(บทความ) "บุนเดสลีกา แบบ New Normal"

ถึงแม้ศึกบุนเดสลีกานัดดาร์บี้แมตช์เหมืองถ่านหิน หรือ “เรเวียร์ดาร์บี้” ที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เปิดรัง ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ถล่ม ชาลเก้ 04 ไปยับเยินถึง 4-0 จะเป็นการเล่นแบบปิดสนามไม่มีแฟนบอลเข้าชม

แต่ความรู้สึกของผมมันเหมือนกำลังนั่งดูเกมนัดเปิดสนามฟุตบอลโลกเลยทีเดียว

ด้วยความที่ฟุตบอลลีกสูงสุดเยอรมนี คือการแข่งขันระดับโลกรายการแรกที่กลับมารีสตาร์ทกันได้ในช่วงที่โคโรน่าไวรัสแพร่ระบาด ทำให้สายตาของทุกคนที่สนใจเกมลูกหนังต่างจับจ้อง

นอกจากเรื่องของผลการแข่งขัน และฟอร์มการเล่นของนักเตะแล้ว จุดที่น่าสนใจก็คือ “New Normal” หรือความปกติแบบใหม่ ซึ่งในอดีตเคยเป็นเรื่องแปลก แต่เราจะต้องคุ้นเคยกับสภาวะแบบนี้ไปอีกเป็นเวลานาน
___________________________

คำว่า New Normal ถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2008 โดย บิลล์ กรอสส์ นักลงทุนในตราสารหนี้ชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท แปซิฟิก อินเวสท์เม้นท์ แมเนจเม้นท์ หรือพิมโก้

กรอสส์ใช้คำว่า New Normal ในการนิยามสภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะมีอัตราการเติบโตชะลอลงจากในอดีต และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในระดับใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม หลังจากเกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ของโลกเมื่อปี 2008 ที่หลายๆ คนเรียกกันว่า “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์”

อย่างเช่นเศรษฐกิจจีน ก่อนหน้าปี 2007 เคยเติบโตขึ้นไม่น้อยกว่าปีละ 10% แต่หลังจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ อัตราการเติบโตลดเหลือแค่ปีละ 7% จนจากที่มันเคยเป็นวิกฤติ ก็กลายเป็นเรื่องปกติไปในที่สุด

แต่ปัจจุบันคำว่า New Normal หมายถึงชีวิตประจำวันของคนทั่วไปไปแล้ว

อย่างเช่นการที่หน้ากากอนามัยกลายเป็นสิ่งของที่ขาดไม่ได้, การที่คนหันมาสั่งอาหารผ่าน Delivery มากกว่าไปกินที่ร้าน และการที่ผู้คนกำลังจะใช้เวลาอยู่กับบ้านให้มากขึ้นเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม

และแน่นอนว่า New Normal ของวงการฟุตบอล ก็คือการต้องลงเตะในสนามที่ไร้แฟนบอล จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนคุ้นเคยไปในที่สุด อย่างน้อยก็ตลอดทั้งปี 2020 นี้ ซึ่งบางทีอาจต้องกินเวลานานถึง 2 ปี จนกว่าจะมีการผลิตวัคซีนรักษาโควิด-19 ได้เป็นผลสำเร็จ
___________________________

การเล่นแบบปิดสนาม มีให้เห็นมาบ้างแล้วตั้งแต่ช่วงก่อนที่ฟุตบอลจะหยุดแข่ง แต่สิ่งที่แตกต่างจากเดิมของการกลับมาในคราวนี้ คือการที่ผู้คนต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสกันโดยไม่จำเป็นมากที่สุด

ฟุตบอลคือกีฬาที่ต้องใช้ร่างกายปะทะกันอยู่แล้ว อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่เราได้เห็นล่าสุดก็คือการฉลองประตูที่นักเตะพยายามไม่โดนตัวกัน ถ้าจะสัมผัสกันจะไม่ให้โดนส่วนสำคัญอย่างบริเวณฝ่ามือหรือใบหน้าอย่างเด็ดขาด

เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ศูนย์หน้าวันเดอร์คิดของ ดอร์ทมุนด์ เจ้าของประตูแรกของศึกบุนเดสลีกาสัปดาห์ที่ 26 ต้องใช้ท่าดีใจแบบ “บลูทูธ” คือยิงเข้าปุ๊บ ก็ต้องไปหามุมโยกเบาๆ โดยที่เพื่อนที่เข้ามารุมดีใจไม่มีการโดนตัวกันเลย

