สิทธัตถะพบเทวทูตทั้ง 4 ก่อนออกผนวช เจอศพคนตาย พ่อแม่นั่งร้องไห้ฟูมฟาย บอกไม่มีเงินให้พราหมณ์มาทำพิธี ท่านถึงกับร้องไห้ว่าทำไมต้องเสียเงินเสียทองให้แก่พราหมณ์ เผาเองหรือฝังก็ได้ ท่านปฏิเสธในจารีตประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ท่ี่ต้องมาเสียเงินเสียทองให้แก่พราหมณ์ ท่านว่าหลอกลวง ลวงโลก งมงาย แล้วพอท่านมาตรัสรู้ ท่านจะมาตระบัดสัตย์ มากลับคำพูด สร้างมนต์คาถาให้สาวกทำมาหากิน ร่ำรวยกันมากมาย ทุกวันนี้ได้อย่างไร ? งานบวช งานแต่ง งานศพ ทำบุญบ้าน เจิมรถ เสริมชะตา ถวายพระราหู แก้ปีชง ผูกชะตา ดูดวง แก้กรรม ฯลฯ มันจะแตกต่างกับพราหมณ์ตรงไหน?
ลาภ เงินทองรับกันทุกวัน ตู้รับบริจาคเพียบ สุดแต่จะพรรณณา สรรหาคำมาแปะรอบวัดรอบตู้
ยศ พระเดชพระคุณ สมเด็จ หลวงพ่อหลวงปู่ สมณะศักดิ์ พัดยศ มีเงินเดือน แก่งแย่งช่วงชิงตำแหน่ง ไม่ต่างจากทางโลก
สรรเสริญ ลูกศิษย์ลูกหามีเป็นพัน หมื่น แสน ยกย่องชื่นชนในหลวงพ่อหลวงปู่ของตนเอง
สุข ตำหนักสวย กุฏิสวย ติดแอร์ อลังการงานสร้าง บางวัดเหมือนหมู่บ้านจัดสรรคนรวย ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ ตลกโปกฮา แสวงบุญต่างประเทศบ่อย บางสำนักเหมาเครื่องยกลำ เงินทองไหลมาเทมา ร่ำรวยกันถ้วนหน้า
กินข้าวเขาแล้วมานอนขี้ ทำความดีคุ้มค่าข้าวเขาหรือยัง?
ท่านมีแต่คำสอนคำอธิบาย ไม่รู้ว่ามีใครมาใส่เติมเสริมแต่งจนมากมาย สัจจะจึงไปอยู่ตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อย ใครไม่คัดไม่กรอง ปฏิบัติไปก็ตายหมู่ นิพพานมันต้องเข้าสภาวะเอกกัคคตา นั่นมันคือ สมถะเห็นๆ แต่กลับเป็นการกดข่ม หินทับหญ้าไป ก็หลงคิด ติดคิด จิตจึงปล่อยวาง จิตว่างไม่ได้ วิปัสสนาคือการทำความเข้าใจ ถึงเหตุถึงผล ให้จิตเข้าใจไขข้อปัญหาต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัย แล้วปล่อยวางได้ จึงจะเป็นปัญญา
พระศาสดาทรงเปรียบภูมิปัญญาคนเราไว้ 4 ระดับ เปรียบเป็นดอกบัว 4 เหล่า 1.ดอกบัวพึ่งผุด 2.ดอกบัวกลางน้ำ 3.ดอกบัวปริ่มน้ำ 4.ดอกบัวพ้นน้ำ ดอกบัวคือ ผู้ปรารถนาความจริง ความถูกต้อง ความชอบธรรม ความสมบูรณ์ นั่นคือพระสัจจธรรม (นิพพาน) 1-2 เป็นดอกบัวใต้น้ำ มืดบอด รับแสงแห่งธรรมได้น้อยมาก สอนยาก ชอบทำบุญแบบมักง่าย มีโอกาสเป็นเหยื่อของเต่าปลา เชื่อคนง่าย สับสน ไขว้เขว แยกแยะคัดกรองไตร่ตรองไม่เป็น ศึกษาศาสนาแบบเปลือกกะพี้ ใช้เงินทำบุญความดีเป็นหลัก หลอกง่าย จึงถูกยืมมือยืมปากจากพวกคนชั่ว (เต่าปลา) เอาศาสนามาทำมาหากิน ดอกบัวเหล่าที่ 1-2 นี้ ต้องอ่าน ทำความเข้าใจ (สัมมาทิฐิ) ในกาลามสูตรให้มากๆ จนสามารถออกนอกกรอบ ที่ถูกเขายัดเยียดใส่หัว ในบรรพบุรุษหลายพันปี มีอิสระเสียที มิเสียทีที่เกิดมา ทยานสู่ดอกบัวเหล่าที่ 3 - 4 ได้ 3 - 4 เป็นดอกบัวพ้นน้ำ เป็นพวกปัจเจกชน มีอิสระทางความคิด เป็นตัวของตัวเองสูง รู้จักแยกแยะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ฟังหูไว้หู ไม่หูเบา จนกว่าจะได้ทดสอบ พิสูจน์ ดอกบัว 2 เหล่านี้ สอนง่าย มีปัญญามาบ้างแล้ว แค่เอาสักยะทิฏฐิออก ก็จะสามารถปรับจูน รับคลื่นแห่งธรรม ฝึกฝนอดทน ทวนกระแสอารมณ์ บ่มจิตจนบรรลุนิพพานได้
เพราะ ป.ธ.9 ประโยค มีแต่ความจำ แสวงหาโลกธรรม พระสัจจธรรมจึงไม่มี ห่วงสอนไม่ห่วงปฏิบัติ กลัวจะขาดทุนเพราะเสียเวลา แบกตำรามาหลายปี จะวางลงง่ายๆก็จะเสียเชิงไป ผู้รู้จำจึงมีมาก ผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีน้อย ของจริงจึงกลายเป็นของเท็จ ของเท็จจึงกลายเป็นของจริง เพราะตำนานมีมาเกือบ 3 พันปี พุทธศาสนาปัจจุบันนี้ อินเดียมีเหลือไม่ถึง 10%
พระศาสดาสอนใครได้บ้าง ที่ไม่ใช่บัวพ้นน้ำ ผู้ยอมละอัตตา มุ่งมาดปรารถนาพระนิพพาน ลำบากทุกเข็ญจนแทบชีวาวาย ยุคนี้ไม่มี ที่จะยอมพลีจนตัวตาย มั่วทุกข์ อัดสุข สนุกสะดวกสบาย ในแบบสไตล์ พระคุณเจ้าหรืออาจารย์
1.ตอนบรรลุนิพพานแล้ว สอนนางสุชาดาและบริวารก็ไม่ได้
2.ระหวางทางที่ออกตามหาโกณทัญญะ ยุคนั้นป่าดงดิบ สัตว์ร้ายก็มากมาย บ้านเมืองก็วุ่นวาย ล่าอาณานิคม อินเดียก็ใหญ่โต ประชากรเกือบพันล้าน ใช้เวลาเดินกี่เดือนกี่ปี กว่าที่จะพบเจออาจารย์โกณฑัญญะ ได้พบนักพรต พราหมณ์ ฤาษีชีไพร ก็มากมาย ก็ไม่เห็นสอนใครให้เข้าใจได้ แถมยังถูกด่าว่าเป็นคนเนรคุณ เป็นศิษย์ไม่มีครูได้อย่างไร? (ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง)
3.ตอนเข้าวังไปโต้วาทีกับพราหมณ์สนทัญ พราหมณ์กี่พันหมื่นแสนที่มาฟังก็ได้ สนทัญคนเดียว ที่เข้าใจยอมรับ ยอมเป็นศิษย์ ส่วนคนอื่น อยากจะตัดคอเสียบประจาน เพราะคำสอนไปขัดผลประโยชน์เขา การเส้นไหว้ การสวดอ้อนวอน บวงสรวง (ตรัส) ทำไมต้องเสียเงินเสียทองให้แก่พราหมณ์ทำพิธีกรรมต่างๆ
4.พระเจ้าอชาตศัตรูกับพราหมณ์คิดกำจัดพระศาสดา จึงตั้งสำนักใหม่ที่สวยงามให้พระเทวทัต ไปหลอกล่อเอาสาวกของพระศาสดาออกไปได้ ครึ่งกว่าสำนัก พระโมคคัลานะ พระสารีบุตร ต้องยอมแฝงกายเข้าสำนักพระเทวทัต หว่านล้อมเกลี้ยกล่อมอยู่หลายเดือนกว่าจะเอากลับมาได้
นิพพานเป็นอะไรที่บอกยากสอนยากจริงๆ ถ้าไม่ใช่ดอกบัวพ้นน้ำที่ยอมตายถวายชีวิตจริงๆ ก็ไม่มีใครเข้าใจทวนกระแสได้ มีมนุษย์น้อยนักที่ข้ามพ้นห้วงน้ำนี้ได้ นอกนั้นวิ่งเลาะตามฝั่งในนี้เอง ?
