ตั้งแต่เข้ามาเรียนหมอ ชีวิตผมไม่มีทางเลือกอีกเลย

"อย่ายึดติดกับอดีต มองไปข้างหน้า ต้องมีความทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องยอมรับมัน"
"อุตส่าห์เรียนมาขนาดนี้แล้ว จะย้อนกลับไปทำไมวะ"
"คนอื่นเขาอยากเรียนแต่ก็ไม่ได้เรียน"
"ลูกจะได้เป็นหมอแล้ว"
"ตั้งใจเรียนนะ"
"สู้ ๆ "
 
อะไรกันน่ะนั่น น่าหงุดหงิดชะมัด ทุกคนเอาแต่พูดแบบนี้กันทั้งนั้น เอาแต่ผลักภาระอันหนักอึ้งให้ผมแบกรับ ผมจะไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่จริง ๆ ใช่ไหม
 
ถ้าพวกคุณเก่งจริงอย่างที่พูด ทำไม่มาทำเองซะเลยล่ะ ถ้ามัวแต่เสียดายโอกาสของคนอื่น ชีวิตคุณก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก และไม่ใช่แค่คนใกล้ตัวผม บางคนที่อ่านบทความนี้คงอยากบอกให้ผมวิ่งต่อ วิ่งต่อ และวิ่งต่อ ผู้ชมข้างทางไม่มีวันรับรู้ความทรมานของนักวิ่ง
 
 
เสียงอาจารย์ดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือ แค่เรียนออนไลน์ผมยังเหน็ดเหนื่อยจนแทบขาดใจ เทอมหน้าก็ต้องเรียนในโรงพยาบาลแล้ว นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีชีวิตรอดบนวอร์ดได้ยังไง
 
แม้จะยังไม่จบคาบเรียน แต่ผมกลับไม่มีกะจิตกะใจจะฟังอาจารย์ เพราะอย่างนั้นจึงเปิดกูเกิลและพิมพ์ "ไม่อยากเรียนหมอแล้ว" บทความมากมายปรากฏบนจอมือถือ ครั้งหนึ่งผมเคยเสพบทความเหล่านี้ และคิดว่าตัวเองคงจะไม่ตกอยู่ในสภาพจนตรอกไร้หนทาง
 
ทว่าตอนนี้ชีวิตผมกลับไร้ทางเลือกอย่างแท้จริง ผมพลาดตรงไหนกันนะ สมองอันน้อยนิดเพ่งไปในอดีตเพื่อหาจุดบกพร่อง
 
จะว่าไปผมเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง สมัยประถมผมเป็นพวก loser โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ สอบที่โหล่ ไม่ถูกกับกีฬา ไม่ชอบเล่นดนตรี ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ พูดง่าย ๆ คือ "กูไม่น่าเกิดมาเลย" เพราะแบบนั้นจึงไม่เคยสัมผัสกับคำว่า "ความมั่นใจในตัวเอง" เด็กที่เล่นดนตรี เล่นกีฬา หรือสอบได้ที่หนึ่ง ความภาคภูมิใจของคนเหล่านั้นเป็นยังไง ผมไม่เคยรู้เลย และไม่คิดอยากจะรู้ด้วย เพราะพวกเขาก็เอาแต่เหยียบย่ำผมอยู่ทุกวัน ท่ามกลางสังคมอันมืดมน มีแค่พ่อแม่ที่ยังเคี่ยวเข็ญให้ตั้งใจเรียน ผมจึงเผลอเข้าใจผิดไปว่าการเรียนคือทางออก ถ้าเรียนได้ดีชีวิตต้องสดใสขึ้นแน่ ๆ
 
ด้วยทัศนคติที่พ่อปลูกฝังให้อย่างเหนียวแน่น ผมกลายเป็นนักเรียนแนวหน้าในสมัยมัธยม ได้ไปแข่งทักษะวิชาการตลอด คำที่ได้ยินอยู่บ่อย ๆ คือแพทย์ วิศวะ ฯ ทันตะ ฯ เภสัช ฯ ราวกับว่าโลกใบนี้มีคณะให้เลือกไม่เกิน 4 คณะ
 
"คนเรียนไม่เก่งจะเลือกคณะอะไรก็ได้ ส่วนคนเรียนเก่งจะไม่มีทางเลือกเลย" ผมเคยพูดแบบนี้ก่อนจบมัธยมปลาย คนที่สอบติดคณะในฝันไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ถ้าอยากให้พ่อแม่เพิ่มตัวเลือกให้ เราต้องแกล้งเรียนไม่เก่งเอาไว้ก่อน เพราะถ้าเก่งขึ้นมา เราจะไม่สิทธิเลือกอะไรทั้งนั้นนอกจาก "แพทย์"
 
