สวัสดีครับ วันนี้ตั้งใจจะมาเขียนกระทู้ๆนึง”ข้าราชการดีจริงหรือที่ใครๆก็อยากเป็น???”
เส้นทางการเข้าสู้ “ข้าราชการ” ของใครหลายๆคน ความเป็นมาและเส้นทางการนำเข้ามาสู้คำว่า “ข้าราชการ” มีที่มาแตกต่างกันไปตามสายงาน ของใครของมัน บางคนสอบเข้า บางคนทำงานรอตำแหน่ง บางคนเรียนจบได้เป็นเลย ระยะเวลาสั้นยาวแล้วแต่สายงาน
บางคนเห็นคุณค่าของการได้เป็นข้าราชการ บางคนเบื่อหน่ายอยากเปลี่ยนอาชีพสะเหลือเกิน
ผมจะมาเล่าให้ฟังนะครับ
ขอเกิ้นก่อนนะครับนี้เป็นกระทู้แรกที่เขียนยาวๆ สำหรับผมคือผมไม่เคยคิดว่าจะเข้ามาเป็นข้าราชการเลย ไม่เคยมีในความคิดแม้แต่น้อย ที่เข้ามาอยู่ในระบบตอนเเรกเลยคือหาประสบการณ์ แล้วค่อยออกไปอยู่นอกระบบ เพราะจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น
เอาหละผมจะเริ่มต้นเล่าให้ฟังเป็น Part ไปนะครับ
Part I : ทุกคนที่เข้ามารับราชการคงนี้ไม่พ้นคำว่า พ่อแม่อยากให้เป็นข้าราชการ เพราะคนในครอบครัวก็เป็นข้าราชการ มีอาชีพ มีความมั่นคง มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ซึ่งมันก็จริงสำหรับคนที่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ ผมเรียนจบเมื่อหลายปีที่แล้ว (ไม่บอกหรอกเดี๋ยวรู้อายุ) 555 เริ่มทำงานวันแรก จำได้เลย คือ 3 ส.ค.58 ระหว่างทางก็มีการไปสอบแข่งขัน ไปติวสอบนักบิน ไปสมัครสอบทุนนักบิน หรือที่เรียกๆกันว่า Student pilot (SP) เดินทางไปเข้าค่ายนักบินที่ กทม หลายต่อหลายครั้ง เป็นเวลาหลายปีด้วยกันที่ทำแบบนี้มา ทำเพื่ออะไรหรอ งานก็มีทำ เงินเดือนก็มี ทำไมต้องออกไปหาอะไรอีก ทำไมไม่พอใจ เมื่อวันหนึ่งเราเดินมาจุดจุดหนึ่งที่เราคิดว่าเราจะชอบมัน แต่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา ผมเชื่อว่าทุกคนต้องอึดอัดใจ อยากจะหนีไปให้ไกลๆ เหมือนที่ผมเป็นในตอนนั้น เอาหละกลับมาเรื่องการสอบ SP ของผมต่อนะครับ การที่เรากล้าที่ก้าวออกจาก Confort zone ที่ที่ทุกอย่างลงตัว เพื่อไปหาความฝันที่เคยฝันและมันหายไปตอนจบ.ม.6 มันเหมือนกับการเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยท้อ บินไปกลับ ภูเก็ต-กทม เดือนละหลายรอบ เพื่อทำตามความฝัน แต่การสอบ SP สอบข้อเขียนผ่านรอบแรก แต่สอบตกรอบสอง พอปีที่ 2 ก็ทำเหมือนเดิมไม่เคยหยุด ผมบินไปเข้า Class SP โดยเฉพาะที่ กทม มีพี่นักบินจากสายการบิน PG ติวให้ และซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ จากพี่นักบิน TG กับ TAA เพื่อมาเตรียมตัวสอบ สุดท้ายก็ไม่ติดผมพยายามคิดและนึกถึงตลอดเวลาว่าเราก็ทำดีที่สุดละนะ กลับทบทวนตัวเองจนมาถึงจุดจุดหนึ่งบอกกับตัวเองว่าพอก่อนพักก่อนกลับมาตั้งใจทำงานที่เราเลือกเรียนมาจนจบก่อนมีแรงค่อยว่ากันใหม่
