ภาพวาดที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพ The Virgin of the Rocks
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบภาพ “The Virgin of the Rocks” ของดา วินชี (เขียนไว้เมื่อราวๆ ปี 1495-1508) ซึ่งถูกเก็บไว้ในหอศิลป์แห่งชาติของลอนดอน พวกเขาค้นพบอะไรที่น่าสนใจมากๆ เพราะใต้ภาพอันงดงามภาพนี้ยังมีภาพวาดอีกภาพซ่อนอยู่
โดยภาพที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพ The Virgin of the Rocks นั้นเป็นภาพของนางฟ้าและพระเยซูขณะยังเป็นทารก ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นภาพที่ดาวินชีจัดองค์ประกอบขึ้นมาในช่วงแรก ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมุมของภาพใหม่มาเป็นแบบในปัจจุบัน เพื่อให้พระเยซูในภาพมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
อ้างอิงจากทางหอศิลป์แห่งชาติของลอนดอน “ในภาพที่ถูกทิ้งไปนั้น ร่างของคนทั้งสองจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าในปัจจุบันเล็กน้อย ในขณะที่ทูตสวรรค์มองลงมาที่พระเยซูที่ยังเป็นทารก โดยอยู่ในท่าทางคล้ายกำลังกอดทารกแน่น”
ภาพที่ซ่อนอยู่ในครั้งนี้ถูกวาดขึ้นด้วยวัสดุที่มีส่วนประกอบของสังกะสี ดังนั้นมันจึงสามารถถูกค้นพบด้วยเทคโนโลยีภาพถ่ายมาโครเอ็กซ์เรย์เรืองแสงหรือ “MA-XRF” ซึ่งเมื่อนำมาประกอบกับระบบการถ่ายภาพอินฟราเรดและไฮเปอร์สเปกตรัม นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถดึงภาพถ่ายในอดีตออกมาได้ในสภาพที่มีความสมบูรณ์สูง
ทั้งนี้เลโอนาร์โด ดา วินชีนั้นมีการวาดภาพ The Virgin of the Rocks เอาไว้สองภาพ โดยยังมีอีกชิ้นหนึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าของหอศิลป์แห่งชาติของลอนดอน ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในปารีส (เขียนขึ้นในปี 1483)
ภาพเปรียบเทียบระหว่าง The Virgin of the Rocks ของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (ซ้าย) และของหอศิลป์แห่งชาติลอนดอน (ขวา)
ที่มา cnn, allthatsinteresting, livescience
Cr.
https://www.catdumb.tv/under-the-virgin-of-the-rocks-378/ By เหมียวศรัทธา
ปริศนารอยด่างบนภาพ The Scream
Edvard Munch ศิลปินชาวนอร์เวย์ ได้เขียนภาพ The Scream ผลงานชิ้นเอกและมีชื่อเสียงมากที่สุดไว้ 4 ภาพ ภาพหนึ่งถูกขายไปให้มหาเศรษฐีชาวอเมริกันในราคา 119 ล้านดอลลาร์ ในปี 2012 อีกสามภาพถูกเก็บรักษาไว้ที่ประเทศนอร์เวย์
ภาพ The Scream ที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินอร์เวย์ซึ่งเข้าใจว่าเป็นภาพแรกสุด มีรอยสีขาวแปลกประหลาดบนพื้นผิวที่ไหล่ด้านขวาของคนที่อยู่กลางภาพ นักประวัติศาสตร์ศิลปะจำนวนมากคิดว่า Munch วาดภาพนี้ที่ด้านนอกอาคาร และรอยด่างก็คือมูลของนกที่บินผ่านมา