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่อยากเป็นขี้ข้า ประกาศเป็นอิสระทาสเสียที พญามารมันอยู่ในจิต ไม่ลิขิตมันก็จะไม่มีตัวตน (อนัตตา)
ศาสนาพุทธหรือศาสนาพราหมณ์ ช่างคล้ายกันจริงๆ ?
ลาภ เงินทองรับกันทุกวัน ตู้รับบริจาคเพียบ สุดแต่จะพรรณณา สรรหาคำมาแปะรอบวัดรอบตู้
ยศ พระเดชพระคุณ สมเด็จ หลวงพ่อหลวงปู่ สมณะศักดิ์ พัดยศ มีเงินเดือน แก่งแย่งช่วงชิงตำแหน่ง ไม่ต่างจากทางโลก
สรรเสริญ ลูกศิษย์ลูกหามีเป็นพัน หมื่น แสน ยกย่องชื่นชนในหลวงพ่อหลวงปู่ของตนเอง
สุข ตำหนักสวย กุฏิสวย ติดแอร์ อลังการงานสร้าง บางวัดเหมือนหมู่บ้านจัดสรรคนรวย ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ ตลกโปกฮา แสวงบุญต่างประเทศบ่อย บางสำนักเหมาเครื่องยกลำ เงินทองไหลมาเทมา ร่ำรวยกันถ้วนหน้า
กินข้าวเขาแล้วมานอนขี้ ทำความดีคุ้มค่าข้าวเขาหรือยัง?
ท่านมีแต่คำสอนคำอธิบาย ไม่รู้ว่ามีใครมาใส่เติมเสริมแต่งจนมากมาย สัจจะจึงไปอยู่ตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อย ใครไม่คัดไม่กรอง ปฏิบัติไปก็ตายหมู่ นิพพานมันต้องเข้าสภาวะเอกกัคคตา นั่นมันคือ สมถะเห็นๆ แต่กลับเป็นการกดข่ม หินทับหญ้าไป ก็หลงคิด ติดคิด จิตจึงปล่อยวาง จิตว่างไม่ได้ วิปัสสนาคือการทำความเข้าใจ ถึงเหตุถึงผล ให้จิตเข้าใจไขข้อปัญหาต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัย แล้วปล่อยวางได้ จึงจะเป็นปัญญา
พระศาสดาทรงเปรียบภูมิปัญญาคนเราไว้ 4 ระดับ เปรียบเป็นดอกบัว 4 เหล่า 1.ดอกบัวพึ่งผุด 2.ดอกบัวกลางน้ำ 3.ดอกบัวปริ่มน้ำ 4.ดอกบัวพ้นน้ำ ดอกบัวคือ ผู้ปรารถนาความจริง ความถูกต้อง ความชอบธรรม ความสมบูรณ์ นั่นคือพระสัจจธรรม (นิพพาน) 1-2 เป็นดอกบัวใต้น้ำ มืดบอด รับแสงแห่งธรรมได้น้อยมาก สอนยาก ชอบทำบุญแบบมักง่าย มีโอกาสเป็นเหยื่อของเต่าปลา เชื่อคนง่าย สับสน ไขว้เขว แยกแยะคัดกรองไตร่ตรองไม่เป็น ศึกษาศาสนาแบบเปลือกกะพี้ ใช้เงินทำบุญความดีเป็นหลัก หลอกง่าย จึงถูกยืมมือยืมปากจากพวกคนชั่ว (เต่าปลา) เอาศาสนามาทำมาหากิน ดอกบัวเหล่าที่ 1-2 นี้ ต้องอ่าน ทำความเข้าใจ (สัมมาทิฐิ) ในกาลามสูตรให้มากๆ จนสามารถออกนอกกรอบ ที่ถูกเขายัดเยียดใส่หัว ในบรรพบุรุษหลายพันปี มีอิสระเสียที มิเสียทีที่เกิดมา ทยานสู่ดอกบัวเหล่าที่ 3 - 4 ได้ 3 - 4 เป็นดอกบัวพ้นน้ำ เป็นพวกปัจเจกชน มีอิสระทางความคิด เป็นตัวของตัวเองสูง รู้จักแยกแยะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ฟังหูไว้หู ไม่หูเบา จนกว่าจะได้ทดสอบ พิสูจน์ ดอกบัว 2 เหล่านี้ สอนง่าย มีปัญญามาบ้างแล้ว แค่เอาสักยะทิฏฐิออก ก็จะสามารถปรับจูน รับคลื่นแห่งธรรม ฝึกฝนอดทน ทวนกระแสอารมณ์ บ่มจิตจนบรรลุนิพพานได้