คำคมสวยหรูใคร ๆ ก็คิดได้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้อย่างที่ลั่นวาจา สุดท้ายผมเลือกสอบหมออย่างที่พ่อต้องการ ตอนนั้นมีความฝันอย่างอื่นอยู่เหมือนกัน แต่ก็หลอกตัวเองว่าอยากทำอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้คน
 
ถ้าอย่างนั้นแล้วผมชอบอะไรกันแน่ พวกคุณก็อยากรู้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ
 
 
เมื่อปลายปีที่แล้วผมเริ่มแต่งนิยายเรื่องหนึ่ง ถ้านับเฉพาะเรื่องที่แต่งจบ มันจะเป็นเรื่องที่สามพอดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินจากงานเขียนสักบาท 
 
หลังจากได้รับคำวิจารณ์จากเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ดูเหมือนนิยายเรื่องนี้จะมีภาษาที่สละสลวยอ่านง่าย แต่ว่า
"ฉันว่าความคิดตัวละครมันขัดแย้งกับพฤติกรรมนะ ความคิดดี แต่ใช้ชีวิตไม่ฉลาดเท่าที่ควร"
นั่นสิ จะว่าไปตอนเขียนผมก็รู้สึกเหมือนกับเธอ แต่เป็นความตั้งใจที่จะไม่แก้ไข เพราะโลกใบนี้เต็มไปด้วยคนคิดดี แต่ชีวิตกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด และใช่ ผมเองก็เป็นแบบนั้น
 
ระหว่างเรียนหมอในชั้นปี  2 และปี 3 ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย ทรมานทุกครั้งเมื่อสาวเท้าเข้าตึกคณะ ราวกับอาณาเขตนั้นไม่ใช่ที่ของผม
 
หลังเลิกเรียนผมเอาแต่ทำตามใจไปเรื่อย ไม่ได้ทบทวนตำรับตำราอย่างใครเขา กิจกรรมช่วงนั้นผลัดเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เขียนนิยาย ทำคลิปลงยูทูป เข้าชมรมการแสดง เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ กับเพื่อนในตลาด ทว่าสุดท้ายก็มีแค่งานเขียนที่อยู่กับผมเรื่อยมา พอมาคิดดูอีกที พฤติกรรมเหล่านี้ควรจะเกิดขึ้นในวัยประถมถึงมัธยม มาค้นหาตัวเองตอนอายุ 21 มันดูน่าสมเพชยังไงก็ไม่รู้ เพื่อนรุ่นเดียวกันเขาจวนจะเรียนจบอยู่แล้ว
 
ผมอาจจะไม่กดดันตัวเองขนาดนี้ ถ้าไม่ได้เสียเวลาซิ่วหนึ่งปี และซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น พ่อผมยังด่วนจากไปตั้งแต่ผมเรียนอยู่ปี 2 ทั้งที่เขายุยงให้ผมเข้าคณะสายวิทย์แท้ ๆ
 
สุดท้ายคนที่อยู่กับผลการเลือกของเราก็มีแค่เราคนเดียว อีกไม่นานพ่อแม่เราก็จากไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราจะเรียนตามใจเขาเพื่ออะไรล่ะ
 
ในที่สุดผมต้องยอมซ้ำชั้นหลังจบปี 3 จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ผมต้องเขียนนิยายเพื่อความฝันของตัวเอง สอนพิเศษเพื่อการเงินของครอบครัว และเรียนหมอเพื่อความฝันของตระกูล ผมเป็นเพียงตุ๊กตาของพวกเขาเท่านั้น ทางเดียวที่จะป่าวประกาศว่าตัวเองมีชีวิต คือจบชีวิตตัวเองซะ หากเลือดเนื้อแดงฉานที่เต้นตุบตับกลับหยุดนิ่งและซีดเผือด ร่างของผมอาจมีความสำคัญขึ้นมาบ้าง

แม้ภาระจะหนักหนาสาหัส แต่จิตใจผมกลับกลายมาเป็นปกติในช่วงซ้ำชั้น ผมคิดว่าทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเดิม นึกว่าจะควบคุมทุกอย่างได้
 
ทว่าเมื่อเริ่มเรียนออนไลน์ในชั้นปี 4 ผมกลับรู้สึกว่ามันแย่กว่าตอนปี 3 เสียอีก
 
เป็นความผิดของผมที่ไม่ค้นหาตัวเองก่อนจะจบมัธยมปลาย ตอนนี้ยังเหลือการวาดกับภาษาญี่ปุ่นที่อยากลองเรียน พอนึกแล้วก็อยากย้อนไปใช้ชีวิตวัยเด็กอีกครั้ง ตอนนั้นคิดว่าถ้าเรียนดีแล้วชีวิตจะดีตามไปด้วย ผมจึงตั้งใจอ่านหนังสืออย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ได้เอะใจเลยว่าตัวเองต้องการอะไร
 