Part II พอทำงานไปได้ประมาณ 3 ปี ก็มีตำแหน่งบรรจุมา รอบแรก 43 ตำแหน่ง ในใจตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ สอบสัมภาษณ์ผ่านไป พอประกาศไม่มีชื่อ ผมก็เฉยๆ จนมีพี่ที่ทำงานมาพูดทุกวันว่า”น่าจะได้นะทำไมไม่ได้” ผมก็เริ่มเกิดความคิดว่า “อ้าวพี่พูดมาทำไมเนี่ยอุสาไม่คิด” ตั้งแต่วันนั้นมาก็รู้สึกไม่ดี หมายถึงรู้สึกแย่นิดๆ ผ่านมาอีกประมาณ 6 เดือนก็มีตำแหน่งมาอีก 40 ตำแหน่ง ก็สอบสัมภาษณ์ แบบเดิม ปรากฎว่าได้บรรจุเป็นข้าราชการ ตอนเเรกดีใจนะโทรไปบอกแม่ ว่าได้บรรจุแล้ว แม่กับพ่อก็ดีใจมาก ที่ได้บรรจุและได้สิทธิ์ของข้าราชการที่ได้ทั้ง ค่ารักษาพยาบาล สิทธิพิเศษอื่นๆมากมาย
เช่น 1. วันลาพักร้อน 10 วัน (โหเยอะมากๆ 5555)
2.ลากิจ
3.ลาป่วย
4.ลาศึกษาต่อ
เหล่านั้น
แต่ๆ.... ข้าราชการใหม่ 6 เดือนเเรกลาไม่ได้นะจ๊ะ ยกเว้นลาป่วย จ้า
ข้อดีคือ 1. ลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน ลาได้ตามโคต้าห้ามลาเกิน หรือ ลาได้ตามความจำเป็น ได้เงินเดือนปกติ
ข้อเสียคือ 2. การลากิจ ลาป่วย มีผลต่อคะแนนประเมินขั้นเงินเดือน (พีคไปอีกคือ ลาป่วยบ่อย ลากิจบ่อยมีผลต่อคะแนนประเมินนะจ๊ะ แล้วจะมีให้ลาทำไมไม่เข้าใจ)
จากวันแรกที่ได้บรรจุ จนอายุข้าราชการได้ 1 ปีเต็มความคิดเริ่มเปลี่ยนอยากออกไปทำอย่างอื่นที่มีความสุขและก็สบายใจกว่านี้ คือผมยอมรับนะครับว่าผมเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากกก บอกเลยว่านี้คือข้อเสียมากๆในการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ แต่ผมพยายามไม่แสดงออก แต่มันอาจจะมีหลุดออกมาบ้าง คือผมเป็นคนเอาแต่ใจ
มาพูดถึงเรื่องงานที่ทำมันค่อนข้างจะเป็นอิสระในการคิดแต่อยู่ภายใต้องค์ความรู้ คือประมาณว่าจะทำอะไรก็ทำ แต่ต้องมีเหตุผลและองค์ความรู้คอยสนับสนุน จะขาดไม่ได้ ภาระงานก็คือว่าค่อนข้างเหนื่อยและเครียด เพราะงานหนักมาก เรื่องงานไม่ใช่ประเด็นปัญหาที่อยากให้ลาออก ผมเชื่อหลายๆคนที่อยากลาออก 90% ไม่ใช่เพราะงาน แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน+ ระบบข้าราชการที่เก่ามากกว่า???