แต่ Tine Frøysaker นักอนุรักษ์ที่มหาวิทยาลัยออสโลไม่เชื่อ เธอได้ศึกษามูลนกที่เก็บจากโบสถ์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ และพบว่ามันดูแตกต่างกับรอยเปื้อนบนภาพมาก
“เป็นที่รู้กันดีว่ามูลนกจะทำให้เกิดการกัดกร่อนหรือเปื่อยยุ่ยของวัสดุได้ เจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่สามารถยืนยันได้” แต่ Munch ใช้กระดาษแข็งที่เปราะบางในการวาด เขาไม่น่าจะเสี่ยงที่จะทำลายมันโดยเอาออกไปข้างนอก
Frøysaker จึงคิดว่ามันเป็นไปได้มากที่สีขาวหรือชอล์กอาจจะกระเด็นหล่นลงบนภาพโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่ Munch กำลังทำงานอยู่กับภาพเขียนอื่นๆในสตูดิโอของเขา
เธอได้เชิญนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม มาที่กรุงออสโลเพื่อตรวจสอบภาพเขียนด้วยเครื่อง macro-x-ray fluorescence scanner (MA-XRF) ผลการสแกนแสดงให้เห็นว่าสมมติฐานของ Frøysaker ผิด ไม่มีร่องรอยของเม็ดสีสีขาวหรือแคลเซียมถูกตรวจพบ ดังนั้นรอยเปื้อนไม่ได้มาจากสีหรือชอล์กอย่างแน่นอน
นักวิทยาศาสตร์เอาตัวอย่างเล็กๆจากคราบสีขาว ทำการวิเคราะห์โดยใช้เครื่องเร่งอนุภาคซินโครตรอนที่สามารถผลิตแสง X-ray กำลังสูงที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมัน ซึ่งได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ภาพเขียนเก่ามาหลายปีแล้ว และมักจะเผยให้เห็นภาพเขียนที่ซ้อนกันอยู่ใต้ภาพเดิม
การวิเคราะห์นี้จะให้รูปแบบการกระเจิงของ X-ray ที่ขึ้นอยู่กับสารตัวอย่าง โดยนักวิจัยได้วิเคราะห์ตัวอย่างมูลนกที่เก็บมาจากออสโลเปรียบเทียบกันด้วย
ผลของรูปแบบการกระเจิงของ X-ray ชี้ชัดว่าไม่ใช่มูลนก แต่ Frederik Vanmeert นักศึกษาปริญญาโทจำได้ในทันทีมันเป็นลักษณะที่โดดเด่นของผลึกขี้ผึ้ง
ศิลปินมักจะใช้ขี้ผึ้งในการติดผ้าใบผืนใหม่เข้ากับด้านหลังของผืนเก่า ดังนั้นสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้สำหรับรอยด่างสีขาวบนภาพ The Scream ก็คือเกิดจากขี้ผึ้งเหลวที่หยดลงบนภาพเขียนโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่ Munch กำลังเขียนภาพในสตูดิโอของเขา
นักวิจัย Geert Van der Snickt ยอมรับว่าถ้านกเกิดชอบกินขี้ผึ้งในทางทฤษฎีก็เป็นไปได้ที่จะพบร่องรอยในมูลของมัน แต่มันไกลจากความจริงไปมากถ้าจะสมมุติว่านกที่กินขี้ผึ้งแล้วถ่ายมูลลงบนภาพของ Munch ขณะที่บินผ่านมาพอดี
ภาพ The Blue Room โดย Pablo Picasso ในปี 1901
ในปี 2008 นักวิจัยลองใช้กล้อง x-ray แล้วก็ค้นพบภาพที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพวาดนี้ของปิกัสโซ่ มันเป็นภาพของชายคนหนึ่งสวมสูทและผูกโบว์ แล้วเอามือทาบหน้าของเขาเอาไว้
ข้อมูลและภาพจาก gizmodo, theguardian
Cr.
https://www.takieng.com/stories/1708
Cr.
