**ก่อนอื่นเจ้าของกระทู้ขอชี้แจงให้ทราบก่อนว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนประสบพบเจอมากับตัวเองโดยตรง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีการแต่งเรื่องหรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาแต่อย่างใด หากเรื่องที่เล่าไปมีการพาดพิงด้านความเชื่อ การลบหลู่หรือมีข้อผิดพลาดประการใด จขกทขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย โปรดใช้สติและวิจารณญาณในการอ่าน**
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2558 ตอนนั้น จขกท พึ่งเข้าปี 1 มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของภาคเหนือ ซึ่งตอนนั้นเด็กปีหนึ่งส่วนใหญ่ต้องอยู่หอในกันเพื่อที่จะได้สะดวกต่อการนัดหมายและทำกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีหอพักให้เลือกอยู่สองแบบ คือหอเก่าและหอใหม่ โดยที่หอพักเก่าเป็นหอพักชั้นเดียว มีหลายห้องอยู่ติดๆ สร้างมาตั้งแต่ช่วงแรกๆของการสร้างมหาวิทยาลัยและหอพักเก่านี้จะอยู่บนตีนเขาเรียงยาวขึ้นไปเป็นหอๆ ส่วนหอพักใหม่ เป็นหอพักที่มีสี่ชั้น แยกชายหญิง เป็นหอใหม่ที่พึ่งสร้างได้ไปกี่ปี โดยที่หอทั้งสองนี้อยู่ใกล้ๆกัน สามารถเดินไปมาหากันได้ ตอนนั้นจขกท ได้เลือกจองหอพักแบบใหม่ที่เป็นห้องแอร์แบบสองคน ด้วยความที่ไม่ชอบให้ใครเหยียบหัวเลยเลือกอยู่ชั้นสี่ชั้นบนสุด โดยรูปเมทที่ได้ก็เกิดจากการสุ่มนั่นเอง จำได้เลยว่าช่วงนั้นเป็นช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ เกิดความแห้งแล้งไปทุกหย่อมหญ้า ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก น้ำในอ่างเก็บน้ำของทางมหาวิทยาลัยก็แห้งขอด จึงทำให้น้ำที่มีอยู่ตอนนั้นไม่พอที่แจกจ่ายไปยังห้องที่อยู่ชั้นสูงๆได้ จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ หลังจากที่น้ำไม่ไหลหลายๆวัน ตอนนั้นจขกท เริ่มเครียดเพราะเสื้อผ้าไม่ได้ซักและไม่มีน้ำใช้เลย จขกทมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึงที่อยู่คนละหอกัน ชื่อว่าไอ่นาย(นามสมมุติ) ไอ่เราจึงได้ชวนไอ่นายไปอาบน้ำและซักผ้าที่หอเก่าที่อยู่บนตีนเขากัน สาเหตุที่ไปหอเก่าเพราะว่าหอนี้ใช้แหล่งน้ำคนละที่กับหอใหม่ ทำให้มีน้ำไหลตลอดเวลา ช่วงนั้นเด็กปีหนึ่งจะพากันไปใช้น้ำที่หอเก่านี้เยอะมาก แทบจะพูดได้เลยว่าต้องต่อคิวยาวเลย ดังนั้นจขกทกับไอ่นายจึงมักชอบไปอาบน้ำหรือซักผ้าในเวลาดึกๆนั่นเอง เพราะคนน้อยและไม่ต้องต่อคิวนาน.... อยู่มาวันหนึ่ง ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าได้ จขกทกับไอ่นายได้พากันไปอาบน้ำที่ห้องเพื่อนตามเดิม แต่วันนี้ผิดคาดหอของเพื่อนมีประชุมหอพอดี เลยทำให้ไม่สามารถเข้าไปอาบน้ำได้ จขกทจึงบอกกับไอ่นายว่าแถวนี้มีที่นั่งม้าหินอ่อนอยู่ ให้ไปนั่งรอก่อน (นึกภาพตามนะ พอเดินขึ้นตีนเขามา ม้านั่งหินอ่อนจะอยู่ใต้ต้นไม้ทางซ้ายมือ ส่วนหอเพื่อนที่จะไปอาบน้ำอยู่ทางขวามือ ซึ่งหอเพื่อนกับที่นั่งม้าหินอ่อนนี้จะอยู่ตรงข้ามฝั่งถนนกัน) จากนั้นพอจขกทกับไอ่นายนั่งม้าหินอ่อนได้ไม่ถึงห้านาที ไอ่นายมีอาการหน้ามืดและเวียนหัว จึงนั่งฟุบหน้าลงไป