โรงแรม Renaissance Pattaya Resort & Spa เปิดตัวปี 2017 นับถึงวันนี้ก็ประมาณ 3 ปีแล้ว เป็นโรงแรมแรกในเครือ Marriott ที่เปิดตัวในพัทยา แต่ห่างจากพัทยากลางประมาณ 20 กม. เลยทีเดียว นับว่าไกลพอสมควรค่ะ แต่เป็นบริเวณที่มีร้านอาหารสวยๆและสถานที่ท่องเที่ยวรายล้อมอยู่พอสมควร ตั้งแต่เปิดตัวมาก็ได้เห็นภาพสวยๆของรีสอร์ทนี้ แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงมาก 5,000-6,000 จึงไม่เคยคิดอยากไป จนมาเกิดโควิดที่ต้องกักตัวอยู่บ้านกัน 2 เดือน และเมื่อมาตรการต่างๆเริ่มผ่อนคลาย เราก็หาที่ไปพักผ่อน และเจอโปรโมชั่นเริ่มต้น 3,500++ ตีว่า 4,000 บาทรวมอาหารเช้า และฟรีอัพเกรดอีกด้วยค่ะ เท่าที่หาข้อมูลราคา Voucher ไทยเที่ยวไทยจะอยู่ที่ประมาณ 3,900 รวมอาหารเช้า ก็นับว่าไม่ต่างกันมาก จึงตัดสินใจไป
สำหรับเครือ Marriott ที่เป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น มีแบรนด์ภายใต้เครืออยู่เยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ ซึ่งเราก็มีความสงสัยเหมือนกันว่ามีเหตุผลในการเลือกใช้อย่างไร สำหรับแบรนด์ที่ใช้ชื่อ Renaissance นั้น มี Concept ว่า Intriguing, Indigenous, Independent ประมาณว่ามีสเน่ห์ ความเป็นท้องถิ่นและอิสระเสรี ซึ่งคงจะสะท้อนออกมาในการออกแบบโรงแรมและของใช้ต่างๆ ก็ลองมาดูสิว่ายังงัย
ตอนนี้มอเตอร์เวย์สายไประยองน่าจะเปิดแล้วนะคะ ไม่ต้องไปผ่านพัทยาเหนือ กลาง ใต้ เพื่อไปโรงแรมอีกต่อไป ซึ่งทางออกที่โรงแรมบอกให้ใช้ชื่อ ห้วยใหญ่ แต่วันที่ไปยังงงๆไปไม่ถูกค่ะ ก็เลยไปทางเดิมปกติ
ที่ตั้งค่ะ อยู่ใกล้ริมผาลาพินและร้านดังอย่าง Papa beach ค่ะ
ทางเข้าด้านหน้าไม่ได้ถ่ายรูปมาแต่ส่วนตัวคิดว่ายังออกแบบได้ไม่สวย งั้นๆมากค่ะ แห้งๆไม่ร่มรื่นแถมตอนนี้สีตึกก็ซีดแล้วอีกต่างหาก แอบผิดหวังเล็กน้อย จะมีที่จอดรถในร่มใต้ตึกด้านหน้าและขึ้นลิฟท์มาที่ล็อบบี้ค่ะ
ล็อบบี้โล่งกว้างเป็นแนว Open air ดูโล่งๆปนโหลงๆนิดนึง ที่นั่งตรงกลางออกแบบเป็นคล้ายก้อนหินและมีประติมากรรมตะข่ายอะไรสักอย่างบนฝ้าเพดาน ก็เก๋ดีค่ะ ก่อนเข้าล็อบบี้โรงแรมได้ติดตั้งเครื่องพ่นฆ่าเชื้อโควิดและวัดอุณหภูมิด้วย แต่แขกที่เข้าพักก็ไม่ค่อยมีใครใส่หน้ากากหรอกค่ะ ตอนที่เราไปถึงประมาณ 10 โมงเช้า เวลาเช็คอินจริงๆบ่ายสาม พนักงานแจ้งว่าได้รับ Upgrade แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะเป็นห้องแบบไหน ที่จองมาจะเป็นห้อง Deluxe แบบไม่มีระเบียงและหันไปทางถนนด้วย