Part IV อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง เพื่อนร่วมงาน เคยมีไหมใครเคยเจอแบบว่า เราดีกับทุกคนแต่ใช่ว่าทุกคนจะดีกับเรา นินทาลับหลัง ใส่ร้ายบ้าง แต่.....สำหรับผม ผมไม่เคยโกรธคนกลุ่มนั้นเลย เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมรู้ว่าพื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนถูกเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน เราจะต้องเข้าใจบริบทของคน ความเฉพาะของแต่ละบุคคลให้ได้ และให้เอาคำติฉินนินทานั้นมาเป็นแรงผลักดันให้เราไปถึงจุดที่เราสามารถยืนด้วยตัวเองได้ ระบบข้าราชการดีอย่างหนึ่งคือเราสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองได้
ระบบข้าราชการที่เก่า ระบบดึกดำบรรพ์ถ้าทำอะไรแหวกแนว แตกแถวคุณคือคนผิด คุณคือตัวอันตรายของหน่วยงาน ห้ามพูดความจริง ห้ามหาข้อเสีย เพราะอะไรนั้นหรอ เพราะว่าผู้ใหญ่ไม่ปลื้ม รับไม่ได้กับสิ่งที่จะได้ยิน (โลกสวยไปไหน คุณก็ทำให้มันดีสิ) สำหรับผมผมมองว่าการพูดความจริงตรงๆ ปัญหานั้นจะได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องเร่งด่วนรวดเร็ว กว่าการปกปิดและบอกว่าจะแก้ไขที่หลัง แบบนี้ผมเห็นมา4-5 ปียังเหมือนเดิม นี้เป็นสาเหตุนึ่งที่ทำให้เด็กสมัยใหม่ทนอยู่ในระบบข้าราชการไม่ได้ เนื่องจาก เด็กสมัยนี้คิดเร็วทำเร็ว พูดตรง ความอดทนน้อย เลยทำให้ผู้ใหญ่หลายมองว่าทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่รักองค์ จริงๆแล้วนั้น ทุกคนรักองค์กรครับ เพียงแต่การแสดงออกของเด็กรุ่นใหม่มันตรงเกินไป ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่า เจอปัญหาแล้วเงียบ กลัวเสียคะแนนเวลาประเมิน อีกปัญหาคือ เวลาขอเรียนต่อยากมากๆ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เหตุผลแต่ละอย่างผมฟังแล้วผมคิดว่าไม่น่าจะออกมาจากปากผู้บริหารระดับนั้น เช่น 1. ขาดคนทำงาน (ห๊า...อะไรนะขาดคนทำงาน..OMG มาก ) คุณฟังไม่ผิดหรอก เฟ้ยไปเรียนต่อกลับมาพัฒนาองค์นะเว้ย... 2. สาขาที่เรียนไม่มีในแผนปีนี้...WTF..คืออะไร คือต้องเรียนตามที่คุณเส้นไว้ให้เดินงี้หรอ...มันควรปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทก็ได้มั้ง
สรุปคือ เป็นข้าราชการดีครับ ขอแค่คนในระบบที่อาวุโสก็ช่วยลดฐิถิลงบ้าง ลองมองลงมาดูน้องๆบ้าง ทุกอย่างดีหมดยกเว้นคนเดินระบบแค่นั้นเอง (5555 สงสัยคนเดินระบบต้องอัด IOS ให้ทันน้องๆได้แล้ว)
”ข้าราชการดีจริงหรือที่ใครๆก็อยากเป็น???”
เส้นทางการเข้าสู้ “ข้าราชการ” ของใครหลายๆคน ความเป็นมาและเส้นทางการนำเข้ามาสู้คำว่า “ข้าราชการ” มีที่มาแตกต่างกันไปตามสายงาน ของใครของมัน บางคนสอบเข้า บางคนทำงานรอตำแหน่ง บางคนเรียนจบได้เป็นเลย ระยะเวลาสั้นยาวแล้วแต่สายงาน
บางคนเห็นคุณค่าของการได้เป็นข้าราชการ บางคนเบื่อหน่ายอยากเปลี่ยนอาชีพสะเหลือเกิน
ผมจะมาเล่าให้ฟังนะครับ
ขอเกิ้นก่อนนะครับนี้เป็นกระทู้แรกที่เขียนยาวๆ สำหรับผมคือผมไม่เคยคิดว่าจะเข้ามาเป็นข้าราชการเลย ไม่เคยมีในความคิดแม้แต่น้อย ที่เข้ามาอยู่ในระบบตอนเเรกเลยคือหาประสบการณ์ แล้วค่อยออกไปอยู่นอกระบบ เพราะจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น
เอาหละผมจะเริ่มต้นเล่าให้ฟังเป็น Part ไปนะครับ