ผมเคยสงสัยว่าทำไมคนเราต้องฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลไม่เข้าท่า พอเจอทางตันถึงได้เข้าใจ ในสภาวะแบบนี้ คนอื่นจะมองปัญหาของผมเป็นเรื่องเล็กน้อย มีแค่ผมที่ต้องทรมานกับเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครอยู่เคียงข้างผมแม้แต่คนเดียว ชีวิตไม่มีทางไปต่อ เป็นรสชาติที่ใกล้กับความตายที่สุดแล้ว
 
สภาพจิตผมดำรงอยู่ได้เพราะอยากเขียนนิยาย ร่างกายก็ยังไม่ทรุดมากเพราะออกกำลังกายเป็นประจำ ถ้าเป็นไปได้ สักวันผมจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ไม่อยากกลับมาที่นี่อีกแล้ว เวลาอยู่กับคนที่เอาแต่คาดหวังในตัวเรา มันเป็นชีวิตที่ทรมานมากจริง ๆ
 
ไม่แน่ ผมอาจฆ่าตัวตายก่อนจะได้หนีไปไหนก็ได้
 
หากมองเผิน ๆ แล้ว เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกิดจากการเลือกของผม แต่ผมต้องเลือกแบบนั้นเพราะเห็นใจคนจ่ายค่าเทอม พอทุกอย่างพังทลายลง ทุกคนอาจบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดผม แต่ก็ยังคิดว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผมเพียงคนเดียว
 
เพราะอย่างนั้นการเลือกจึงสำคัญมาก ต่อให้เป็นอัจฉริยะ แต่หากเลือกผิดไปครั้งเดียว มันอาจพลิกคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ให้กลายเป็นคนที่จบชีวิตตัวเองอย่างน่าสมเพช

ยังงงอยู่เลยว่าตัวเองสอบติดหมอมาได้ยังไง พอคนอื่นถามว่าแบ่งเวลายังไง วางแผนยังไง ผมได้แต่ตอบว่าทำตามอารมณ์ เพียงเพราะอยากสอบติดก็เลยอ่านเยอะ ไม่ได้มีเทคนิคอะไรเลย ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น พอเข้ามาเรียนก็ได้แต่เรียนตามอารมณ์ ช่วงไหนมีอารมณ์เรียน เกรดอาจจะสูงถึง B แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ก็จะ F ได้ง่าย ๆ เลย (ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอารมณ์) เกรดเฉลี่ย 2 ต้น ๆ เท่านั้นเอง พอได้ทำแบบทดสอบเอนเนียแกรม จึงได้รู้ตัวเองเป็นพวกศิลปิน โศกซึ้ง คนลักษณ์นี้ซึมเศร้าได้ง่ายมาก ไม่แปลกเลยที่ผมจะรู้สึกแปลกแยก เพื่อนในคณะเป็นพวกจอมวางแผน มีระเบียบวินัย อ่านหนังสือสม่ำเสมอ ส่วนผมเอาแต่เขียนนิยายไปวัน ๆ

จากการค้นหาตัวเองในพักหลัง
ผมพบสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบนั่นก็คือ งานที่ต้องวางแผนอย่างละเอียด การพูด การขาย ธุรกิจ ตรรกศาสตร์ การเป็นหัวหน้า คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ขั้นสูง (ทักษะยอดฮิตยุคทุนนิยมทั้งนั้น)
ส่วนสิ่งที่ชอบก็คือ การเขียน การแสดง การวาด ภาษา 

ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรงซึมเศร้ารึยัง แต่อาการเข้าเค้ามาก ๆ ไม่มีแรงตอนเช้า ไม่อยากตื่น เศร้าทั้งวัน หลังออกกำลังกายช่วงเย็นจะรู้สึกมีพลังขึ้นมา นอนหลับยาก พอตื่นเช้ามาก็จะเศร้าเหมือนเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

 
จนถึงวันนี้ผมอายุ 23 ปี ยังคงอยากกลับไปเริ่มต้นใหม่เหมือนเดิม แต่พอลองถามคนใกล้ตัว ผมพบว่าไม่มีใครเห็นด้วยแม้แต่คนเดียว อย่างที่ได้บอกไปตั้งแต่ต้น ทุกคนเอาแต่บอกให้วิ่งต่อไป ไม่ได้สนใจเลยว่ารองเท้าผมขาดสะบั้น คมหนามทิ่มแทงผิวหนังจนเลือดเจิ่งนองเต็มถนน
 
เหลือแค่ทางออกเดียว นั่นคือจบชีวิตตัวเองนั่นแหละ
 
คุณอาจได้ข่าวว่ามีนักศึกษาแพทย์ฆ่าตัวตายภายในสามปีข้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าจริงจังกับบทความนี้มาก ผมอาจจะแค่อยากระบายอารมณ์ และกลับไปใช้ชีวิตปกติในไม่ช้า หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่