https://board.postjung.com/999490 / โพสท์โดย ิทาสแมว
ภาพโรงเรียนแห่งเอเธนส์ หรือ School of Athens
การระลึกถึงไฮพาเทียที่ถือว่าเป็นกรณีที่โด่งดังมากที่สุดคือการ "แอบ" ใส่ความระลึกถึงเธอเข้าไปในภาพเขียนของศิลปินเลื่องชื่อ ซึ่งปัจจุบันภาพที่ว่านี้ถูกประดับไว้ในกรุงวาติกัน
School of Athens ผลงานเลื่องชื่อของราฟาเอล ที่วาดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ภาพนี้เป็นภาพที่ราฟาเอลได้รับการว่าจ้างจากบิชอปท่านหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกที่ส่งภาพสเกตช์ให้ท่านบิชอปตรวจงานนั้น ราฟาเอลใส่ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งไว้กลางภาพ เมื่อบิชอปถามว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร ราฟาเอลตอบว่า คือไฮพาเทียแห่งอเล็กซานเดรีย นักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่ควรจะได้รับเกียรติให้อยู่ในภาพวาดนี้
ท่านบิชอปมีบัญชาให้ราฟาเอล "ลบ" ภาพไฮพาเทียออกไป ราฟาเอลจึงตัดภาพไฮพาเทียที่เคยถูกกำหนดให้อยู่กลางภาพออกไป เหลือเพียงพลาโตและอริสโตเติล ที่ยืนโดยมี "ส่วนว่าง" อยู่ด้านหน้า
แต่ราฟาเอลแอบใส่ภาพของสตรีนางหนึ่งไว้ทางด้านซ้ายของภาพ และ ปรับภาพลักษณ์ของเธอเล็กน้อย ซึ่งบิชอบไม่ได้สงสัยเลยว่าที่แท้เป็นภาพของไฮพาเทีย
ไฮพาเทีย แห่ง อเล็กซานเดรีย
ไฮพาเทียเกิดเมื่อ ค.ศ.370 ในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของอียิปต์ยุคนั้น เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาวงการคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และปรัชญา นอกจากสมองอันปราดเปรื่องของเธอแล้ว เธอยังมีแต้มต่อสำคัญที่ส่งเสริมการเรียนรู้มาตั้งแต่เยาว์วัย เนื่องจากเธอเป็นธิดาของธีออน หัวหน้าผู้ดูแลห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย สถานที่สะสมความรู้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในความรุ่งโรจน์ของอียิปต์
ไฮพาเทียยังเป็นนักประดิษฐ์ตัวยง แม้ในภายหลังเอกสารและอุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ของเธอจะสูญหายไป แต่ก็มีเรื่องที่เล่าต่อกันมาว่า ไฮพาเทียเป็นผู้คิดประดิษฐ์ เครื่องกลั่นน้ำ เครื่องวัดระดับน้ำ และที่สำคัญคือ เครื่องวัดตำแหน่งดวงดาว อันมีความสัมพันธ์กับโลก ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์
เธอถูกมองว่า เป็นพวกนอกรีตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง ค.ศ.412 เธอถูกจับตัวไปทำร้ายและถูกฆาตกรรม โดยที่ร่างของเธอถูกแยกชิ้นส่วนและส่งไปยังที่ต่างๆ ทั่วเมือง เชื่อว่าสาเหตุนั้นมาจากมีผู้อิจฉาในความฉลาดและความเป็นบุคคลสำคัญของไฮพาเทีย การตายของไฮพาเทียจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเมืองอเล็กซานเดรีย เพราะผู้ที่มีการศึกษาต่างหวาดกลัวและพากันออกจากเมือง ซึ่งเป็นเหตุให้บทบาทของเมืองอเล็กซานเดรียในฐานะศูนย์กลางทางการศึกษาต้องปิดฉากลงไปโดยปริยาย
(Cr. commons.wikimedia.org/)
ไฮพาเทียได้รับเกียรติให้นำชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อดาวเคราะห์น้อยที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1884 รวมถึงทุกครั้งที่เราแหงนหน้ามองดวงจันทร์ เราก็ยังอาจจะเห็นเงาของเธออยู่บนนั้น เนื่องจากมีการตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตหลุมหนึ่งบนดวงจันทร์ว่า ไฮพาเทีย และเรื่องราวของเธอถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง “Agora” นั่นเอง
ไฮพา เทียในภาพยนตร์เรื่อง Agora
บทความโดย ทีมงาน ต่วย'ตูน
Cr.
https://www.thairath.co.th/lifestyle/woman/74655 ( อ่านเพิ่มเติม )
Cr.
https://medium.com/@joshuashawnmichaelhehe/the-herstory-of-hypatia-da7271f1b2a8
"ม้า"ที่ซ่อนอยู่ในภาพวาด
Bev Doolittle เป็นศิลปินที่วาดภาพเหล่านี้ขึ้นมาในปี 1975 แต่มันกลายเป็นภาพปริศนาที่ทำให้หลายคนที่พบเจอต่างสงสัย เพราะในภาพวาดเหล่านี้มีม้าซ่อนอยู่มากกว่าที่ตาเราเห็น
และนี่เป็นภาพวาดธรรมชาติของศิลปิน Jim Warren แต่มันไม่ใช่ภาพธรรมชาติธรรมดาเพราะมันมีม้าซุกซ่อนอยู่ในภาพนี้ 6 ตัว ไม่ใช่แค่หนึ่ง
ข้อมูลและภาพจาก clipmass
ภาพซ้อนภาพ ของช่างภาพชาวยูเครน Oleg Shuplyak ซึ่งในภาพจะมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น เพียงมองจากมุมอื่นๆ ระยะใกล้ ไกลที่มองเห็น
Cr.