มุมมหาชน จากล้อบบี้สามารถมองเห็นทะเล สามารถนั่งชิวได้ ฝั่งซ้ายจะเป็นที่ตั้งของ R Bar ซึ่งเปิดบริการช่วงเย็น เหนือล็อบบี้จะเป็นอาคารสูงซึ่งมีห้องแบบ Deluxe Sofa Bed (Type เริ่มต้น หันไปทางถนน ไม่มีระเบียง) และ Deluxe Balcony Sea View ค่ะ ส่วนอาคารที่เห็นเตี้ยๆ 6 อาคารก็จะเป็นห้อง Deluxe Balcony Resort View, Family Suite และ Pool Villa ด้วย อันนี้หากข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยค่ะ

ระหว่างรอเวลาเช็คอิน เราเดินลงบันไดจากล้อบบี้มาชั้นล่างจะเห็น Kid's club ก่อนเลย ซึ่งช่วงนี้ปิดให้บริการ แต่ยังมีให้เด็กๆระบายสีได้ที่โต๊ะค่ะ กิจกรรมเด็กมีมากมายจริงๆ โรงแรมแบบนี้ใครพาลูกมานี่คุ้มสุด

ตรงข้ามกับ Kid's club ก็เป็นร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารเช้าและคาเฟ่ เบเกอรี่ กาแฟ บรรยากาศน่านั่ง

สนามหญ้ากว้างที่มีตัว R ตัวใหญ่ ลงไปก็จะเป็นสระว่ายน้ำลดระดับลงไปเรื่อยๆ

กลับมากินกาแฟรอก่อนค่ะ หากใครเป็นสมาชิก marriott bonvoy จะมีส่วนลดค่าน้ำ ค่าอาหารตามระดับของสมาชิก สมัครฟรีได้เลยที่เว็บไซต์ Marriott ค่ะ เริ่มต้นก็จะได้ลด 10% และสะสมแต้ม โดยขั้นต่ำที่ต้องใช้คือ 10USD ไม่งั้นสะสมไม่ได้ ช่วงนั้นสำหรับสมาชิกมีแถมฟรีไอศครีม 1 ลูกให้เด็กๆด้วย ผู้ใหญ่ก็อดไปตามระเบียบ

เราก็ซื้อกาแฟเย็น (ราคามาตรฐานโรงแรมห้าดาว หลังจากส่วนลดแล้วก็ประมาณ 160 แต่อย่าคาดหวังรสชาติค่ะ กินมาหลายโรงแรมแล้ว คือกร่อยอ่ะ) พนักงานน่ารักค่ะ เอาขนมปังมาให้ชิม พนักงานทุกคนใส่หน้ากาก มีเจลแอลกอฮอล์แจก แต่แขกไม่มีใครใส่หรอกค่ะ ส่วนใหญ่ก็เล่นน้ำแล้วเดินไปเดินมาหรืออาบแดด

ประมาณเกือบเที่ยง พนักงาน Front ก็โทรมาแจ้งว่าห้องพร้อมแล้ว ซึ่งห้องที่เราได้จะเป็นห้อง Deluxe Balcony Resort View ที่เป็นตึกเตี้ยๆหันหน้าเข้าสระว่ายน้ำ โชคดีได้ตึกริมใกล้ทะเลสามารถมองเห็นทะเลได้ชัดเจนจากระเบียง

สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความกว้างใหญ่ของห้อง เนื่องจากห้องมีขนาดถึง 48 ตร.ม.ค่ะ มีที่วางของเพียบเลย ทีวีก็ใหญ่และหมุนได้ หากนั่งทำงานก็ดูทีวีสะดวก ชอบตรงนี้ค่ะ
ส่วน Layout ห้องหรือการวางเฟอร์นิเจอร์ก็จะเหมือนๆทุกโรงแรมที่เป็น International Chain ทุกเครืออ่ะนะ คุณจะไปที่ไหนก็ชัวร์ได้เลยว่าห้องจะเป็นประมาณแบบนี้แหล่ะค่ะ ในความน่าเบื่อมีความลงตัวในการใช้สอยอย่างที่สุดอยู่ อยากบอกเจ้าของโรงแรมทั่วไทยว่าไม่ต้องไปคิดอะไรพิศดารสร้างสรรค์หรอก ลอกได้เลย 55 แตกต่างด้วยการตกแต่งหรือวัสดุดีกว่า เท่าที่ไปพักๆมาแล้วพยายามจะออกแบบแหวกแนว คือไม่ลงตัวสักกะที่อ่ะ

