
อัตราการเติบโตทั่วโลกของ M2 ซึ่งเป็นค่าวัดปริมาณเงิน (เงินสดหมุนเวียนและเงินฝาก) ได้ขึ้นถึงจุดสูงสุด 12.2 % ในเดือนเมษายนปีนี้ หลังจากมาตรการทางการเงินที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
.
สินทรัพย์ทั้งหมดของ Fed ตอนนี้ได้เลยระดับตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้คาดการณ์ว่าจะเลย 40% ของ GDP

นั่นหมายความว่า เกือบทุกๆ ดอลล่าร์ที่สร้างจากเศรษฐกิจอเมริกา ไม่ได้มาจากวิธีปกติ เช่น การทำงาน แต่ด้วยการพิมพ์เงิน สิ่งนั้นเริ่มมีผลต่อราคา
.
การว่างงานและราคานํ้ามันที่ตํ่าเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกิดภาวะเงินฝืด (deflation) ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เราอาจจะเห็น ภาวะเศรษฐกิจซบเซา stagflation (ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อ) stagnation and inflation เหมือนในช่วง 1970s อีกครั้ง
.
ค่าใช้จ่ายซื้อของกินของใช้ในอเมริกาได้ก้าวกระโดด เริ่มจากราคาเนื้อและไข่ที่เพิ่มขึ้น
.

กระทรวงแรงงานในสหรัฐ ได้รายงานวันที่ 12 พฤษภาคมว่า ราคาที่ผู้บริโภคอเมริกันจับจ่ายในเดือนเมษายนได้เพิ่มขึ้นถึง 2.6% ในเดือนเมษายน เป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่มากที่สุดในรอบ 46 ปี (ตั้งแต่ก.พ. 1974)
.
ด้วยเหตุที่เงินจะไร้ค่าไปเรื่อยๆ หุ้นจะกลายเป็นตัวเลขวัดสุขภาพเศรษฐกิจที่เชื่อถือไม่ได้ เพราะราคาหุ้นอยู่ในรูปแบบ fiat currency แต่ถ้ามองราคาหุ้นที่แสดงโดยใช้ทองเป็นมาตรฐานวัดราคา (ราคาหุ้น/ราคาทอง) เราจะเห็นว่าการรีบาวด์หลังเลิกล็อคดาวน์ดูไม่หวือหวา และคล้ายๆ ปี 2008 ตลาดหุ้นอาจลดค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับทอง ถึงแม้ว่าธนาคารกลางพยายามที่จะอุ้มไว้

ในชาร์ตคุณจะเห็น New York Composite Index ($NYA) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้น 2,000 ตัวทั้งหุ้นในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้จดทะเบียนในตลาด New York Stock Exchange หารด้วยราคาทองต่อออนซ์ (เงินเฟ้อเป็นตัวแปรควบคุม ที่เราจะไม่นํามาพิจารณา ในวิธีนี้) เมื่อดัชนีเพิ่ม หุ้นจะดีกว่าทอง และในทางตรงกันข้าม เมื่อดัชนีลด กราฟบอกเป็นนัยว่าทองดีกว่าหุ้น
ฝากกดไลค์เป็นกําลังใจให้เฟสบุ๊ค: @BarracudaStocks (www.facebook.com/BarracudaStocks) ด้วยครับ
.
.
.
.
#M2
#moneysupply
#ปริมาณเงิน
#deflation
#stagflation
#stagnation
#inflation
#เศรษฐกิจอเมริกา
#USEconomy
ปริมาณเงิน “M2” ขึ้นถึงจุดสูงสุด-ดีต่อหุ้น แต่ยิ่งดีมากกว่าสําหรับทอง
อัตราการเติบโตทั่วโลกของ M2 ซึ่งเป็นค่าวัดปริมาณเงิน (เงินสดหมุนเวียนและเงินฝาก) ได้ขึ้นถึงจุดสูงสุด 12.2 % ในเดือนเมษายนปีนี้ หลังจากมาตรการทางการเงินที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
.
สินทรัพย์ทั้งหมดของ Fed ตอนนี้ได้เลยระดับตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้คาดการณ์ว่าจะเลย 40% ของ GDP
นั่นหมายความว่า เกือบทุกๆ ดอลล่าร์ที่สร้างจากเศรษฐกิจอเมริกา ไม่ได้มาจากวิธีปกติ เช่น การทำงาน แต่ด้วยการพิมพ์เงิน สิ่งนั้นเริ่มมีผลต่อราคา
.
การว่างงานและราคานํ้ามันที่ตํ่าเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกิดภาวะเงินฝืด (deflation) ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เราอาจจะเห็น ภาวะเศรษฐกิจซบเซา stagflation (ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อ) stagnation and inflation เหมือนในช่วง 1970s อีกครั้ง
.
ค่าใช้จ่ายซื้อของกินของใช้ในอเมริกาได้ก้าวกระโดด เริ่มจากราคาเนื้อและไข่ที่เพิ่มขึ้น
.
กระทรวงแรงงานในสหรัฐ ได้รายงานวันที่ 12 พฤษภาคมว่า ราคาที่ผู้บริโภคอเมริกันจับจ่ายในเดือนเมษายนได้เพิ่มขึ้นถึง 2.6% ในเดือนเมษายน เป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่มากที่สุดในรอบ 46 ปี (ตั้งแต่ก.พ. 1974)
.
ด้วยเหตุที่เงินจะไร้ค่าไปเรื่อยๆ หุ้นจะกลายเป็นตัวเลขวัดสุขภาพเศรษฐกิจที่เชื่อถือไม่ได้ เพราะราคาหุ้นอยู่ในรูปแบบ fiat currency แต่ถ้ามองราคาหุ้นที่แสดงโดยใช้ทองเป็นมาตรฐานวัดราคา (ราคาหุ้น/ราคาทอง) เราจะเห็นว่าการรีบาวด์หลังเลิกล็อคดาวน์ดูไม่หวือหวา และคล้ายๆ ปี 2008 ตลาดหุ้นอาจลดค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับทอง ถึงแม้ว่าธนาคารกลางพยายามที่จะอุ้มไว้
ในชาร์ตคุณจะเห็น New York Composite Index ($NYA) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้น 2,000 ตัวทั้งหุ้นในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้จดทะเบียนในตลาด New York Stock Exchange หารด้วยราคาทองต่อออนซ์ (เงินเฟ้อเป็นตัวแปรควบคุม ที่เราจะไม่นํามาพิจารณา ในวิธีนี้) เมื่อดัชนีเพิ่ม หุ้นจะดีกว่าทอง และในทางตรงกันข้าม เมื่อดัชนีลด กราฟบอกเป็นนัยว่าทองดีกว่าหุ้น
ฝากกดไลค์เป็นกําลังใจให้เฟสบุ๊ค: @BarracudaStocks (www.facebook.com/BarracudaStocks) ด้วยครับ
.
.
.
.
#M2
#moneysupply
#ปริมาณเงิน
#deflation
#stagflation
#stagnation
#inflation
#เศรษฐกิจอเมริกา
#USEconomy