ด้วยความที่จขกทคิดว่าไอ่นายแกล้งจึงแซวไอ่นายไปว่า นี่มันจะตีหนึ่งแล้วนะ อากาศก็ไม่ได้ร้อน จะหน้ามืดได้ไงวะ อำกูอีกละ แต่ไอ่นายก็ก้มหน้าต่อไม่ได้พูดอะไร จขกท เลยหยิบมือถือมาถ่ายรูปไอ่นายตามประสา แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร รู้สึกแค่ว่าอากาศเย็นสบายแบบนี้มันจะเวียนหัวหน้ามืดได้ยังไงกัน เราสองคนก็นั่งรออยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงได้ เป็นเวลาตีหนึ่งพอดีกว่าที่จะได้อาบน้ำและแยกย้ายกันกลับหอไป จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้ประมาณ 1 เดือน เริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดกับจขกทเอง โดยเหตุการณ์แรกที่เจอเลยคือ ช่วงประมาณตีสองตีสาม จขกทมักจะโดนผีอำแทบจะทุกคืนเลย ทำให้ไม่ค่อยได้หลับได้นอน จนในที่สุด จขกท ทนไม่ไหวเลยตัดสินใจแน่วแน่ว่าวันนี้ต้องรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าที่เราเจอทุกวันนี้เป็นเพราะคิดไปเองหรือเกิดจากอะไรกันแน่ จนกระทั่งตีสองกว่าวันเดียวกันจขกทก็เข้านอนตามปกติ จังหวะที่กำลังจะผล็อยหลับไป รู้สึกได้เลยว่าตัวแข็งทื่อขยับตัวไม่ได้ จะเรียกรูมเมทก็เรียกไม่ได้ นึกในใจกูโดนดีเข้าให้แล้ว จึงรวบรวมสติและพยามลืมตาให้ได้ เพราะอยากเห็นกับตาว่ามันคืออะไรกันแน่ จนมีจังหวะหนึ่งที่เราสู้กับแรงต้านนั้นแล้วลืมตาได้ ภาพเบื้องหน้าที่เห็นตอนนั้นคือ เงาทะมึนสีดำสูงใหญ่หัวชนผนังกำลังจ้องมองมาที่เราอยู่ปลายเตียง ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า กูต้องตาฝาดแน่ๆ ผีไม่มีจริงหรอก คงคิดมากไปเอง และก็ฝืนหลับไปจนถึงเช้า แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง จนเวลาผ่านไปก็ไม่เคยเจอร่างดำนี้อีกเลย ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง รูมเมทต้องไปงานบายเนียร์ของสาขา ซึ่งจขกทจำได้ขึ้นใจเลยว่าวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกและอยู่ห้องคนเดียว ประมาณหนึ่งทุ่มได้ จขกทก็ได้นั่งทำการบ้านที่โต๊ะ บรรยากาศในห้องเงียบเชียบมาก ไม่ทันไรก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา แอ๊ดดดดดดดด ลากยาวๆ จขกท เลยชะโงกหน้าออกมาดู เห็นประตูเสื้อผ้าของรูมเมทเปิดออกเอง สักพักก็มีของตกลงมาดัง เพล๊งง! เป็นพัดลมระบายอากาศแลปท็อปของรูปเมทตกลงมา ไอ่เราก็นิ่งเพราะเห็นของหล่นลงมากับตา ในใจคิดว่าถ้าปกติแล้วของน่าจะหล่นลงมาพร้อมกับตอนที่ประตูเสื้อผ้าเปิดสิ แต่นี่ประตูเสื้อผ้าเปิดก่อนแล้วของถึงจะหล่นตามมา ตอนนั้นเริ่มสติแตกได้แต่ท่องพุทโธๆ ในใจ และคิดว่าคงไม่มีอะไร น่าจะเป็นลม แต่ลืมนึกไปว่าตอนนั้นประตูหลังห้องปิดหมด พัดลมหรือแอร์ก็ไม่ได้เปิด เพราะฝนตก อากาศเย็น แล้วมันคืออะไร เราก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงคนย่ำเท้าอยู่ที่นอกระเบียง เสียงเหมือนคนใส่รองเท้าแตะเดินไปมา แล้วเสียงก็เงียบไปพักใหญ่ แล้วเสียงนั้นก็กลับมาดังอีก แต่คราวนี้เสียงย่ำเท้ากลับมาดังในห้องน้ำที่อยู่ในห้องแทน ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกแล้ว สติแตกวิ่งออกนอกห้อง