ระเบียงกว้างดีมาก น่านั่งชิวสุดๆค่ะ แต่ไม่ยักกะมีพัดลมเพดานเหมือนหลายๆโรงแรมที่เคยไปพักมาแฮะ

เดาเอาเองว่าลายประการังหัวเตียง หมอนสีฟ้าและโคมไฟแขวนเพดานที่เหมือนไม้ไผ่นี้ละมั้ง คือการแสดงถึง Concept แบรนด์ อุปกรณ์ที่มีให้ในห้องก็ไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่าโรงแรมในระดับเดียวกันค่ะ สิ่งที่ส่วนตัวเราให้ความสำคัญ คือโคมไฟและปลั๊กไฟหัวเตียงที่มีทั้งสองฝั่ง และยังมีไฟที่น่าจะเรียกว่า Night light เป็นไฟอ่อนๆอยู่ระดับพื้น เพื่อเวลาลุกขึ้นไปห้องน้ำเวลากลางคืนสามารถเปิดได้ ไม่ใช่เปิดแล้วสว่างปลุกคนทั้งห้อง

บนโต๊ะหัวเตียงมี Speaker อันนี้ เราลองต่อแล้วไม่ได้ เลยไม่ได้ใช้ค่ะ

มาสำรวจภายในตู้ที่ใส่ตู้เย็นกัน

ลิ้นชักแรกมีแก้วน้ำหลากหลายขนาด และขนมขบเคี้ยวที่คิดเงินเพิ่ม แต่ที่ควรมีให้เพิ่มคือแก้วไวน์นะ

ลิ้นชักต่อมาเป็นชา กาแฟและขนม ขออภัยภาพมัว ก็ไม่มีอะไรว้าวค่ะ โดยเฉพาะยี่ห้อชาและกาแฟแสนจะเบสิค

ลิ้นชักสุดท้ายเป็นอุปกรณ์เล่นทราย (คิดเงิน) ถังน้ำแข็งเราสามารถขอให้เติมน้ำแข็งได้ฟรี และกาต้มน้ำร้อน

ต่อมาเป็นภายในตู้เย็นบ้าง น้ำแร่ไม่ได้แถมนะคะ น้ำที่แถมคือที่วางอยู่ในห้องน้ำ

ห้องน้ำ Layout สุดคลาสสิคตามเดิม เปิดเข้าไปขวาซ้ายเป็นอ่างอาบน้ำและ Shower เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ายาวดีมาก

โถส้วมไม่ได้มีประตูกั้นแยกค่ะ แต่มีที่ฉีดชำระ อันนี้ดีงาม

สิ่งที่เลิฟคือแรงดันของน้ำที่แรงนี่แหล่ะ อาบแล้วมันมีความสุขค่ะ ไอ้แบบไปต่อเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วความดันน้ำเอื่อยๆนี่จะเซ็งขั้นสุด

เจลอาบน้ำ แชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ ของ Tokyomilk by Margot Elena / Mimosa Mandarin ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน กลิ่นเน้นอ่อนๆสดชื่นค่ะ

ที่ชั่งน้ำหนักมีเหมือนในทุกโรงแรม อันนี้ไม่เข้าใจ ทำไมต้องมาชั่งน้ำหนักด้วย 555

Amenity Kit มีหมวกอาบน้ำ มีดโกนหนวด แปรงสีฟัน ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก โลชั่น Vanity set และสบู่ก้อน สบู่กลิ่นอ่อนๆแต่ฟอกแล้วผิวลื่นดีจัง

