการที่เราคุยกันมาเนี่ย ต้องการอะไรจากเรามั้ย ต้องการแค่เพื่อนใช่มั้ย ช่วยบอกเราที สิ่งที่เขาตอบกลับมาก็คือ ฉันยังไม่รู้นะ อยู่ที่ว่าอนาคตเธอจะอยุ่ที่ไหน เราไม่สามารถพัตนาความสัมพันธ์ได้เพราะตอนนี้เราอยู่คนล่ะที่เป็นไปไม่ได้ที่จะคบกันเร็วๆนี้ เขาต้องการเวลามากกว่านี้และอยากรอดูหากว่ากลางปีเราสามารถไปเรียนต่อที่ประเทศเขาได้ค่อยดูอนาคตอีกที เขาเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่มีความคิดนะ มีงานที่ดีทำแต่เรารู้สึกว่าการจะคุยกันไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดมุ่งหมายแล้วปล่อยตามโชคชะตากำหนดมันก็เข้าใจได้นะแต่สำหรับเราคิดว่าคงไม่ดีเท่าไหร่ เราก็อึ้งนะกับคำว่ายังไม่รู้ของเขา สิ่งที่เราเสียใจคือทำไมในเมื่อเขามีไอเดียแบบนี้ว่าการที่คนจะคบกันต้องรู้จักกันดีพอและต้องอยู่ใกล้ๆกัน แล้วที่ผ่านมาจะคุยแบบนั้นกับเราทำ 😊 อะไรว่ะ ฮา เลยคิดว่าโอเค พอล่ะ สำหรับเราถ้าเขาชัดเจนมาแบบนี้ก็ไม่ค้างคาและไม่รอล่ะ บางครั้งเราหงุดหงิดเขาจนพาลใส่ m ก็มี แต่พอคำตอบมันชัดเจนเราโอเคมากๆเราเลยคิดว่าไหนๆก็ไหนๆลองให้โอกาศตัวเองและ m ดู แม้ว่าเขาจะเด็กกว่าเรายอมมองข้ามข้อนี้ไปได้(แม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าคิดผิด 5555 )
m ก็ชวนน้องออกไปหาอะไรกินพร้อมเพื่อนๆของเขา ยังชวนไปดูหนัง ถ่ายรูป กินข้าวตามประสาบ้าง ก่อนเขาจะเดินทางไปมาเลเซียเพื่อต่อวีซ่าท่องเที่ยวเราให้เค้ามาพักที่คอนโดเราหนึ่งคืนเพราะคอนโดเราอยุ่ใกล้สนามบินดอนเมืองแต่เรามีข้อแม้ว่าห้ามทำอะไรเรา ฮา ไม่ได้แอ้มง่ายๆจ้ะ ซึ่งน้องก็สุภาพบุรุษดีไม่แตะตัวเราเลยแล้วก็ไม่ได้ดูจะฉวยโอกาสเราก็ประทับใจค่ะ รู้สึกว่าช่วงนี้เขาน่ารักจัง มีเด็กมาทำให้หัวใจพองโต ช่วงเขาอยู่มาเลเซียก็คุยกันทุกวันมันเริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆแชร์นุ่นนี่นั่นกันไป เราคุยกับ m จนความนอยด์ที่มีต่อ k ค่อยๆหายไป แต่บางทีก็กลัวเป็นเหมือนคนก่อนอีกที่แรกเริ่มก็ดีหลังๆผู้ชายเปลี่ยนไป ไม่สม่ำเสมอ จนสถานการณ์โควิดแย่ลง m ต้องกลับประเทศก่อนกำหนด เลยต้องมาไทยเร็วขึ้นเขาเลยถามเราว่าอยู่ไหนดีมาอยุ่กับเราได้มั้ย เราเลยบอกได้แต่ว่าไม่มีอะไรกันนะครั้งนี้ เราต้องการจะพิสูจน์ว่าถ้าบอกว่าชอบเราจริงๆจะรอและแสดงความจริงใจได้มั้ย ส่วนหนึ่งก็ด้วยว่าเรายังไม่มั่นใจในตัวเขาเท่าไหร่เพราะยังเด็กอาจจะยังรักสนุก เขาไปนอนกับใครมาบ้างก็ไม่รู้ สำหรับเราความปลอดภัยมาก่อน เขาก็โอเคถ้าเราไม่พร้อมเขาก็ไม่ได้จะเร่งอะไร ช่วงที่เขามาอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แรกๆก็แฮปปี้นะ เขาไม่สบายและเพิ่งกลับมาจากมาเลเซียด้วยเราก็พาไปหาหมอและตรวจโควิด ช่วงปลายเดือนมีนาคมประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดที่น่าวิตกกังวลเราจึงต้องอยู่แต่ในคอนโดออกไปไหนไม่ได้ ก็ กิน นอน วัดไข้กันวนไป แต่ช่วงใกล้วันที่เขาจะเดินทางกลับก็เริ่มรู้สึกเขาเหมือนมีความต้องการ ก็มีมาชวนเราแต่เราไม่ยอมด้วยเหตุผลที่บอกไป เขาก็ดูนอยด์ๆนิดนึงนะเราไม่รู้นะว่าเขาคิดยังไง เขาอาจจะเสียใจบวกความคิดที่ว่าเราไม่ได้ชอบเขาด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เราก็มีคุยกันบ้างในเรื่องนี้เขามองว่าความสนุกก็เป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ แต่สำหรับเราอยากมั่นใจในตัวคนนั้นก่อน เราบอกเขาไปว่าไม่อยากเป็น your holiday girlfriend ตอนนี้เขาอาจจะพูดอะไรก็ได้เพราะถ้าเขากลับไปเขาก็แค่หายไปเลยก็ยังได้ นั่นคือฝรั่งส่วนใหญ่ถ้าจะไม่จริงจังคงทำแบบนั้น เขายังพูดเลยว่า ก็จริงนะ เขาดูมีอารมณ์จึงชวนเรามีอะไรกับเขา เราก็ยังยืนยันคำเดิมค่ะ แต่เอะใจตรงที่เขาถามเราว่ามีถุงยางมั้ย เพราะก่อนที่เขาจะไปมาเลเซียเราแซวเขาเรื่องถุงยางว่าเราขอเผื่อจะได้ใช้ซึ่งเขาก็ขำๆ เราเลยคิดว่าเขาน่าจะใช้ตอนอยู่มาเลเซีย เขาก็ยอมรับนะและบอกว่าเขาไม่ได้ทำไรผิดนะเพราะเรายังไม่ได้ตกลงคบกันจริงจัง ถ้าเราเป็นแฟนกันเขาจะไม่ทำ สำหรับเราเฉยๆนะ ก็ถูกของเขา แต่เราก็แค่แบบ แหม ร้ายนะ ภาพลักษณ์ใสๆตอนแรกไม่ใช่และ แต่ผู้ชายอ่ะนะและด้วยวัยของเขา แต่..แต่มันมีที่พีคกว่านั้นค่ะทุกคน
คืนสุดท้ายเขาบอกจะไปนอนแถวนานาใกล้เพื่อนเขา เขาถามเราว่าถ้าคืนนี้เขาจะสนุกกับคนอื่นเราจะโอเคมั้ย เราคิดว่าถ้าเขาต้องการขนาดนั้นแล้วเราไม่พร้อมเนี่ยก็ปล่อยเขาเถอะ เราคิดว่ามันคงไม่เป็นไรแต่ถ้าเขาไม่ทำก็คงประทับใจมากกว่า ก็โอเคขับรถไปส่งที่นานา แวะไปทักทายเพื่อนเขาด้วย ไปเดินเล่น ซื้อของฝากกัน เราบอกเขาระหว่างเดินค่ะว่าวันนี้ฟรีด้อมนะอยากทำอะไรก็ทำแล้วถ้ากลับประเทศไปแล้วยังอยากคบกันก็ค่อยคุยกัน เขาก็พยักหน้า สักพักเขาก็บ่นว่าร้อนขอตัวไปอาบน้ำ โดยที่เรารู้สึกได้ว่าเขาไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่นะ ไม่แม้แต่จะกอด พูดจบก็เดินไปเลย คงรีบอาบน้ำเตรียมพร้อมมากกว่า เราอยู่กับเพื่อนเขาต่อสักพักก็กลับ ระหว่างกลับเราก็เริ่มรู้สึกว่ากับคนนี้คงไม่โอเคล่ะ การกระทำเขาไม่ได้เหมือนอย่างที่เขาพูดกับเราเลย ว่าอยากให้เราเป็นภรรยาเขา ปีหน้าแต่งงานกัน บลาๆ หลังจากนั้นเขาก็หายไปเกือบสองชั่วโมงค่ะ เราคิดว่ายังไงเขาก็น่าจะเรียกผู้หญิงมานอนแน่ๆเพราะเขาให้เราเปิดเน็ตให้ตอนเราขับรถไปส่งก็แอบเห็นส่งสติ๊กเกอร์จุ๊บๆด้วย น่าจะเป็นคนเดียวที่เขาเจอผ่านแอปก่อนเจอเรา ซึ่งเขาบอกว่าก็แค่ ONS หลังจากที่หายไปเกือบสองชั่วโมงเขาก็กลับมาคุยปกติ