ที่ยุโรปมีการแซวกันขำๆ ว่า บางทีตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักเตะต้องเพิ่มเซสชั่นซ้อมท่าดีใจแบบใหม่เข้าไปด้วย เพราะการต้องฉลองประตูแบบ Social Distancing คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน

นอกจากนั้นแล้ว นักเตะตัวสำรองของทุกทีม รวมทั้งสื่อมวลชนที่เข้าไปทำข่าว ก็ยังต้องนั่งรักษาระยะห่าง ซึ่งแน่นอนว่าธรรมเนียมรวมตัวขอบคุณกองเชียร์ที่หน้าอัฒจันทร์หลังจบเกม ก็จะตั้งแถววิ่งไปที่สแตนด์โดยไม่มีการสัมผัสมือกัน



แต่ภายในเวลาแค่ 2 เดือนเศษ คงไม่สามารถทำให้คนลืม “สัญชาตญาณ” ได้ง่ายๆ

นักเตะ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ยังคงฉลองประตูแบบสัมผัสกันเหมือนตอนปกติ ในเกมที่บุกถล่ม ฮอฟเฟ่นไฮม์ 3-0 โดยมีการจับภาพได้ว่า เดดริค โบยาต้า จูบใส่เพื่อนร่วมทีมอย่าง มาร์โค กรูยิช เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมฟุตบอลลีกเยอรมันหรือ เดเอฟแอล ยืนยันว่าจะไม่มีบทลงโทษใดๆ กับทีมหญิงชรา เพราะไม่มีกฎตายตัวบังคับไว้ว่าห้ามดีใจด้วยการสัมผัสตัวกัน แต่มันเป็นเพียงการรณรงค์ขอความร่วมมือเท่านั้น

บรูโน่ ลาบบาเดีย กุนซือของ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า ประเด็นเรื่องความปลอดภัยคงไม่ต้องมาห่วงอะไรกันอีก ในเมื่อนักเตะและผู้เกี่ยวข้องทุกคน ผ่านการตรวจเชื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกฟุตบอลทุกลูกมีการฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อเป็นอย่างดี จนอุตส่าห์กลับมาแข่งกันได้แล้วแท้ๆ

“การฉลองประตูคือส่วนหนึ่งของฟุตบอล พวกเราได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมเชื่อว่าสิ่งนี้มันควรทำได้ มันอาจเป็นเรื่องน่าอาย หากคุณไม่ได้รับอนุญาตแม้กระทั่งการฉลอง และฟุตบอลจะยิ่งถูกทำลายไปมากกว่านี้”

จริงอยู่ ที่มันดูจะย้อนแย้งพอสมควร หากคุณปล่อยให้นักเตะเบียดปะทะกันได้ในเกมกีฬา แต่กลับมาเข้มงวดกันในเรื่องหยุมหยิมอย่างการฉลองประตู หรือการยกเลิกธรรมเนียมจับมือกัน

แต่ผมคิดว่าสิ่งที่บุนเดสลีกากำลังทำอยู่ คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่าพวกเขากำลังเป็นตัวอย่างของการเว้นระยะห่างทางสังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่างหาก
___________________________

อีกสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นแล้วทันที คือการใช้กติกาใหม่ที่ ฟีฟ่า และ ไอเอฟเอบี เพิ่งเปิดไฟเขียว นั่นคือการอนุญาตให้เปลี่ยนตัวนักเตะระหว่างเกมได้ถึง 5 คน โดยหยุดเกมได้ไม่เกิน 3 ครั้ง ไม่นับรวมช่วงพักครึ่ง

เกมที่ ไอน์ทรัคท์ แฟร้งเฟิร์ต แพ้ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค คาบ้าน 1-3 ซึ่งเล่นกันเป็นคู่ดึกสุดคืนวันเสาร์ ทั้งสองทีมต่างใช้โควตาเปลี่ยนตัวเต็มแม็กซ์
โดย แฟร้งค์เฟิร์ต เปลี่ยนตัวนักเตะในช่วงพักครึ่ง 1 คน ก่อนใช้อีก 4 โควตาที่เหลือด้วยการหยุดเกม 3 ครั้งพอดีในครึ่งหลัง

ด้วยความที่มันเป็นเกมแรกหลังจากหยุดการแข่งขันไปนาน ทำให้หลายทีมต้องเปลี่ยนตัวเพื่อเซฟสภาพความฟิตของนักเตะ ซึ่งจาก 12 ทีมที่ลงเตะกันในวันเสาร์ มีเพียง 2 ทีมเท่านั้นที่ใช้โควตาเปลี่ยนตัวแค่ 3 คนเหมือนเดิม คือ โวล์ฟสบวร์ก กับ แอร์เบ ไลป์ซิก