มาดูในตู้เสื้อผ้ากันบ้าง ก็ตามมาตรฐานค่ะ Slipper เสื้อคลุม เตารีด ร่ม แต่ชอบที่ Slipper เค้าลื่นนุ่มดี ไม่ใช่เป็นสีขาวๆแบบโรงแรมอื่น ที่ควรจะมีเพิ่มคือถุงผ้าหรือกระเป๋า Tote นะ

ตู้อีกฝั่งเป็นตู้เซฟและที่ขัดรองเท้า

แอร์เราตั้ง 27 แต่ได้ 19 มีความควบคุมไม่ได้ ไม่หนาวก็ร้อน

แอบมาดูเมนูอาหารที่วางในห้องหน่อย

อาหารเช้า เราสามารถสั่งมาทานที่ห้องพักได้เลย โดยติ๊กใบนี้แขวนไว้ที่ประตู และสามารถสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆไม่อั้น พนักงานจะนำมาเสิร์ฟ แต่ดูท่าคงไม่ทันใจเท่าไหร่ ด้วยความใหญ่โตของโรงแรม เรียกพนักงานทีนึงคือต้องทำใจว่ารอค่อนข้างนาน

Room service เมนูราคาค่อนข้างสูงมาก
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงพอดี พาไปดูคาเฟ่เก๋ๆก่อน อยู่ใกล้ๆโรงแรมค่ะ Papa Beach
จุดเด่นของที่นี่ก็คือเจ้ารังนกนี่แหล่ะ วันที่ไปคนก็เยอะพอสมควรเลยค่ะ ไม่อยากนึกภาพถ้าช่วงเวลาปกติคนจะแน่นขนาดไหน แถมจะมาถ่ายรูปตรงนี้ต้องใช้บริการขั้นต่ำคนละ 300 บาทอีกด้วย สตั้นไป 3 วิ เราว่ามันแพงไปหน่อย

อาหารก็แพงทุกอย่างค่ะ สั่งเมนูแรก สปาเก็ตตี้ผัดน้ำมันมะกอก พริกแห้ง เบค่อน แต่ยอมรับว่าอร่อยกว่าที่คาดไว้

ชุดไก่ย่างส้มตำประมาณ 300 บาทเลยทีเดียว อร่อยมาก ให้อภัย

วิวสวยค่ะ หาดจะอยู่ต่ำลงไป

เมื่อท้องอิ่มแล้วกลับมาสำรวจบริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรมกันต่อ จากสระว่ายน้ำมองกลับที่สนมหญ้าก็จะเห็นตึกสูงและห้องอาหารเช้าค่ะ