http://www.liekr.com/post_148247.html
Cr.
http://www.liekr.com/post_143015.html
ภาพวาดปริศนาทำนายชะตาชีวิตของ"ฮิตเลอร์"
อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำพรรคนาซีที่เกิดในปี 1889 และเขาก็โด่งดังเป็นอย่างมากทั้งในประวัติศาสตร์และปัจจุบัน เพราะเรื่องราวของเขากลายเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ด้วยความที่เขาทำรัฐประหาร และหันมาปกครองแบบเผด็จการจนทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วน Franz von Stuck เป็นศิลปินชาวเยอรมัน ซึ่งเขาได้สร้างผลงานภาพวาดมากมาย แต่กลับมีภาพหนึ่งที่โดดเด่นมากที่สุด นั่นคือภาพที่มีชายหน้าตาโหดร้ายกำลังขี่ม้าข้ามศพหลายศพ พร้อมกับลูกสมุนที่เป็นสุนัขสีดำวิ่งตามมาติดๆ
ซึ่งบังเอิญเป็นอย่างมากที่ภาพดังกล่าวถูกวาดขึ้นในปีเดียวกับปีเกิดของฮิตเลอร์ ทั้งๆ ที่ Franz von Stuck ไม่เคยรู้จักฮิตเลอร์มาก่อน และหลังจากที่ภาพวาดของเขาโด่งดัง ภาพนี้ก็เป็นที่สนใจของผู้คนมาก เพราะหลายคนคิดว่าเป็นภาพที่ทำนายอนาคตของฮิตเลอร์ และน่าแปลกใจที่ฮิตเลอร์ก็ชอบภาพนี้ด้วย ทั้งยังคิดอีกด้วยว่า ชายในภาพคือตนเอง
ที่มา
http://www.clipmass.com/story/104119
Cr.
http://www.flagfrog.com/hitler-art-pic-unbelieveable/
ข้อมูลและภาพประกอบจาก "flagfrog"
http://imgur.com/gallery/T2C13NA / Posted by Unknown
Cr.
http://thai-press.blogspot.com/2015/10/blog-post_28.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ภาพวาดที่เป็นปริศนา
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบภาพ “The Virgin of the Rocks” ของดา วินชี (เขียนไว้เมื่อราวๆ ปี 1495-1508) ซึ่งถูกเก็บไว้ในหอศิลป์แห่งชาติของลอนดอน พวกเขาค้นพบอะไรที่น่าสนใจมากๆ เพราะใต้ภาพอันงดงามภาพนี้ยังมีภาพวาดอีกภาพซ่อนอยู่
โดยภาพที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพ The Virgin of the Rocks นั้นเป็นภาพของนางฟ้าและพระเยซูขณะยังเป็นทารก ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นภาพที่ดาวินชีจัดองค์ประกอบขึ้นมาในช่วงแรก ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมุมของภาพใหม่มาเป็นแบบในปัจจุบัน เพื่อให้พระเยซูในภาพมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
อ้างอิงจากทางหอศิลป์แห่งชาติของลอนดอน “ในภาพที่ถูกทิ้งไปนั้น ร่างของคนทั้งสองจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าในปัจจุบันเล็กน้อย ในขณะที่ทูตสวรรค์มองลงมาที่พระเยซูที่ยังเป็นทารก โดยอยู่ในท่าทางคล้ายกำลังกอดทารกแน่น”
ภาพที่ซ่อนอยู่ในครั้งนี้ถูกวาดขึ้นด้วยวัสดุที่มีส่วนประกอบของสังกะสี ดังนั้นมันจึงสามารถถูกค้นพบด้วยเทคโนโลยีภาพถ่ายมาโครเอ็กซ์เรย์เรืองแสงหรือ “MA-XRF” ซึ่งเมื่อนำมาประกอบกับระบบการถ่ายภาพอินฟราเรดและไฮเปอร์สเปกตรัม นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถดึงภาพถ่ายในอดีตออกมาได้ในสภาพที่มีความสมบูรณ์สูง
ทั้งนี้เลโอนาร์โด ดา วินชีนั้นมีการวาดภาพ The Virgin of the Rocks เอาไว้สองภาพ โดยยังมีอีกชิ้นหนึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าของหอศิลป์แห่งชาติของลอนดอน ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในปารีส (เขียนขึ้นในปี 1483)