พลางโทรเรียกเพื่อนที่อยู่ชั้นสามมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วก็เรียกรูมเมทให้รีบกลับมา จนเกือบสามทุ่มรูมเมทก็กลับมา จึงได้เล่าสิ่งที่ตัวเองเจอให้รูมเมทฟัง ทีแรกก็ไม่เชื่อตากับหูตัวเองเพราะคิดว่าคงคิดไปเองตามเดิม แต่รอบนี้มันจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว อย่างเสียงคนเดินไปมานอกระเบียง ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเราอยู่ตั้งชั้นสี่ ถ้ามีคนเดินข้างล่าง เสียงก็ไม่น่าจะดังมาถึงในนี้ อีกอย่างนอกระเบียง จขกท ก็ตากผ้าไว้เต็มราว แทบจะไม่มีที่ให้เดิน แล้วจะมีเสียงคนเดินได้ยังไง แล้วไหนจะเสียงคนใส่รองเท้าแตะเดินไปมาในห้องน้ำอีก แค่คิดก็แทบบ้าแล้ว ประจวบกับในช่วงนั้นเองก็เป็นช่วงที่ทางมหาวิทยาลัยกำลังจะมีพิธีบวงสรวงด้วย เลยคิดว่าตัวเองน่าจะโดนแจ็กพ็อตแล้วล่ะ แต่ก็พยายามปล่อยผ่าน ไม่คิดอะไรมาก เพราะว่าเราจะต้องอยู่ห้องนี้ไปอีกนาน แต่เรื่องมันไม่จบแค่นี้ พอเวลาผ่านได้สักประมาณ 1 เดือน จขกท เริ่มมีอาการจุกเสียดที่อกขวาลามไปถึงช่วงหลัง เวลานอนจะหายใจไม่ออก อาการช่วงแรกๆจะเป็นๆหายๆ จขกทก็คิดเองเออเองอีกว่าน่าจะเป็นลมในกระเพาะมากกว่า แต่พอผ่านไปอาการเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น จากที่เป็นๆหายๆ ก็เริ่มเจ็บถี่มากกว่าเดิมเหมือนมีใครอะไรมาแทงที่อกทะลุไปถึงหลัง ตอนนั้นทนไม่ไหวจึงโทรไปร้องไห้กับที่บ้าน แม่ก็เลยบอกให้ไปหาหมอ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กปีหนึ่ง พึ่งมาอยู่ได้ไม่นานเลยบอกกับแม่เพื่อให้แกสบายใจว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็คงหาย ช่วงนั้น จขกท โทรมมากเพราะไม่ได้นอน กินอะไรก็ไม่ลงเพราะมันเจ็บและจุกเหมือนมีมีอะไรทิ่มแทงตลอดเวลา จนถึงช่วงพักปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะต้องกลับมาเรียนต่อเทอมสาม จขกท จึงได้กลับบ้านเพื่อที่จะได้ให้แม่พาไปโรงพยาบาล ด้วยความที่วันนั้นกลับถึงบ้านเกือบบ่าย ไปโรงพยาบาลไม่ทัน แม่เลยบอกให้ไปแล็ปตรวจเลือดก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปโรงพยาบาล จะได้เอาผลตรวจไปให้หมอดูด้วย จขกท ก็ไม่ขัดแม่แต่อย่างใด ไปแล็ปตรวจเลือดแล้วก็เจาะเลือดตรวจกับปัสสาวะ ผลออกมาว่าร่างกายปกติทุกอย่าง แต่พบเกล็ดเลือดในปัสสาวะ พูดง่ายๆคือ ในฉี่มีเลือดปนอยู่ เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์เลยแนะนำให้ไปโรงพยาบาลโดยให้เอาผลตรวจนี้ไปให้หมอวินิจฉัยด้วย วันต่อมาก็ไปโรงพยาบาล ตรวจอะไรอยู่นาน สุดท้ายหมอสรุปว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้ยาฆ่าเชื้อ แก้อักเสบและยาพารามาทาน แต่ก็บอกไม่ได้ว่าอาการที่จุกแน่นหน้าอกลามไปด้านหลังเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะพอตรวจที่โรงพยาบาลรอบสอง ผลก็ออกมาปกติ สุดท้ายก็คลุมเครือหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ พอกลับมาถึงบ้าน แม่เห็นอาการของจขกท ไม่ค่อยดี จึงเดินเข้ามาหาแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ ณ ตอนนั้น แม่ไม่ได้พูดอะไรเลย จนตอนเช้าของอีกวัน แม่ก็ได้โทรไปที่ตำหนักร่างทรงแห่งหนึ่ง