เฉพาะสระด้านบนที่มี Pool Bar

สระนี้ก็มีห้องพักที่เป็น Pool Access ฝั่งนึง อีกฝั่งเป็นเก้าอี้อาบแดด

มีที่เล่นของเด็กๆ
[CR] อัดอั้นช่วงโควิด ขอพาไปชม Renaissance Pattaya Resort & Spa โดยละเอียด
สำหรับเครือ Marriott ที่เป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น มีแบรนด์ภายใต้เครืออยู่เยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ ซึ่งเราก็มีความสงสัยเหมือนกันว่ามีเหตุผลในการเลือกใช้อย่างไร สำหรับแบรนด์ที่ใช้ชื่อ Renaissance นั้น มี Concept ว่า Intriguing, Indigenous, Independent ประมาณว่ามีสเน่ห์ ความเป็นท้องถิ่นและอิสระเสรี ซึ่งคงจะสะท้อนออกมาในการออกแบบโรงแรมและของใช้ต่างๆ ก็ลองมาดูสิว่ายังงัย
ตอนนี้มอเตอร์เวย์สายไประยองน่าจะเปิดแล้วนะคะ ไม่ต้องไปผ่านพัทยาเหนือ กลาง ใต้ เพื่อไปโรงแรมอีกต่อไป ซึ่งทางออกที่โรงแรมบอกให้ใช้ชื่อ ห้วยใหญ่ แต่วันที่ไปยังงงๆไปไม่ถูกค่ะ ก็เลยไปทางเดิมปกติ
ที่ตั้งค่ะ อยู่ใกล้ริมผาลาพินและร้านดังอย่าง Papa beach ค่ะ
ทางเข้าด้านหน้าไม่ได้ถ่ายรูปมาแต่ส่วนตัวคิดว่ายังออกแบบได้ไม่สวย งั้นๆมากค่ะ แห้งๆไม่ร่มรื่นแถมตอนนี้สีตึกก็ซีดแล้วอีกต่างหาก แอบผิดหวังเล็กน้อย จะมีที่จอดรถในร่มใต้ตึกด้านหน้าและขึ้นลิฟท์มาที่ล็อบบี้ค่ะ
ล็อบบี้โล่งกว้างเป็นแนว Open air ดูโล่งๆปนโหลงๆนิดนึง ที่นั่งตรงกลางออกแบบเป็นคล้ายก้อนหินและมีประติมากรรมตะข่ายอะไรสักอย่างบนฝ้าเพดาน ก็เก๋ดีค่ะ ก่อนเข้าล็อบบี้โรงแรมได้ติดตั้งเครื่องพ่นฆ่าเชื้อโควิดและวัดอุณหภูมิด้วย แต่แขกที่เข้าพักก็ไม่ค่อยมีใครใส่หน้ากากหรอกค่ะ ตอนที่เราไปถึงประมาณ 10 โมงเช้า เวลาเช็คอินจริงๆบ่ายสาม พนักงานแจ้งว่าได้รับ Upgrade แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะเป็นห้องแบบไหน ที่จองมาจะเป็นห้อง Deluxe แบบไม่มีระเบียงและหันไปทางถนนด้วย
มุมมหาชน จากล้อบบี้สามารถมองเห็นทะเล สามารถนั่งชิวได้ ฝั่งซ้ายจะเป็นที่ตั้งของ R Bar ซึ่งเปิดบริการช่วงเย็น เหนือล็อบบี้จะเป็นอาคารสูงซึ่งมีห้องแบบ Deluxe Sofa Bed (Type เริ่มต้น หันไปทางถนน ไม่มีระเบียง) และ Deluxe Balcony Sea View ค่ะ ส่วนอาคารที่เห็นเตี้ยๆ 6 อาคารก็จะเป็นห้อง Deluxe Balcony Resort View, Family Suite และ Pool Villa ด้วย อันนี้หากข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยค่ะ
ระหว่างรอเวลาเช็คอิน เราเดินลงบันไดจากล้อบบี้มาชั้นล่างจะเห็น Kid's club ก่อนเลย ซึ่งช่วงนี้ปิดให้บริการ แต่ยังมีให้เด็กๆระบายสีได้ที่โต๊ะค่ะ กิจกรรมเด็กมีมากมายจริงๆ โรงแรมแบบนี้ใครพาลูกมานี่คุ้มสุด
ตรงข้ามกับ Kid's club ก็เป็นร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารเช้าและคาเฟ่ เบเกอรี่ กาแฟ บรรยากาศน่านั่ง
