สวัสดีทุกคนนะครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองคร่าวๆก่อนนะครับ ผมชื่อเอ (นามสมมติ) ปัจจุบันอายุ 27 ปี ทำงานเป็นครูเอกชนอยู่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใกล้บ้านทางภาคใต้ และกำลังศึกษาต่ออยู่ระดับปริญญาโท ในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพครับ
ปัญหาของผมตอนนี้ต้องขอย้อนกลับไปตั้งแต่ปีที่แล้วก่อนนะครับ ตั้งแต่เรียนจบผมทำงานเป็นครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร มา 3 ปีครับ โรงเรียนนี้ไม่อนุญาตให้ครูไปสอบบรรจุเข้ารับราชการ ผมเลยได้ตัดสินใจเรียนปริญญาโทและตอนนี้ก็อยู่ในช่วงทำวิทยานิพนธ์ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีโรงเรียนในบ้านเกิดผมเปิดรับสมัครครูอัตราจ้าง ผมเลยตัดสินใจกลับมาสอบและเป็นครูอัตราจ้างในโรงเรียนใกล้บ้านเพื่อที่จะได้กลับมาอยู่กับพ่อแม่ และรับเงินเดือนอยู่ที่ 9,000 บาท แต่เนื่องด้วยผมมีภาระค่าใช้จ่ายในการส่งค่างวดรถ รวมเป็นเงิน 8,500 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ เลยได้ตัดสินใจไปสอบนักวิชาการศึกษา และสอบติด เลยตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูอัตราจ้าง และได้มาทำงานในตำแหน่งนักวิชาการศึกษาใกล้บ้าน เป็นการจ้างเหมาบริการ เงินเดือน 12,000 บาท สิ่งที่ต้องพบเจอและรู้ภายหลังคือ ตำแหน่งที่เราสอบและเข้ามาทำงานนั้นเป็นตำแหน่งในการเปิดสอบครั้งที่ 3 เพราะหัวหน้ากดขี่ ไม่มีเวลาให้กับที่บ้าน และร่างกายทรุดโทรมมากจนเกิดความเครียดและคนรอบข้างบอกว่าเราแย่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่ทุกคนบอกไว้ เพราะเวลาขึ้นไปส่งงานอาจารย์ที่มหาลัยเราก็จะโดนหักเงินและต้องกลับมาทำงานชดเชย ผมเลยได้มีเวลาทบทวนตัวเองและรู้ตัวเองว่าเรารักและชอบในอาชีพครูที่สุด เลยได้ปรึกษาทางบ้านและลาออกกลับมาสมัครเป็นครูในโรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน ได้รับเงินเดือน 15,800 บาท มีข้าว 3 มื้อให้กับครู แต่ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้ครูไปสอบบรรจุ ถ้าจะไปสอบต้องลาออกก่อนถึงจะไปสอบได้ ผมก็ทำมาได้เรื่อยๆ และลางานไปส่งงานปริญญาโทในวันศุกร์เป็นส่วนใหญ่ พอมาถึงตอนนี้เกณฑ์การสอบบรรจุเปลี่ยน หลักเกณฑ์ยากขึ้น เลยคิดจะลาออกเพื่อไปสอบบรรจุ โดยคำนึงเรื่องของการเรียนว่าได้เข้าไปพบอาจารย์ที่มหาลัยบ่อยขึ้น วิทยานิพนธ์ก็จะได้อัพเดทและสอบประมวลได้เร็วขึ้น เรื่องของการจัดฟัน ตอนนั้นจัดอยู่ที่กรุงเทพและเหลืออีก 4 เดือนก็จะได้ถอดใส่รีเทนเนอร์แล้ว ส่วนนี้ก็จะได้สำเร็จไปอีกหนึ่งอย่าง และเรื่องของการทำงาน ตอนนี้มีโรงเรียนที่เคยร่วมงานด้วยติดต่อมา เป็นโรงเรียนเอกชนเหมือนเดิมครับ ได้รับเงินเดือน 15,800 และมีค่าสอนพิเศษอีกประมาณ 2,000 บาท และทางโรงเรียนอนุญาตให้ไปสอบบรรจุได้ เลยอยากให้โอกาสตัวเองในครั้งนี้ครับ
ตอนนี้คือเครียดและตัดสินใจไม่ถูกครับ ระหว่าง 1.ทำงานที่เดิมใกล้บ้าน ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าหอ ค่ากิน ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่ไม่มีโอกาสได้สอบบรรจุและต้องขึ้นเครื่องบิน ลาโรงเรียนเพื่อขึ้นมานำเสนอความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ และเปลี่ยนเหล็กจัดฟันทุกเดือน หรือ 2.ย้ายกลับไปสอนที่กรุงเทพก่อน นำค่าเครื่องบินที่เดินทางแต่ละเดือน มาเป็นค่าเช่าหอ ได้ไปหาอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมากขึ้น ได้ผลักภาระของเรื่องการจัดฟันเร็วขึ้น และที่สำคัญได้เปิดโอกาสตัวเองในการสอบ ถ้าโชคดีสอบได้ และเรียนจบปริญญาโทปีหน้าก็จะสามารถนำวุฒิมาปรับฐานเดือนต่อไปได้