ภาพเปรียบเทียบระหว่าง The Virgin of the Rocks ของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (ซ้าย) และของหอศิลป์แห่งชาติลอนดอน (ขวา)
ที่มา cnn, allthatsinteresting, livescience
Cr.https://www.catdumb.tv/under-the-virgin-of-the-rocks-378/ By เหมียวศรัทธา
ปริศนารอยด่างบนภาพ The Scream
Edvard Munch ศิลปินชาวนอร์เวย์ ได้เขียนภาพ The Scream ผลงานชิ้นเอกและมีชื่อเสียงมากที่สุดไว้ 4 ภาพ ภาพหนึ่งถูกขายไปให้มหาเศรษฐีชาวอเมริกันในราคา 119 ล้านดอลลาร์ ในปี 2012 อีกสามภาพถูกเก็บรักษาไว้ที่ประเทศนอร์เวย์
ภาพ The Scream ที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินอร์เวย์ซึ่งเข้าใจว่าเป็นภาพแรกสุด มีรอยสีขาวแปลกประหลาดบนพื้นผิวที่ไหล่ด้านขวาของคนที่อยู่กลางภาพ นักประวัติศาสตร์ศิลปะจำนวนมากคิดว่า Munch วาดภาพนี้ที่ด้านนอกอาคาร และรอยด่างก็คือมูลของนกที่บินผ่านมา
แต่ Tine Frøysaker นักอนุรักษ์ที่มหาวิทยาลัยออสโลไม่เชื่อ เธอได้ศึกษามูลนกที่เก็บจากโบสถ์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ และพบว่ามันดูแตกต่างกับรอยเปื้อนบนภาพมาก
“เป็นที่รู้กันดีว่ามูลนกจะทำให้เกิดการกัดกร่อนหรือเปื่อยยุ่ยของวัสดุได้ เจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่สามารถยืนยันได้” แต่ Munch ใช้กระดาษแข็งที่เปราะบางในการวาด เขาไม่น่าจะเสี่ยงที่จะทำลายมันโดยเอาออกไปข้างนอก
Frøysaker จึงคิดว่ามันเป็นไปได้มากที่สีขาวหรือชอล์กอาจจะกระเด็นหล่นลงบนภาพโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่ Munch กำลังทำงานอยู่กับภาพเขียนอื่นๆในสตูดิโอของเขา
เธอได้เชิญนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม มาที่กรุงออสโลเพื่อตรวจสอบภาพเขียนด้วยเครื่อง macro-x-ray fluorescence scanner (MA-XRF) ผลการสแกนแสดงให้เห็นว่าสมมติฐานของ Frøysaker ผิด ไม่มีร่องรอยของเม็ดสีสีขาวหรือแคลเซียมถูกตรวจพบ ดังนั้นรอยเปื้อนไม่ได้มาจากสีหรือชอล์กอย่างแน่นอน
นักวิทยาศาสตร์เอาตัวอย่างเล็กๆจากคราบสีขาว ทำการวิเคราะห์โดยใช้เครื่องเร่งอนุภาคซินโครตรอนที่สามารถผลิตแสง X-ray กำลังสูงที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมัน ซึ่งได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ภาพเขียนเก่ามาหลายปีแล้ว และมักจะเผยให้เห็นภาพเขียนที่ซ้อนกันอยู่ใต้ภาพเดิม
การวิเคราะห์นี้จะให้รูปแบบการกระเจิงของ X-ray ที่ขึ้นอยู่กับสารตัวอย่าง โดยนักวิจัยได้วิเคราะห์ตัวอย่างมูลนกที่เก็บมาจากออสโลเปรียบเทียบกันด้วย
ผลของรูปแบบการกระเจิงของ X-ray ชี้ชัดว่าไม่ใช่มูลนก แต่ Frederik Vanmeert นักศึกษาปริญญาโทจำได้ในทันทีมันเป็นลักษณะที่โดดเด่นของผลึกขี้ผึ้ง
ศิลปินมักจะใช้ขี้ผึ้งในการติดผ้าใบผืนใหม่เข้ากับด้านหลังของผืนเก่า ดังนั้นสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้สำหรับรอยด่างสีขาวบนภาพ The Scream ก็คือเกิดจากขี้ผึ้งเหลวที่หยดลงบนภาพเขียนโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่ Munch กำลังเขียนภาพในสตูดิโอของเขา