สนามหญ้ากว้างที่มีตัว R ตัวใหญ่ ลงไปก็จะเป็นสระว่ายน้ำลดระดับลงไปเรื่อยๆ
กลับมากินกาแฟรอก่อนค่ะ หากใครเป็นสมาชิก marriott bonvoy จะมีส่วนลดค่าน้ำ ค่าอาหารตามระดับของสมาชิก สมัครฟรีได้เลยที่เว็บไซต์ Marriott ค่ะ เริ่มต้นก็จะได้ลด 10% และสะสมแต้ม โดยขั้นต่ำที่ต้องใช้คือ 10USD ไม่งั้นสะสมไม่ได้ ช่วงนั้นสำหรับสมาชิกมีแถมฟรีไอศครีม 1 ลูกให้เด็กๆด้วย ผู้ใหญ่ก็อดไปตามระเบียบ
เราก็ซื้อกาแฟเย็น (ราคามาตรฐานโรงแรมห้าดาว หลังจากส่วนลดแล้วก็ประมาณ 160 แต่อย่าคาดหวังรสชาติค่ะ กินมาหลายโรงแรมแล้ว คือกร่อยอ่ะ) พนักงานน่ารักค่ะ เอาขนมปังมาให้ชิม พนักงานทุกคนใส่หน้ากาก มีเจลแอลกอฮอล์แจก แต่แขกไม่มีใครใส่หรอกค่ะ ส่วนใหญ่ก็เล่นน้ำแล้วเดินไปเดินมาหรืออาบแดด
ประมาณเกือบเที่ยง พนักงาน Front ก็โทรมาแจ้งว่าห้องพร้อมแล้ว ซึ่งห้องที่เราได้จะเป็นห้อง Deluxe Balcony Resort View ที่เป็นตึกเตี้ยๆหันหน้าเข้าสระว่ายน้ำ โชคดีได้ตึกริมใกล้ทะเลสามารถมองเห็นทะเลได้ชัดเจนจากระเบียง
สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความกว้างใหญ่ของห้อง เนื่องจากห้องมีขนาดถึง 48 ตร.ม.ค่ะ มีที่วางของเพียบเลย ทีวีก็ใหญ่และหมุนได้ หากนั่งทำงานก็ดูทีวีสะดวก ชอบตรงนี้ค่ะ
ส่วน Layout ห้องหรือการวางเฟอร์นิเจอร์ก็จะเหมือนๆทุกโรงแรมที่เป็น International Chain ทุกเครืออ่ะนะ คุณจะไปที่ไหนก็ชัวร์ได้เลยว่าห้องจะเป็นประมาณแบบนี้แหล่ะค่ะ ในความน่าเบื่อมีความลงตัวในการใช้สอยอย่างที่สุดอยู่ อยากบอกเจ้าของโรงแรมทั่วไทยว่าไม่ต้องไปคิดอะไรพิศดารสร้างสรรค์หรอก ลอกได้เลย 55 แตกต่างด้วยการตกแต่งหรือวัสดุดีกว่า เท่าที่ไปพักๆมาแล้วพยายามจะออกแบบแหวกแนว คือไม่ลงตัวสักกะที่อ่ะ
ระเบียงกว้างดีมาก น่านั่งชิวสุดๆค่ะ แต่ไม่ยักกะมีพัดลมเพดานเหมือนหลายๆโรงแรมที่เคยไปพักมาแฮะ
เดาเอาเองว่าลายประการังหัวเตียง หมอนสีฟ้าและโคมไฟแขวนเพดานที่เหมือนไม้ไผ่นี้ละมั้ง คือการแสดงถึง Concept แบรนด์ อุปกรณ์ที่มีให้ในห้องก็ไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่าโรงแรมในระดับเดียวกันค่ะ สิ่งที่ส่วนตัวเราให้ความสำคัญ คือโคมไฟและปลั๊กไฟหัวเตียงที่มีทั้งสองฝั่ง และยังมีไฟที่น่าจะเรียกว่า Night light เป็นไฟอ่อนๆอยู่ระดับพื้น เพื่อเวลาลุกขึ้นไปห้องน้ำเวลากลางคืนสามารถเปิดได้ ไม่ใช่เปิดแล้วสว่างปลุกคนทั้งห้อง
บนโต๊ะหัวเตียงมี Speaker อันนี้ เราลองต่อแล้วไม่ได้ เลยไม่ได้ใช้ค่ะ
มาสำรวจภายในตู้ที่ใส่ตู้เย็นกัน
ลิ้นชักแรกมีแก้วน้ำหลากหลายขนาด และขนมขบเคี้ยวที่คิดเงินเพิ่ม แต่ที่ควรมีให้เพิ่มคือแก้วไวน์นะ
ลิ้นชักต่อมาเป็นชา กาแฟและขนม ขออภัยภาพมัว ก็ไม่มีอะไรว้าวค่ะ โดยเฉพาะยี่ห้อชาและกาแฟแสนจะเบสิค
ลิ้นชักสุดท้ายเป็นอุปกรณ์เล่นทราย (คิดเงิน) ถังน้ำแข็งเราสามารถขอให้เติมน้ำแข็งได้ฟรี และกาต้มน้ำร้อน