ทุกคนว่ายังไงดีครับ ช่วยตัดสินใจหรือให้เหตุผลหน่อยนะครับ ขอบคุณมากครับ
่ครูสอนโรงเรียนเอกชนใกล้บ้านแต่ไม่ได้สอบบรรจุ หรือครูสอนโรงเรียนเอกชนในกรุงเทพแต่โรงเรียนอนุญาตให้ไปสอบบรรจุ
ปัญหาของผมตอนนี้ต้องขอย้อนกลับไปตั้งแต่ปีที่แล้วก่อนนะครับ ตั้งแต่เรียนจบผมทำงานเป็นครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร มา 3 ปีครับ โรงเรียนนี้ไม่อนุญาตให้ครูไปสอบบรรจุเข้ารับราชการ ผมเลยได้ตัดสินใจเรียนปริญญาโทและตอนนี้ก็อยู่ในช่วงทำวิทยานิพนธ์ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีโรงเรียนในบ้านเกิดผมเปิดรับสมัครครูอัตราจ้าง ผมเลยตัดสินใจกลับมาสอบและเป็นครูอัตราจ้างในโรงเรียนใกล้บ้านเพื่อที่จะได้กลับมาอยู่กับพ่อแม่ และรับเงินเดือนอยู่ที่ 9,000 บาท แต่เนื่องด้วยผมมีภาระค่าใช้จ่ายในการส่งค่างวดรถ รวมเป็นเงิน 8,500 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ เลยได้ตัดสินใจไปสอบนักวิชาการศึกษา และสอบติด เลยตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูอัตราจ้าง และได้มาทำงานในตำแหน่งนักวิชาการศึกษาใกล้บ้าน เป็นการจ้างเหมาบริการ เงินเดือน 12,000 บาท สิ่งที่ต้องพบเจอและรู้ภายหลังคือ ตำแหน่งที่เราสอบและเข้ามาทำงานนั้นเป็นตำแหน่งในการเปิดสอบครั้งที่ 3 เพราะหัวหน้ากดขี่ ไม่มีเวลาให้กับที่บ้าน และร่างกายทรุดโทรมมากจนเกิดความเครียดและคนรอบข้างบอกว่าเราแย่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่ทุกคนบอกไว้ เพราะเวลาขึ้นไปส่งงานอาจารย์ที่มหาลัยเราก็จะโดนหักเงินและต้องกลับมาทำงานชดเชย ผมเลยได้มีเวลาทบทวนตัวเองและรู้ตัวเองว่าเรารักและชอบในอาชีพครูที่สุด เลยได้ปรึกษาทางบ้านและลาออกกลับมาสมัครเป็นครูในโรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน ได้รับเงินเดือน 15,800 บาท มีข้าว 3 มื้อให้กับครู แต่ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้ครูไปสอบบรรจุ ถ้าจะไปสอบต้องลาออกก่อนถึงจะไปสอบได้ ผมก็ทำมาได้เรื่อยๆ และลางานไปส่งงานปริญญาโทในวันศุกร์เป็นส่วนใหญ่ พอมาถึงตอนนี้เกณฑ์การสอบบรรจุเปลี่ยน หลักเกณฑ์ยากขึ้น เลยคิดจะลาออกเพื่อไปสอบบรรจุ โดยคำนึงเรื่องของการเรียนว่าได้เข้าไปพบอาจารย์ที่มหาลัยบ่อยขึ้น วิทยานิพนธ์ก็จะได้อัพเดทและสอบประมวลได้เร็วขึ้น เรื่องของการจัดฟัน ตอนนั้นจัดอยู่ที่กรุงเทพและเหลืออีก 4 เดือนก็จะได้ถอดใส่รีเทนเนอร์แล้ว ส่วนนี้ก็จะได้สำเร็จไปอีกหนึ่งอย่าง และเรื่องของการทำงาน ตอนนี้มีโรงเรียนที่เคยร่วมงานด้วยติดต่อมา เป็นโรงเรียนเอกชนเหมือนเดิมครับ ได้รับเงินเดือน 15,800 และมีค่าสอนพิเศษอีกประมาณ 2,000 บาท และทางโรงเรียนอนุญาตให้ไปสอบบรรจุได้ เลยอยากให้โอกาสตัวเองในครั้งนี้ครับ
ตอนนี้คือเครียดและตัดสินใจไม่ถูกครับ ระหว่าง 1.ทำงานที่เดิมใกล้บ้าน ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าหอ ค่ากิน ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่ไม่มีโอกาสได้สอบบรรจุและต้องขึ้นเครื่องบิน ลาโรงเรียนเพื่อขึ้นมานำเสนอความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ และเปลี่ยนเหล็กจัดฟันทุกเดือน หรือ 2.ย้ายกลับไปสอนที่กรุงเทพก่อน นำค่าเครื่องบินที่เดินทางแต่ละเดือน มาเป็นค่าเช่าหอ ได้ไปหาอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมากขึ้น ได้ผลักภาระของเรื่องการจัดฟันเร็วขึ้น และที่สำคัญได้เปิดโอกาสตัวเองในการสอบ ถ้าโชคดีสอบได้ และเรียนจบปริญญาโทปีหน้าก็จะสามารถนำวุฒิมาปรับฐานเดือนต่อไปได้
ทุกคนว่ายังไงดีครับ ช่วยตัดสินใจหรือให้เหตุผลหน่อยนะครับ ขอบคุณมากครับ