JJNY : พฤษภา35ห่วงหลังโควิดขัดแย้งหนัก/จิรายุบี้รมต.ช่วยผู้ประกันตน/ดราม่าหนัก#เรียนออนไลน์/ซูเปอร์โพล แรงหนุนรบ.ลดฮวบ

ครบรอบ 28 ปี พฤษภา35 ภาคปชช.แนะรัฐใช้เป็นบทเรียน ห่วงหลังโควิดขัดแย้งหนักกว่าเดิม

 
 
ครบรอบ 28 ปี พฤษภา35 ภาคปชช.แนะรัฐใช้เป็นบทเรียน ห่วงหลังโควิด-19 ขัดแย้งหนักกว่าเดิม
 
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม เวลาประมาณ 13.00 น. ที่ห้องประชุม14 ตุลา มูลนิธิ 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กรุงเทพ มีการจัดแถลงข้อเสนอภาคประชาชนต่อรัฐบาลในสถานการณ์วิดฤตโควิดระบาดเนื่องในโอกาสครบรอบ 28 ปี พฤษภาประชาธรรม
 
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า สังคมไทยผ่านการเสียสละของวีรชนพฤษภา 35 มานานถึง 28 ปี แต่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง การทุจริต คอรัปชั่นเชิงนโยบายยังคงวนเวียนอยู่ วันนี้ตนมองไม่เห็นอนาคตของการออกจากความขัดแย้งจากการนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ยุคคสช.5 ปีจนมีการเลือกตั้ง ปัญหาต่างๆ ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ภาพใหญ่ในวิกฤตโรคระบาดได้เห็นขยะที่ซุกใต้พรม  แนวทางการแก้ปัญหายังไม่เป็นรูปธรรม ทั้งการแก้ความขัดแย้ง การแก้รัฐธรรมนูญอย่างมีเอกภาพ เชื่อว่าหลังโควิดทุเลาจะมีความขัดแย้งมากขึ้นอีก และอาจเกิดความรุนแรงได้ หากรัฐไม่มีกลไกการดูแลจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
 
“การใช้อำนาจกดทับสิทธิ เสรีภาพพลเมือง ข้ามเส้นกว่าการจัดการปัญหาโควิดระบาด ซึ่งจริงๆแล้วสามารถใช้อำนาจตามพรบ.โรคติดต่อได้ ในขณะที่การดำเนินการใดๆ ใต้พรก.ฉุกเฉิน ไม่ต้องรับผิด ขอให้รัฐบาลใช้บทเรียนจาก 28 ปีของเหตุการณ์พฤษภา 35 เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้ตระหนักว่าจะไม่กลับสู่ความขัดแย้งถึงขึ้นนองเลือด นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูงมาก และยังไม่เห็นมาตรการการป้องกันการผูกขาดของกลุ่มทุน วันนี้ต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แจกเงินอย่างเดียว ขอให้ดูแลประชาชนคนชั้นล่างมากกว่าอุ้มกลุ่มทุน” นายเมธากล่าว
 
นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวว่า ในช่วงเหตุการณ์พฤษภา 2535 ข้อเสนอของภาคประชาชนไม่ต่างจากเวลานี้ คือเสนอให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น 28 ปีผ่านไปไม่มีอะไรเปลี่ยนในภาคประชาชน แต่ต้องยอมรับว่ามีการแตกขั้ว แตกคอกัน ในขณะที่ชนชั้นปกครองอยู่อย่างสบายมากขึ้น
 
“ภาคประชาชนไม่มีใครผิดหรือถูก ทุกคนล้วนอยากเห็นความเป็นธรรม ซึ่งก็จะต้องต่อสู้กันต่อไป โดยเป้าหมายคือ ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก สำหรับในช่วงเวลานี้ เราต้องสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น คือเชื้อไวรัสโควิดซึ่งใช้รถถังสู้ไม่ได้ ภาพรวมสถานการณ์แรงงานไทยในช่วง 35 ปีที่เคยทำงานด้านนี้มา วันนี้หนักสุด  ก่อนหน้าโควิดระบาด ระบบการจ้างงานก็มีการปรับตัวพอสมควร มีการลดจำนวนคนงานลง เอไอเข้ามาแทนที่ คนส่วนหนึ่งก็ออกจากงานไปแล้ว แรงงานนอกระบบเพิ่มมากขึ้น เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด นายจ้างหลายแห่งปิดกิจการซึ่งไม่รู้ว่าชั่วคราวหรือถาวร น่าเป็นห่วงว่านักศึกษาจบใหม่จะไม่มีแหล่งงานรองรับ ความไร้ระเบียบในสังคมจะเกิด” นายสาวิทย์กล่าว
 