ต่อมาเป็นภายในตู้เย็นบ้าง น้ำแร่ไม่ได้แถมนะคะ น้ำที่แถมคือที่วางอยู่ในห้องน้ำ
ห้องน้ำ Layout สุดคลาสสิคตามเดิม เปิดเข้าไปขวาซ้ายเป็นอ่างอาบน้ำและ Shower เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ายาวดีมาก
โถส้วมไม่ได้มีประตูกั้นแยกค่ะ แต่มีที่ฉีดชำระ อันนี้ดีงาม
สิ่งที่เลิฟคือแรงดันของน้ำที่แรงนี่แหล่ะ อาบแล้วมันมีความสุขค่ะ ไอ้แบบไปต่อเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วความดันน้ำเอื่อยๆนี่จะเซ็งขั้นสุด
เจลอาบน้ำ แชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ ของ Tokyomilk by Margot Elena / Mimosa Mandarin ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน กลิ่นเน้นอ่อนๆสดชื่นค่ะ
ที่ชั่งน้ำหนักมีเหมือนในทุกโรงแรม อันนี้ไม่เข้าใจ ทำไมต้องมาชั่งน้ำหนักด้วย 555
Amenity Kit มีหมวกอาบน้ำ มีดโกนหนวด แปรงสีฟัน ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก โลชั่น Vanity set และสบู่ก้อน สบู่กลิ่นอ่อนๆแต่ฟอกแล้วผิวลื่นดีจัง
มาดูในตู้เสื้อผ้ากันบ้าง ก็ตามมาตรฐานค่ะ Slipper เสื้อคลุม เตารีด ร่ม แต่ชอบที่ Slipper เค้าลื่นนุ่มดี ไม่ใช่เป็นสีขาวๆแบบโรงแรมอื่น ที่ควรจะมีเพิ่มคือถุงผ้าหรือกระเป๋า Tote นะ
ตู้อีกฝั่งเป็นตู้เซฟและที่ขัดรองเท้า
แอร์เราตั้ง 27 แต่ได้ 19 มีความควบคุมไม่ได้ ไม่หนาวก็ร้อน
แอบมาดูเมนูอาหารที่วางในห้องหน่อย
อาหารเช้า เราสามารถสั่งมาทานที่ห้องพักได้เลย โดยติ๊กใบนี้แขวนไว้ที่ประตู และสามารถสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆไม่อั้น พนักงานจะนำมาเสิร์ฟ แต่ดูท่าคงไม่ทันใจเท่าไหร่ ด้วยความใหญ่โตของโรงแรม เรียกพนักงานทีนึงคือต้องทำใจว่ารอค่อนข้างนาน
Room service เมนูราคาค่อนข้างสูงมาก
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงพอดี พาไปดูคาเฟ่เก๋ๆก่อน อยู่ใกล้ๆโรงแรมค่ะ Papa Beach
จุดเด่นของที่นี่ก็คือเจ้ารังนกนี่แหล่ะ วันที่ไปคนก็เยอะพอสมควรเลยค่ะ ไม่อยากนึกภาพถ้าช่วงเวลาปกติคนจะแน่นขนาดไหน แถมจะมาถ่ายรูปตรงนี้ต้องใช้บริการขั้นต่ำคนละ 300 บาทอีกด้วย สตั้นไป 3 วิ เราว่ามันแพงไปหน่อย
อาหารก็แพงทุกอย่างค่ะ สั่งเมนูแรก สปาเก็ตตี้ผัดน้ำมันมะกอก พริกแห้ง เบค่อน แต่ยอมรับว่าอร่อยกว่าที่คาดไว้
ชุดไก่ย่างส้มตำประมาณ 300 บาทเลยทีเดียว อร่อยมาก ให้อภัย
วิวสวยค่ะ หาดจะอยู่ต่ำลงไป
เมื่อท้องอิ่มแล้วกลับมาสำรวจบริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรมกันต่อ จากสระว่ายน้ำมองกลับที่สนมหญ้าก็จะเห็นตึกสูงและห้องอาหารเช้าค่ะ
เฉพาะสระด้านบนที่มี Pool Bar
สระนี้ก็มีห้องพักที่เป็น Pool Access ฝั่งนึง อีกฝั่งเป็นเก้าอี้อาบแดด
มีที่เล่นของเด็กๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้