Part I : ทุกคนที่เข้ามารับราชการคงนี้ไม่พ้นคำว่า พ่อแม่อยากให้เป็นข้าราชการ เพราะคนในครอบครัวก็เป็นข้าราชการ มีอาชีพ มีความมั่นคง มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ซึ่งมันก็จริงสำหรับคนที่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ ผมเรียนจบเมื่อหลายปีที่แล้ว (ไม่บอกหรอกเดี๋ยวรู้อายุ) 555 เริ่มทำงานวันแรก จำได้เลย คือ 3 ส.ค.58 ระหว่างทางก็มีการไปสอบแข่งขัน ไปติวสอบนักบิน ไปสมัครสอบทุนนักบิน หรือที่เรียกๆกันว่า Student pilot (SP) เดินทางไปเข้าค่ายนักบินที่ กทม หลายต่อหลายครั้ง เป็นเวลาหลายปีด้วยกันที่ทำแบบนี้มา ทำเพื่ออะไรหรอ งานก็มีทำ เงินเดือนก็มี ทำไมต้องออกไปหาอะไรอีก ทำไมไม่พอใจ เมื่อวันหนึ่งเราเดินมาจุดจุดหนึ่งที่เราคิดว่าเราจะชอบมัน แต่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา ผมเชื่อว่าทุกคนต้องอึดอัดใจ อยากจะหนีไปให้ไกลๆ เหมือนที่ผมเป็นในตอนนั้น เอาหละกลับมาเรื่องการสอบ SP ของผมต่อนะครับ การที่เรากล้าที่ก้าวออกจาก Confort zone ที่ที่ทุกอย่างลงตัว เพื่อไปหาความฝันที่เคยฝันและมันหายไปตอนจบ.ม.6 มันเหมือนกับการเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยท้อ บินไปกลับ ภูเก็ต-กทม เดือนละหลายรอบ เพื่อทำตามความฝัน แต่การสอบ SP สอบข้อเขียนผ่านรอบแรก แต่สอบตกรอบสอง พอปีที่ 2 ก็ทำเหมือนเดิมไม่เคยหยุด ผมบินไปเข้า Class SP โดยเฉพาะที่ กทม มีพี่นักบินจากสายการบิน PG ติวให้ และซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ จากพี่นักบิน TG กับ TAA เพื่อมาเตรียมตัวสอบ สุดท้ายก็ไม่ติดผมพยายามคิดและนึกถึงตลอดเวลาว่าเราก็ทำดีที่สุดละนะ กลับทบทวนตัวเองจนมาถึงจุดจุดหนึ่งบอกกับตัวเองว่าพอก่อนพักก่อนกลับมาตั้งใจทำงานที่เราเลือกเรียนมาจนจบก่อนมีแรงค่อยว่ากันใหม่
Part II พอทำงานไปได้ประมาณ 3 ปี ก็มีตำแหน่งบรรจุมา รอบแรก 43 ตำแหน่ง ในใจตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ สอบสัมภาษณ์ผ่านไป พอประกาศไม่มีชื่อ ผมก็เฉยๆ จนมีพี่ที่ทำงานมาพูดทุกวันว่า”น่าจะได้นะทำไมไม่ได้” ผมก็เริ่มเกิดความคิดว่า “อ้าวพี่พูดมาทำไมเนี่ยอุสาไม่คิด” ตั้งแต่วันนั้นมาก็รู้สึกไม่ดี หมายถึงรู้สึกแย่นิดๆ ผ่านมาอีกประมาณ 6 เดือนก็มีตำแหน่งมาอีก 40 ตำแหน่ง ก็สอบสัมภาษณ์ แบบเดิม ปรากฎว่าได้บรรจุเป็นข้าราชการ ตอนเเรกดีใจนะโทรไปบอกแม่ ว่าได้บรรจุแล้ว แม่กับพ่อก็ดีใจมาก ที่ได้บรรจุและได้สิทธิ์ของข้าราชการที่ได้ทั้ง ค่ารักษาพยาบาล สิทธิพิเศษอื่นๆมากมาย
เช่น 1. วันลาพักร้อน 10 วัน (โหเยอะมากๆ 5555)
2.ลากิจ
3.ลาป่วย
4.ลาศึกษาต่อ
เหล่านั้น
แต่ๆ.... ข้าราชการใหม่ 6 เดือนเเรกลาไม่ได้นะจ๊ะ ยกเว้นลาป่วย จ้า
ข้อดีคือ 1. ลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน ลาได้ตามโคต้าห้ามลาเกิน หรือ ลาได้ตามความจำเป็น ได้เงินเดือนปกติ
ข้อเสียคือ 2. การลากิจ ลาป่วย มีผลต่อคะแนนประเมินขั้นเงินเดือน (พีคไปอีกคือ ลาป่วยบ่อย ลากิจบ่อยมีผลต่อคะแนนประเมินนะจ๊ะ แล้วจะมีให้ลาทำไมไม่เข้าใจ)
จากวันแรกที่ได้บรรจุ จนอายุข้าราชการได้ 1 ปีเต็มความคิดเริ่มเปลี่ยนอยากออกไปทำอย่างอื่นที่มีความสุขและก็สบายใจกว่านี้ คือผมยอมรับนะครับว่าผมเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากกก บอกเลยว่านี้คือข้อเสียมากๆในการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ แต่ผมพยายามไม่แสดงออก แต่มันอาจจะมีหลุดออกมาบ้าง คือผมเป็นคนเอาแต่ใจ
มาพูดถึงเรื่องงานที่ทำมันค่อนข้างจะเป็นอิสระในการคิดแต่อยู่ภายใต้องค์ความรู้ คือประมาณว่าจะทำอะไรก็ทำ แต่ต้องมีเหตุผลและองค์ความรู้คอยสนับสนุน จะขาดไม่ได้ ภาระงานก็คือว่าค่อนข้างเหนื่อยและเครียด เพราะงานหนักมาก เรื่องงานไม่ใช่ประเด็นปัญหาที่อยากให้ลาออก ผมเชื่อหลายๆคนที่อยากลาออก 90% ไม่ใช่เพราะงาน แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน+ ระบบข้าราชการที่เก่ามากกว่า???