นักวิจัย Geert Van der Snickt ยอมรับว่าถ้านกเกิดชอบกินขี้ผึ้งในทางทฤษฎีก็เป็นไปได้ที่จะพบร่องรอยในมูลของมัน แต่มันไกลจากความจริงไปมากถ้าจะสมมุติว่านกที่กินขี้ผึ้งแล้วถ่ายมูลลงบนภาพของ Munch ขณะที่บินผ่านมาพอดี
ภาพ The Blue Room โดย Pablo Picasso ในปี 1901
ในปี 2008 นักวิจัยลองใช้กล้อง x-ray แล้วก็ค้นพบภาพที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพวาดนี้ของปิกัสโซ่ มันเป็นภาพของชายคนหนึ่งสวมสูทและผูกโบว์ แล้วเอามือทาบหน้าของเขาเอาไว้
ข้อมูลและภาพจาก gizmodo, theguardian
Cr.https://www.takieng.com/stories/1708
Cr.https://board.postjung.com/999490 / โพสท์โดย ิทาสแมว
ภาพโรงเรียนแห่งเอเธนส์ หรือ School of Athens
การระลึกถึงไฮพาเทียที่ถือว่าเป็นกรณีที่โด่งดังมากที่สุดคือการ "แอบ" ใส่ความระลึกถึงเธอเข้าไปในภาพเขียนของศิลปินเลื่องชื่อ ซึ่งปัจจุบันภาพที่ว่านี้ถูกประดับไว้ในกรุงวาติกัน
School of Athens ผลงานเลื่องชื่อของราฟาเอล ที่วาดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ภาพนี้เป็นภาพที่ราฟาเอลได้รับการว่าจ้างจากบิชอปท่านหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกที่ส่งภาพสเกตช์ให้ท่านบิชอปตรวจงานนั้น ราฟาเอลใส่ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งไว้กลางภาพ เมื่อบิชอปถามว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร ราฟาเอลตอบว่า คือไฮพาเทียแห่งอเล็กซานเดรีย นักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่ควรจะได้รับเกียรติให้อยู่ในภาพวาดนี้
ท่านบิชอปมีบัญชาให้ราฟาเอล "ลบ" ภาพไฮพาเทียออกไป ราฟาเอลจึงตัดภาพไฮพาเทียที่เคยถูกกำหนดให้อยู่กลางภาพออกไป เหลือเพียงพลาโตและอริสโตเติล ที่ยืนโดยมี "ส่วนว่าง" อยู่ด้านหน้า
แต่ราฟาเอลแอบใส่ภาพของสตรีนางหนึ่งไว้ทางด้านซ้ายของภาพ และ ปรับภาพลักษณ์ของเธอเล็กน้อย ซึ่งบิชอบไม่ได้สงสัยเลยว่าที่แท้เป็นภาพของไฮพาเทีย
ไฮพาเทีย แห่ง อเล็กซานเดรีย
ไฮพาเทียเกิดเมื่อ ค.ศ.370 ในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของอียิปต์ยุคนั้น เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาวงการคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และปรัชญา นอกจากสมองอันปราดเปรื่องของเธอแล้ว เธอยังมีแต้มต่อสำคัญที่ส่งเสริมการเรียนรู้มาตั้งแต่เยาว์วัย เนื่องจากเธอเป็นธิดาของธีออน หัวหน้าผู้ดูแลห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย สถานที่สะสมความรู้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในความรุ่งโรจน์ของอียิปต์
ไฮพาเทียยังเป็นนักประดิษฐ์ตัวยง แม้ในภายหลังเอกสารและอุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ของเธอจะสูญหายไป แต่ก็มีเรื่องที่เล่าต่อกันมาว่า ไฮพาเทียเป็นผู้คิดประดิษฐ์ เครื่องกลั่นน้ำ เครื่องวัดระดับน้ำ และที่สำคัญคือ เครื่องวัดตำแหน่งดวงดาว อันมีความสัมพันธ์กับโลก ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์