ซึ่งแม่นับถือและเลื่อมใสศรัทธาในความเก่งกล้าและความขลังของที่นี่มาก จขกท จึงถามแม่ว่าแม่จะพาไปที่แบบนี้จริงๆเหรอ ด้วยความที่ตอนนั้นจขกท ไม่ค่อยเชื่อพวกนี้เลย แต่ก็ไม่อยากขัดใจแม่ แม่ก็เลยสารภาพออกมาว่าที่แม่โทรไปหาร่างทรงและต้องพึ่งทางไสยศาสตร์ ก็เพราะว่าเมื่อวานตอนที่แม่กำลังจะเดินมาหาลูก แม่ไม่เห็นตาดำของลูก เห็นแต่ตาขาว แล้วพอเดินเข้าไปใกล้ๆก็ได้กลิ่นสาปสาง คล้ายกลิ่นศพ แม่เห็นท่าไม่ดีเลยต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยด่วน จขกท ก็เริ่มใจคอไม่ดี ไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง แต่ท่าทีของแม่ตอนนั้นดูซีเรียสเลย แม่คงไม่โกหกเราหรอก ตอนแรกที่แม่โทรไปม้าขี่บอกว่าไม่ว่าง ให้มาวันอื่นแทน (ม้าขี่ในทางเหนือหมายถึงร่างกายมนุษย์ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการมาประทับร่างขององค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ตอนนั้นถอดใจแล้วว่าคงไม่ได้ไปเพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับมอไปเรียนเทอมสามแล้ว แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ม้าขี่ก็โทรกลับมาบอกว่าให้รีบพาลูกมาที่ตำหนักโดยด่วนเลยนะ จขกท ก็เลยไปกับแม่ พอไปถึงตอนนั้นม้าขี่ได้ใส่ชุดขาวมารอต้อนรับแล้วก็บอกว่าไปไหนไม่ได้เพราะองค์เขาไม่ให้ไป ให้ช่วยเราก่อน พอเข้าไปในตำหนักร่างทรงก็จับมือแล้วขอวันเดือนปีเกิดเท่านี้ ไม่กี่อึดใจ ท่านก็ทักขึ้นมาว่า ชอบไปที่ไหนตอนดึกๆ ทำไมไม่อยู่ห้อง ไอ่เราก็เลยตอบไปว่าให้ไปไหนล่ะ ดึกๆก็อยู่ห้องตลอด ไม่ได้ออกไปไหน ท่านก็เลยสวนกลับมาว่า ก็ที่ไปนั่งใต้ต้นไม้บนเนินสูงๆอ่ะ มันที่ไหน กูเห็นไปนั่งอยู่กับเพื่อนอีกคน พอได้ฟัง ภาพเมื่อสองเดือนก่อนกลับเข้ามาในหัว เป็นภาพที่เรานั่งรออาบน้ำอยู่ที่ม้าหินอ่อนกับเพื่อน ท่านก็พูดต่อว่าจำไม่ได้เหรอวันนั้นเพื่อนเวียนหัวนี่ รู้รึป่าวว่าไปโดนอะไรมา กูจะเล่าให้ฟัง จากนั้นท่านก็เล่าออกมาเป็นฉากๆ จำได้ไหมข้างหลังมันมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นมีสัมภเวสีสิงสู่อยู่ ที่จริงมันรอมานานแล้วนะ รอให้มานั่งตรงนี้ มันจะได้แก้แค้น เราจึงถามกลับไปว่า ไม่เคยรู้จักกันหรือไปทำอะไรให้ทำไมถึงต้องมาอาฆาตเราด้วย ตอนนั้นเชื่อเต็มร้อยเลยว่าสิ่งที่ท่านพูดต้องเป็นความจริง ไม่งั้นท่านคงเล่าออกมาเป็นฉากๆแบบนี้ไม่ได้ ท่านจึงบอกว่าเรากับเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน เขารอเรามานานแสนนาน รอให้ได้มาพบกันอีกจะได้แก้แค้นให้ตายตกไปตามกัน แต่ว่าจะเป็นเวรกรรมเรื่องใดนั้น จขกท ขอไม่เล่าตรงนี้ ท่านก็พูดต่อว่าถ้าไม่มีของดีของแม่ ของศาลเจ้าหน้าบ้าน ป่านนี้ตายโหงไปนานแล้ว มันจะทำให้ตกเขาตายคืนนั้นเลยมันก็จะทำ จะให้โดนรถชนตายมันก็จะทำ แต่ติดที่มีของดีรักษาเยอะมันเลยทำไรมากไม่ได้ คิดดูว่าผ่านมากี่เดือนแล้ว ยังรอดกลับมาหาแม่ได้ ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้ก็ใกล้ครบวันทำบุญร้อยวันแล้ว ตอนนั้นยอมรับเลยว่าอึ้งและทำอะไรไม่ถูกได้แต่ฟังและจำคำพูดของท่านที่พูดมาได้ทุกประโยค ท่านก็บอกว่า สัมภเวสีตนนี้มีฤทธิ์แรงมาก เพราะเกิดจากความแค้นพยาบาทและต้องการเอาชีวิตไปเป็นตัวตายตัวแทน ณ ที่ต้นไม้แห่งนั้น ในเมื่อทำอะไรเราไม่ได้ จึงได้แฝงร่างเกาะติดมานับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา (มีต่อ)