Part IV อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง เพื่อนร่วมงาน เคยมีไหมใครเคยเจอแบบว่า เราดีกับทุกคนแต่ใช่ว่าทุกคนจะดีกับเรา นินทาลับหลัง ใส่ร้ายบ้าง แต่.....สำหรับผม ผมไม่เคยโกรธคนกลุ่มนั้นเลย เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมรู้ว่าพื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนถูกเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน เราจะต้องเข้าใจบริบทของคน ความเฉพาะของแต่ละบุคคลให้ได้ และให้เอาคำติฉินนินทานั้นมาเป็นแรงผลักดันให้เราไปถึงจุดที่เราสามารถยืนด้วยตัวเองได้ ระบบข้าราชการดีอย่างหนึ่งคือเราสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองได้
ระบบข้าราชการที่เก่า ระบบดึกดำบรรพ์ถ้าทำอะไรแหวกแนว แตกแถวคุณคือคนผิด คุณคือตัวอันตรายของหน่วยงาน ห้ามพูดความจริง ห้ามหาข้อเสีย เพราะอะไรนั้นหรอ เพราะว่าผู้ใหญ่ไม่ปลื้ม รับไม่ได้กับสิ่งที่จะได้ยิน (โลกสวยไปไหน คุณก็ทำให้มันดีสิ) สำหรับผมผมมองว่าการพูดความจริงตรงๆ ปัญหานั้นจะได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องเร่งด่วนรวดเร็ว กว่าการปกปิดและบอกว่าจะแก้ไขที่หลัง แบบนี้ผมเห็นมา4-5 ปียังเหมือนเดิม นี้เป็นสาเหตุนึ่งที่ทำให้เด็กสมัยใหม่ทนอยู่ในระบบข้าราชการไม่ได้ เนื่องจาก เด็กสมัยนี้คิดเร็วทำเร็ว พูดตรง ความอดทนน้อย เลยทำให้ผู้ใหญ่หลายมองว่าทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่รักองค์ จริงๆแล้วนั้น ทุกคนรักองค์กรครับ เพียงแต่การแสดงออกของเด็กรุ่นใหม่มันตรงเกินไป ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่า เจอปัญหาแล้วเงียบ กลัวเสียคะแนนเวลาประเมิน อีกปัญหาคือ เวลาขอเรียนต่อยากมากๆ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เหตุผลแต่ละอย่างผมฟังแล้วผมคิดว่าไม่น่าจะออกมาจากปากผู้บริหารระดับนั้น เช่น 1. ขาดคนทำงาน (ห๊า...อะไรนะขาดคนทำงาน..OMG มาก ) คุณฟังไม่ผิดหรอก เฟ้ยไปเรียนต่อกลับมาพัฒนาองค์นะเว้ย... 2. สาขาที่เรียนไม่มีในแผนปีนี้...WTF..คืออะไร คือต้องเรียนตามที่คุณเส้นไว้ให้เดินงี้หรอ...มันควรปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทก็ได้มั้ง
สรุปคือ เป็นข้าราชการดีครับ ขอแค่คนในระบบที่อาวุโสก็ช่วยลดฐิถิลงบ้าง ลองมองลงมาดูน้องๆบ้าง ทุกอย่างดีหมดยกเว้นคนเดินระบบแค่นั้นเอง (5555 สงสัยคนเดินระบบต้องอัด IOS ให้ทันน้องๆได้แล้ว)