 
‘จิรายุ’ บี้รัฐมนตรีแรงงานช่วยผู้ประกันตน ขู่บุกทำเนียบเรียกร้อง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2189533
 
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และประธานกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระองค์กร อัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน กล่าวถึงปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐที่มีสมาชิกพรรค ส.ส.จำนวนมากเปลี่ยน ตำแหน่งสำคัญในพรรคนั้น ว่า ตนถือเป็นเรื่องภายในของพรรคพลังประชารัฐ ตนไม่ขอเกี่ยวแต่ควรพึงระลึกเสมอว่าเป็นเงินภาษีของประชาชนไม่ใช่เงินส่วนตัวของใครหากนำไปใช้ไม่ถูกต้อง
 
ทั้งนี้เรื่องภายในพรรคพลังประชารัฐไม่มีใครอยากยุ่ง แต่มี ส.ส.ในพรรคส่งข้อมูลมาให้ฝ่ายค้าน ว่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เรียกส.ส.ภายในพรรคไปคุยเพื่อให้อยู่ในโอวาท โดยมีโครงการที่ใช้เงินกองทุนพลังงานหลักสิบล้านบวกๆต่อรายโดยให้ไปทำโครงการมาและนำไปลงพื้นที่ หากเป็นจริงตนในฐานะประธานกรรมาธิการตรวจสอบกองทุนฯจะทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของกองทุนพลังงานที่ประชาชนโดนเรียกเก็บจากการซื้อพลังงานทุกประเภทเป็นเงินหลายล้านๆบาท ซึ่งตนฝากไปยังบอร์ด 20 คน ต้องรับผิดชอบหากมีการซิกแซก โดยเฉพาะเลขาธิการกองทุนฯ หากทำเป็นมองไม่เห็นและปล่อยผ่านรับรองได้เลยประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาและฝ่ายค้านจะตรวจสอบอย่างเข้มข้น ซึ่งสัปดาห์นี้ตนจะทำการตรวจสอบ กองทุนพลังงานครั้งใหญ่ จะเรียกเอกสารสถานะเงินกองทุนและ การนำไปใช้จ่ายต่างๆ ในรอบหลายปีมาตรวจสอบหากพบสิ่งผิดปกติรับรองฝ่ายค้านกัดไม่ปล่อยแน่
 
นายจิรายุ กล่าวว่ากรณีการที่ หม่อมราชวงค์จัตุมงคล โสณกุล  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาบอกว่าจะเพิ่มเงินว่างงานให้กับผู้ประกันตนในสถานการณ์โควิด-19 จากร้อยละ 62 ให้เป็นร้อยละ 75 นั้น ตนเห็นว่าการคืนเงินบางส่วนที่เป็นของลูกจ้างควรคืนอย่างน้อยร้อยละ 80 ของค่าจ้างเป็นระยะเวลา 3 เดือน และเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพราะความเดือดร้อนของประชาชนมีทุกวินาที  ซึ่งวันอังคารนี้หากรัฐมนตรียังไม่เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกันตน ตนจะเป็นแกนนำไปเรียกร้องเงินประกันสังคมให้ผู้ประกันตนถึงทำเนียบรัฐบาลแน่นอน
 
นายจิรายุ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือถึงเลขาฯกองทุนประกันสังคมให้ชี้แจงถึงสถานการณ์การเงินและการนำเงินไปลงทุนที่ประชาชนควรทราบ  โดยกองทุนชี้แจ้ง ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 63 ว่า ที่ใช้ได้ตอนนี้เพียงแค่ประมาณ 16,000 ล้านบาทเท่านั้น ส่วน 2.2ล้านล้านบาทนั้นถูกนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและอื่นๆร้อยละ 82 หรือประมาณ 1.67 ล้านล้านบาท ส่วนอีก 18% ไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆที่มีความเสี่ยง อาทิ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำประมาณ  80,000 ล้านบาททั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทำให้เห็นว่าวันนี้รัฐมนตรีแรงงานต้องตัดสินใจในฐานะผู้นำสูงสุดเพื่อผู้ประกันตนที่กำลังเดือดร้อนสูงสุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่