เพราะ ป.ธ.9 ประโยค มีแต่ความจำ แสวงหาโลกธรรม พระสัจจธรรมจึงไม่มี ห่วงสอนไม่ห่วงปฏิบัติ กลัวจะขาดทุนเพราะเสียเวลา แบกตำรามาหลายปี จะวางลงง่ายๆก็จะเสียเชิงไป ผู้รู้จำจึงมีมาก ผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีน้อย ของจริงจึงกลายเป็นของเท็จ ของเท็จจึงกลายเป็นของจริง เพราะตำนานมีมาเกือบ 3 พันปี พุทธศาสนาปัจจุบันนี้ อินเดียมีเหลือไม่ถึง 10%
พระศาสดาสอนใครได้บ้าง ที่ไม่ใช่บัวพ้นน้ำ ผู้ยอมละอัตตา มุ่งมาดปรารถนาพระนิพพาน ลำบากทุกเข็ญจนแทบชีวาวาย ยุคนี้ไม่มี ที่จะยอมพลีจนตัวตาย มั่วทุกข์ อัดสุข สนุกสะดวกสบาย ในแบบสไตล์ พระคุณเจ้าหรืออาจารย์
1.ตอนบรรลุนิพพานแล้ว สอนนางสุชาดาและบริวารก็ไม่ได้
2.ระหวางทางที่ออกตามหาโกณทัญญะ ยุคนั้นป่าดงดิบ สัตว์ร้ายก็มากมาย บ้านเมืองก็วุ่นวาย ล่าอาณานิคม อินเดียก็ใหญ่โต ประชากรเกือบพันล้าน ใช้เวลาเดินกี่เดือนกี่ปี กว่าที่จะพบเจออาจารย์โกณฑัญญะ ได้พบนักพรต พราหมณ์ ฤาษีชีไพร ก็มากมาย ก็ไม่เห็นสอนใครให้เข้าใจได้ แถมยังถูกด่าว่าเป็นคนเนรคุณ เป็นศิษย์ไม่มีครูได้อย่างไร? (ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง)
3.ตอนเข้าวังไปโต้วาทีกับพราหมณ์สนทัญ พราหมณ์กี่พันหมื่นแสนที่มาฟังก็ได้ สนทัญคนเดียว ที่เข้าใจยอมรับ ยอมเป็นศิษย์ ส่วนคนอื่น อยากจะตัดคอเสียบประจาน เพราะคำสอนไปขัดผลประโยชน์เขา การเส้นไหว้ การสวดอ้อนวอน บวงสรวง (ตรัส) ทำไมต้องเสียเงินเสียทองให้แก่พราหมณ์ทำพิธีกรรมต่างๆ
4.พระเจ้าอชาตศัตรูกับพราหมณ์คิดกำจัดพระศาสดา จึงตั้งสำนักใหม่ที่สวยงามให้พระเทวทัต ไปหลอกล่อเอาสาวกของพระศาสดาออกไปได้ ครึ่งกว่าสำนัก พระโมคคัลานะ พระสารีบุตร ต้องยอมแฝงกายเข้าสำนักพระเทวทัต หว่านล้อมเกลี้ยกล่อมอยู่หลายเดือนกว่าจะเอากลับมาได้
นิพพานเป็นอะไรที่บอกยากสอนยากจริงๆ ถ้าไม่ใช่ดอกบัวพ้นน้ำที่ยอมตายถวายชีวิตจริงๆ ก็ไม่มีใครเข้าใจทวนกระแสได้ มีมนุษย์น้อยนักที่ข้ามพ้นห้วงน้ำนี้ได้ นอกนั้นวิ่งเลาะตามฝั่งในนี้เอง ?
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่อยากเป็นขี้ข้า ประกาศเป็นอิสระทาสเสียที พญามารมันอยู่ในจิต ไม่ลิขิตมันก็จะไม่มีตัวตน (อนัตตา)