เธอถูกมองว่า เป็นพวกนอกรีตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง ค.ศ.412 เธอถูกจับตัวไปทำร้ายและถูกฆาตกรรม โดยที่ร่างของเธอถูกแยกชิ้นส่วนและส่งไปยังที่ต่างๆ ทั่วเมือง เชื่อว่าสาเหตุนั้นมาจากมีผู้อิจฉาในความฉลาดและความเป็นบุคคลสำคัญของไฮพาเทีย การตายของไฮพาเทียจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเมืองอเล็กซานเดรีย เพราะผู้ที่มีการศึกษาต่างหวาดกลัวและพากันออกจากเมือง ซึ่งเป็นเหตุให้บทบาทของเมืองอเล็กซานเดรียในฐานะศูนย์กลางทางการศึกษาต้องปิดฉากลงไปโดยปริยาย
(Cr. commons.wikimedia.org/)
ไฮพาเทียได้รับเกียรติให้นำชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อดาวเคราะห์น้อยที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1884 รวมถึงทุกครั้งที่เราแหงนหน้ามองดวงจันทร์ เราก็ยังอาจจะเห็นเงาของเธออยู่บนนั้น เนื่องจากมีการตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตหลุมหนึ่งบนดวงจันทร์ว่า ไฮพาเทีย และเรื่องราวของเธอถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง “Agora” นั่นเอง
ไฮพา เทียในภาพยนตร์เรื่อง Agora
บทความโดย ทีมงาน ต่วย'ตูน
Cr. https://www.thairath.co.th/lifestyle/woman/74655 ( อ่านเพิ่มเติม )
Cr.https://medium.com/@joshuashawnmichaelhehe/the-herstory-of-hypatia-da7271f1b2a8
"ม้า"ที่ซ่อนอยู่ในภาพวาด
Bev Doolittle เป็นศิลปินที่วาดภาพเหล่านี้ขึ้นมาในปี 1975 แต่มันกลายเป็นภาพปริศนาที่ทำให้หลายคนที่พบเจอต่างสงสัย เพราะในภาพวาดเหล่านี้มีม้าซ่อนอยู่มากกว่าที่ตาเราเห็น
และนี่เป็นภาพวาดธรรมชาติของศิลปิน Jim Warren แต่มันไม่ใช่ภาพธรรมชาติธรรมดาเพราะมันมีม้าซุกซ่อนอยู่ในภาพนี้ 6 ตัว ไม่ใช่แค่หนึ่ง
ข้อมูลและภาพจาก clipmass
ภาพซ้อนภาพ ของช่างภาพชาวยูเครน Oleg Shuplyak ซึ่งในภาพจะมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น เพียงมองจากมุมอื่นๆ ระยะใกล้ ไกลที่มองเห็น
Cr.http://www.liekr.com/post_148247.html
Cr.http://www.liekr.com/post_143015.html
ภาพวาดปริศนาทำนายชะตาชีวิตของ"ฮิตเลอร์"
อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำพรรคนาซีที่เกิดในปี 1889 และเขาก็โด่งดังเป็นอย่างมากทั้งในประวัติศาสตร์และปัจจุบัน เพราะเรื่องราวของเขากลายเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ด้วยความที่เขาทำรัฐประหาร และหันมาปกครองแบบเผด็จการจนทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วน Franz von Stuck เป็นศิลปินชาวเยอรมัน ซึ่งเขาได้สร้างผลงานภาพวาดมากมาย แต่กลับมีภาพหนึ่งที่โดดเด่นมากที่สุด นั่นคือภาพที่มีชายหน้าตาโหดร้ายกำลังขี่ม้าข้ามศพหลายศพ พร้อมกับลูกสมุนที่เป็นสุนัขสีดำวิ่งตามมาติดๆ
ซึ่งบังเอิญเป็นอย่างมากที่ภาพดังกล่าวถูกวาดขึ้นในปีเดียวกับปีเกิดของฮิตเลอร์ ทั้งๆ ที่ Franz von Stuck ไม่เคยรู้จักฮิตเลอร์มาก่อน และหลังจากที่ภาพวาดของเขาโด่งดัง ภาพนี้ก็เป็นที่สนใจของผู้คนมาก เพราะหลายคนคิดว่าเป็นภาพที่ทำนายอนาคตของฮิตเลอร์ และน่าแปลกใจที่ฮิตเลอร์ก็ชอบภาพนี้ด้วย ทั้งยังคิดอีกด้วยว่า ชายในภาพคือตนเอง
ที่มา http://www.clipmass.com/story/104119
Cr. http://www.flagfrog.com/hitler-art-pic-unbelieveable/
ข้อมูลและภาพประกอบจาก "flagfrog"
http://imgur.com/gallery/T2C13NA / Posted by Unknown
Cr.http://thai-press.blogspot.com/2015/10/blog-post_28.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)