(*ประสบการณ์จริง) ผีหอใน มหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2558 ตอนนั้น จขกท พึ่งเข้าปี 1 มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของภาคเหนือ ซึ่งตอนนั้นเด็กปีหนึ่งส่วนใหญ่ต้องอยู่หอในกันเพื่อที่จะได้สะดวกต่อการนัดหมายและทำกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีหอพักให้เลือกอยู่สองแบบ คือหอเก่าและหอใหม่ โดยที่หอพักเก่าเป็นหอพักชั้นเดียว มีหลายห้องอยู่ติดๆ สร้างมาตั้งแต่ช่วงแรกๆของการสร้างมหาวิทยาลัยและหอพักเก่านี้จะอยู่บนตีนเขาเรียงยาวขึ้นไปเป็นหอๆ ส่วนหอพักใหม่ เป็นหอพักที่มีสี่ชั้น แยกชายหญิง เป็นหอใหม่ที่พึ่งสร้างได้ไปกี่ปี โดยที่หอทั้งสองนี้อยู่ใกล้ๆกัน สามารถเดินไปมาหากันได้ ตอนนั้นจขกท ได้เลือกจองหอพักแบบใหม่ที่เป็นห้องแอร์แบบสองคน ด้วยความที่ไม่ชอบให้ใครเหยียบหัวเลยเลือกอยู่ชั้นสี่ชั้นบนสุด โดยรูปเมทที่ได้ก็เกิดจากการสุ่มนั่นเอง จำได้เลยว่าช่วงนั้นเป็นช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ เกิดความแห้งแล้งไปทุกหย่อมหญ้า ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก น้ำในอ่างเก็บน้ำของทางมหาวิทยาลัยก็แห้งขอด จึงทำให้น้ำที่มีอยู่ตอนนั้นไม่พอที่แจกจ่ายไปยังห้องที่อยู่ชั้นสูงๆได้ จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ หลังจากที่น้ำไม่ไหลหลายๆวัน ตอนนั้นจขกท เริ่มเครียดเพราะเสื้อผ้าไม่ได้ซักและไม่มีน้ำใช้เลย จขกทมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึงที่อยู่คนละหอกัน ชื่อว่าไอ่นาย(นามสมมุติ) ไอ่เราจึงได้ชวนไอ่นายไปอาบน้ำและซักผ้าที่หอเก่าที่อยู่บนตีนเขากัน สาเหตุที่ไปหอเก่าเพราะว่าหอนี้ใช้แหล่งน้ำคนละที่กับหอใหม่ ทำให้มีน้ำไหลตลอดเวลา ช่วงนั้นเด็กปีหนึ่งจะพากันไปใช้น้ำที่หอเก่านี้เยอะมาก แทบจะพูดได้เลยว่าต้องต่อคิวยาวเลย ดังนั้นจขกทกับไอ่นายจึงมักชอบไปอาบน้ำหรือซักผ้าในเวลาดึกๆนั่นเอง เพราะคนน้อยและไม่ต้องต่อคิวนาน.... อยู่มาวันหนึ่ง ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าได้ จขกทกับไอ่นายได้พากันไปอาบน้ำที่ห้องเพื่อนตามเดิม แต่วันนี้ผิดคาดหอของเพื่อนมีประชุมหอพอดี เลยทำให้ไม่สามารถเข้าไปอาบน้ำได้ จขกทจึงบอกกับไอ่นายว่าแถวนี้มีที่นั่งม้าหินอ่อนอยู่ ให้ไปนั่งรอก่อน (นึกภาพตามนะ พอเดินขึ้นตีนเขามา ม้านั่งหินอ่อนจะอยู่ใต้ต้นไม้ทางซ้ายมือ ส่วนหอเพื่อนที่จะไปอาบน้ำอยู่ทางขวามือ ซึ่งหอเพื่อนกับที่นั่งม้าหินอ่อนนี้จะอยู่ตรงข้ามฝั่งถนนกัน) จากนั้นพอจขกทกับไอ่นายนั่งม้าหินอ่อนได้ไม่ถึงห้านาที ไอ่นายมีอาการหน้ามืดและเวียนหัว จึงนั่งฟุบหน้าลงไป ด้วยความที่จขกทคิดว่าไอ่นายแกล้งจึงแซวไอ่นายไปว่า นี่มันจะตีหนึ่งแล้วนะ อากาศก็ไม่ได้ร้อน จะหน้ามืดได้ไงวะ อำกูอีกละ แต่ไอ่นายก็ก้มหน้าต่อไม่ได้พูดอะไร จขกท เลยหยิบมือถือมาถ่ายรูปไอ่นายตามประสา แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร รู้สึกแค่ว่าอากาศเย็นสบายแบบนี้มันจะเวียนหัวหน้ามืดได้ยังไงกัน เราสองคนก็นั่งรออยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงได้ เป็นเวลาตีหนึ่งพอดีกว่าที่จะได้อาบน้ำและแยกย้ายกันกลับหอไป จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้ประมาณ 1 เดือน เริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดกับจขกทเอง โดยเหตุการณ์แรกที่เจอเลยคือ ช่วงประมาณตีสองตีสาม จขกทมักจะโดนผีอำแทบจะทุกคืนเลย ทำให้ไม่ค่อยได้หลับได้นอน จนในที่สุด จขกท ทนไม่ไหวเลยตัดสินใจแน่วแน่ว่าวันนี้ต้องรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าที่เราเจอทุกวันนี้เป็นเพราะคิดไปเองหรือเกิดจากอะไรกันแน่ จนกระทั่งตีสองกว่าวันเดียวกันจขกทก็เข้านอนตามปกติ จังหวะที่กำลังจะผล็อยหลับไป รู้สึกได้เลยว่าตัวแข็งทื่อขยับตัวไม่ได้ จะเรียกรูมเมทก็เรียกไม่ได้ นึกในใจกูโดนดีเข้าให้แล้ว จึงรวบรวมสติและพยามลืมตาให้ได้ เพราะอยากเห็นกับตาว่ามันคืออะไรกันแน่ จนมีจังหวะหนึ่งที่เราสู้กับแรงต้านนั้นแล้วลืมตาได้ ภาพเบื้องหน้าที่เห็นตอนนั้นคือ เงาทะมึนสีดำสูงใหญ่หัวชนผนังกำลังจ้องมองมาที่เราอยู่ปลายเตียง ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า กูต้องตาฝาดแน่ๆ ผีไม่มีจริงหรอก คงคิดมากไปเอง และก็ฝืนหลับไปจนถึงเช้า แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง จนเวลาผ่านไปก็ไม่เคยเจอร่างดำนี้อีกเลย ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง รูมเมทต้องไปงานบายเนียร์ของสาขา ซึ่งจขกทจำได้ขึ้นใจเลยว่าวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกและอยู่ห้องคนเดียว ประมาณหนึ่งทุ่มได้ จขกทก็ได้นั่งทำการบ้านที่โต๊ะ บรรยากาศในห้องเงียบเชียบมาก ไม่ทันไรก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา แอ๊ดดดดดดดด ลากยาวๆ จขกท เลยชะโงกหน้าออกมาดู เห็นประตูเสื้อผ้าของรูมเมทเปิดออกเอง สักพักก็มีของตกลงมาดัง เพล๊งง! เป็นพัดลมระบายอากาศแลปท็อปของรูปเมทตกลงมา ไอ่เราก็นิ่งเพราะเห็นของหล่นลงมากับตา ในใจคิดว่าถ้าปกติแล้วของน่าจะหล่นลงมาพร้อมกับตอนที่ประตูเสื้อผ้าเปิดสิ แต่นี่ประตูเสื้อผ้าเปิดก่อนแล้วของถึงจะหล่นตามมา ตอนนั้นเริ่มสติแตกได้แต่ท่องพุทโธๆ ในใจ และคิดว่าคงไม่มีอะไร น่าจะเป็นลม แต่ลืมนึกไปว่าตอนนั้นประตูหลังห้องปิดหมด พัดลมหรือแอร์ก็ไม่ได้เปิด เพราะฝนตก อากาศเย็น แล้วมันคืออะไร เราก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงคนย่ำเท้าอยู่ที่นอกระเบียง เสียงเหมือนคนใส่รองเท้าแตะเดินไปมา แล้วเสียงก็เงียบไปพักใหญ่ แล้วเสียงนั้นก็กลับมาดังอีก แต่คราวนี้เสียงย่ำเท้ากลับมาดังในห้องน้ำที่อยู่ในห้องแทน ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกแล้ว สติแตกวิ่งออกนอกห้อง พลางโทรเรียกเพื่อนที่อยู่ชั้นสามมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วก็เรียกรูมเมทให้รีบกลับมา จนเกือบสามทุ่มรูมเมทก็กลับมา จึงได้เล่าสิ่งที่ตัวเองเจอให้รูมเมทฟัง ทีแรกก็ไม่เชื่อตากับหูตัวเองเพราะคิดว่าคงคิดไปเองตามเดิม