หลังจากผ่านสัปดาห์นี้ไป โปรแกรมบุนเดสลีกาจะเริ่มกลับมาแข่งกันถี่ขึ้น โดยระหว่างวันที่ 22-31 พฤษภาคม แต่ละทีมจะต้องลงเตะเกมลีกกันไม่น้อยกว่าทีมละ 3 นัด ในเวลาห่างกันไม่เกิน 10 วัน
___________________________



สำหรับสิ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป นั่นคือฟอร์มยอดเยี่ยมต่อเนื่องของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ชัยชนะเหนือคู่ปรับร่วมแคว้นรูห์รอย่าง ชาลเก้ 04 ถึง 4-0 ทำให้ทีมของ ลูเซียง ฟาฟร์ เก็บชัยชนะในลีกมา 5 นัดติดต่อกัน โดยยังไม่รู้จักกับคำว่าแพ้คาบ้านในฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะลงเล่นรายการไหนก็ตาม

ถึงแม้ จาดอน ซานโช่ จะมีสภาพฟิตไม่เต็มร้อย แถมต้องอดใช้งานกำลังหลักอย่าง มาร์โค รอยส์, อักเซล วิตเซล, เอ็มเร่ ชาน และ นิโก้ ชูลซ์ ที่มีอาการบาดเจ็บ ขณะที่เจ้าหนู โจวานนี่ เรย์น่า ที่ตอนแรกมีชื่อออกสตาร์ท แต่เกิดโชคร้ายเดี้ยงกะทันหันระหว่างวอร์มอัพ แต่นั่นไม่ทำให้คุณภาพเกมของทีมเสือเหลืองลดน้อยลง

เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ยังคงเป็นเครื่องจักรปีศาจถล่มประตู โดยยิงครบ 10 ลูกในบุนเดสลีกาไปเรียบร้อยแล้ว จากการลงสนามแค่ 9 นัด ซึ่งหากนับผลงานตั้งแต่ตอนเล่นกับ เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก เขาซัดรวมทุกถ้วยถึง 41 ประตู จากการลงเล่นเพียง 34 เกม

ยูเลี่ยน บรันด์ท โดดเด่นสุดๆ ในแดนกลางด้วยการทำ 2 แอสซิสต์คุณภาพ ขณะที่ประสิทธิภาพจากวิงแบ็ก 2 ฝั่งอย่าง อัชราฟ ฮาคิมี่ และ ราฟาเอล เกร์เรยโร่ บอกได้เลยว่า “โคตะระสุด”

ถ้าหากสัปดาห์หน้า ดอร์ทมุนด์ ยังรักษาฟอร์มเก่งบุกไปชนะ โวล์ฟสบวร์ก ได้ต่อเนื่องถึงถิ่น บอกเลยว่าศึก “แดร์ คลาสสิเกอร์” ที่จะเปิดบ้านพบ บาเยิร์น มิวนิค ในคืนวันอังคารที่ 26 พฤษภาคมนี้ ต้องทวีความเข้มข้นขึ้นหลายเท่าแน่
___________________________

แม้การดูฟุตบอลแบบที่ไม่มีเสียงเชียร์ จะทำให้เราไม่ได้บรรยากาศที่สมบูรณ์แบบ แต่เชื่อว่าต่อจากนี้ทุกลีกจะดำเนินตาม “โร้ดแม็ป” ของบุนเดสลีกา ในฐานะตัวอย่างฟุตบอลรายการระดับโลก ที่กลับมาแข่งได้ก่อนชาติอื่นๆ

ทุกประเทศจะต้องศึกษาวิธีการจัดการการแพร่ระบาดของรัฐบาลเยอรมนี และเรียนรู้มาตรการทุกๆ อย่างในการทำให้เกมการแข่งขันปลอดภัย ว่าพวกเขาทำอย่างไรกันบ้าง

ในสถานการณ์ที่ผู้คนยังต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตแบบใหม่ และบางคนยังหาความมั่นคงไม่ได้กับ New Normal เช่นนี้…

การได้เห็นฟุตบอลกลับมาเตะให้เราดูกันอีกครั้ง ก็ถือเป็นอะไรที่ทำให้เรามีความสุขแล้ว
___________________________

ติดตามบทความฟุตบอลดีๆ โดยไม่แบ่งแยกทีมเชียร์ได้ที่เพจ "เสียบสามเหลี่ยม" facebook.com/seabsamliam
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่