แต่รอบนี้มันจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว อย่างเสียงคนเดินไปมานอกระเบียง ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเราอยู่ตั้งชั้นสี่ ถ้ามีคนเดินข้างล่าง เสียงก็ไม่น่าจะดังมาถึงในนี้ อีกอย่างนอกระเบียง จขกท ก็ตากผ้าไว้เต็มราว แทบจะไม่มีที่ให้เดิน แล้วจะมีเสียงคนเดินได้ยังไง แล้วไหนจะเสียงคนใส่รองเท้าแตะเดินไปมาในห้องน้ำอีก แค่คิดก็แทบบ้าแล้ว ประจวบกับในช่วงนั้นเองก็เป็นช่วงที่ทางมหาวิทยาลัยกำลังจะมีพิธีบวงสรวงด้วย เลยคิดว่าตัวเองน่าจะโดนแจ็กพ็อตแล้วล่ะ แต่ก็พยายามปล่อยผ่าน ไม่คิดอะไรมาก เพราะว่าเราจะต้องอยู่ห้องนี้ไปอีกนาน แต่เรื่องมันไม่จบแค่นี้ พอเวลาผ่านได้สักประมาณ 1 เดือน จขกท เริ่มมีอาการจุกเสียดที่อกขวาลามไปถึงช่วงหลัง เวลานอนจะหายใจไม่ออก อาการช่วงแรกๆจะเป็นๆหายๆ จขกทก็คิดเองเออเองอีกว่าน่าจะเป็นลมในกระเพาะมากกว่า แต่พอผ่านไปอาการเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น จากที่เป็นๆหายๆ ก็เริ่มเจ็บถี่มากกว่าเดิมเหมือนมีใครอะไรมาแทงที่อกทะลุไปถึงหลัง ตอนนั้นทนไม่ไหวจึงโทรไปร้องไห้กับที่บ้าน แม่ก็เลยบอกให้ไปหาหมอ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กปีหนึ่ง พึ่งมาอยู่ได้ไม่นานเลยบอกกับแม่เพื่อให้แกสบายใจว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็คงหาย ช่วงนั้น จขกท โทรมมากเพราะไม่ได้นอน กินอะไรก็ไม่ลงเพราะมันเจ็บและจุกเหมือนมีมีอะไรทิ่มแทงตลอดเวลา จนถึงช่วงพักปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะต้องกลับมาเรียนต่อเทอมสาม จขกท จึงได้กลับบ้านเพื่อที่จะได้ให้แม่พาไปโรงพยาบาล ด้วยความที่วันนั้นกลับถึงบ้านเกือบบ่าย ไปโรงพยาบาลไม่ทัน แม่เลยบอกให้ไปแล็ปตรวจเลือดก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปโรงพยาบาล จะได้เอาผลตรวจไปให้หมอดูด้วย จขกท ก็ไม่ขัดแม่แต่อย่างใด ไปแล็ปตรวจเลือดแล้วก็เจาะเลือดตรวจกับปัสสาวะ ผลออกมาว่าร่างกายปกติทุกอย่าง แต่พบเกล็ดเลือดในปัสสาวะ พูดง่ายๆคือ ในฉี่มีเลือดปนอยู่ เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์เลยแนะนำให้ไปโรงพยาบาลโดยให้เอาผลตรวจนี้ไปให้หมอวินิจฉัยด้วย วันต่อมาก็ไปโรงพยาบาล ตรวจอะไรอยู่นาน สุดท้ายหมอสรุปว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้ยาฆ่าเชื้อ แก้อักเสบและยาพารามาทาน แต่ก็บอกไม่ได้ว่าอาการที่จุกแน่นหน้าอกลามไปด้านหลังเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะพอตรวจที่โรงพยาบาลรอบสอง ผลก็ออกมาปกติ สุดท้ายก็คลุมเครือหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ พอกลับมาถึงบ้าน แม่เห็นอาการของจขกท ไม่ค่อยดี จึงเดินเข้ามาหาแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ ณ ตอนนั้น แม่ไม่ได้พูดอะไรเลย จนตอนเช้าของอีกวัน แม่ก็ได้โทรไปที่ตำหนักร่างทรงแห่งหนึ่ง ซึ่งแม่นับถือและเลื่อมใสศรัทธาในความเก่งกล้าและความขลังของที่นี่มาก จขกท จึงถามแม่ว่าแม่จะพาไปที่แบบนี้จริงๆเหรอ ด้วยความที่ตอนนั้นจขกท ไม่ค่อยเชื่อพวกนี้เลย แต่ก็ไม่อยากขัดใจแม่ แม่ก็เลยสารภาพออกมาว่าที่แม่โทรไปหาร่างทรงและต้องพึ่งทางไสยศาสตร์ ก็เพราะว่าเมื่อวานตอนที่แม่กำลังจะเดินมาหาลูก แม่ไม่เห็นตาดำของลูก เห็นแต่ตาขาว แล้วพอเดินเข้าไปใกล้ๆก็ได้กลิ่นสาปสาง คล้ายกลิ่นศพ แม่เห็นท่าไม่ดีเลยต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยด่วน จขกท ก็เริ่มใจคอไม่ดี ไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง แต่ท่าทีของแม่ตอนนั้นดูซีเรียสเลย แม่คงไม่โกหกเราหรอก ตอนแรกที่แม่โทรไปม้าขี่บอกว่าไม่ว่าง ให้มาวันอื่นแทน (ม้าขี่ในทางเหนือหมายถึงร่างกายมนุษย์ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการมาประทับร่างขององค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ตอนนั้นถอดใจแล้วว่าคงไม่ได้ไปเพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับมอไปเรียนเทอมสามแล้ว แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ม้าขี่ก็โทรกลับมาบอกว่าให้รีบพาลูกมาที่ตำหนักโดยด่วนเลยนะ จขกท ก็เลยไปกับแม่ พอไปถึงตอนนั้นม้าขี่ได้ใส่ชุดขาวมารอต้อนรับแล้วก็บอกว่าไปไหนไม่ได้เพราะองค์เขาไม่ให้ไป ให้ช่วยเราก่อน พอเข้าไปในตำหนักร่างทรงก็จับมือแล้วขอวันเดือนปีเกิดเท่านี้ ไม่กี่อึดใจ ท่านก็ทักขึ้นมาว่า ชอบไปที่ไหนตอนดึกๆ ทำไมไม่อยู่ห้อง ไอ่เราก็เลยตอบไปว่าให้ไปไหนล่ะ ดึกๆก็อยู่ห้องตลอด ไม่ได้ออกไปไหน ท่านก็เลยสวนกลับมาว่า ก็ที่ไปนั่งใต้ต้นไม้บนเนินสูงๆอ่ะ มันที่ไหน กูเห็นไปนั่งอยู่กับเพื่อนอีกคน พอได้ฟัง ภาพเมื่อสองเดือนก่อนกลับเข้ามาในหัว เป็นภาพที่เรานั่งรออาบน้ำอยู่ที่ม้าหินอ่อนกับเพื่อน ท่านก็พูดต่อว่าจำไม่ได้เหรอวันนั้นเพื่อนเวียนหัวนี่ รู้รึป่าวว่าไปโดนอะไรมา กูจะเล่าให้ฟัง จากนั้นท่านก็เล่าออกมาเป็นฉากๆ จำได้ไหมข้างหลังมันมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นมีสัมภเวสีสิงสู่อยู่ ที่จริงมันรอมานานแล้วนะ รอให้มานั่งตรงนี้ มันจะได้แก้แค้น เราจึงถามกลับไปว่า ไม่เคยรู้จักกันหรือไปทำอะไรให้ทำไมถึงต้องมาอาฆาตเราด้วย ตอนนั้นเชื่อเต็มร้อยเลยว่าสิ่งที่ท่านพูดต้องเป็นความจริง ไม่งั้นท่านคงเล่าออกมาเป็นฉากๆแบบนี้ไม่ได้ ท่านจึงบอกว่าเรากับเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน เขารอเรามานานแสนนาน รอให้ได้มาพบกันอีกจะได้แก้แค้นให้ตายตกไปตามกัน แต่ว่าจะเป็นเวรกรรมเรื่องใดนั้น จขกท ขอไม่เล่าตรงนี้ ท่านก็พูดต่อว่าถ้าไม่มีของดีของแม่ ของศาลเจ้าหน้าบ้าน ป่านนี้ตายโหงไปนานแล้ว มันจะทำให้ตกเขาตายคืนนั้นเลยมันก็จะทำ จะให้โดนรถชนตายมันก็จะทำ แต่ติดที่มีของดีรักษาเยอะมันเลยทำไรมากไม่ได้ คิดดูว่าผ่านมากี่เดือนแล้ว ยังรอดกลับมาหาแม่ได้ ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้ก็ใกล้ครบวันทำบุญร้อยวันแล้ว ตอนนั้นยอมรับเลยว่าอึ้งและทำอะไรไม่ถูกได้แต่ฟังและจำคำพูดของท่านที่พูดมาได้ทุกประโยค ท่านก็บอกว่า สัมภเวสีตนนี้มีฤทธิ์แรงมาก เพราะเกิดจากความแค้นพยาบาทและต้องการเอาชีวิตไปเป็นตัวตายตัวแทน ณ ที่ต้นไม้แห่งนั้น ในเมื่อทำอะไรเราไม่ได้ จึงได้แฝงร่างเกาะติดมานับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา (มีต่อ)