เมื่อกรุงแตกครั้งที่ 2 วัดทุกวัดในสมัยนั้นโดนทำลายไปหมดจริงหรือ????

ผมเกิดสงสัยคับว่า นอกจากพระราชวังอยุธยาถูกเผาโดยพม่าไปหมดแล้ว ยังมีวัดอีกหลายถูกเผาทำลายไปและวัดร้างที่เราไม่คุ้นเคยนั้นก็ทำลายไปด้วยกันใช่ไหมคับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ตามหลักฐานของพม่าระบุว่ามีการเผาทำลายวัดวาอารามจริง แต่ไม่ทุกวัดครับ  วัดที่ไม่ได้ถูกเผาทำลายและได้รับการบูระปฏิสังขรณ์ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีหลายแห่ง ส่วนใหญ่เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเกาะเมือง เช่น วัดหน้าพระเมรุ วัดพนัญเชิง วัดพุทไธศวรรย์

แต่ทั้งนี้วัดนอกพระนครก็ได้รับความเสียหายอยู่บ้าง เนื่องจากกองทัพพม่าได้รื้ออิฐจากวัดต่างๆ  มาสร้างป้อมขึ้น สอดคล้องกับพงศาวดารพม่าที่ระบุว่ามีการสร้าง “ค่ายเมือง” สำหรับปิดล้อมพระนครถึง ๒๗ แห่ง ค่ายขนาดใหญ่มีกำแพงก่อด้วยอิฐมั่นคง


ในเดือนยี่ พ.ศ. ๒๓๐๙ ประมาณ ๓ เดือนก่อนเสียกรุง เกิดไฟไหม้ใหญ่กลางพระนคร สร้างความเสียหายมากกว่าหมื่นหลังคาเรือนลามไปถึงวัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ และวัดฉัททันต์ ตามที่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาระบุว่า

      "ครั้นถึง ณ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๑๒๘ ปี เพลาดึกเที่ยงคืน เกิดเพลีงในพระนครไหม้ตั้งแต่ท่าทราย ติจลามมาถึ่งตะพานช้าง คลองประตูเข้าเปลือก แล้วข้ามมาติจป่ามพร้าว แลป่าโทน ป่าถ่าน ป่าทอง ป่ายา วัดราชบุณะ วัดพระศรีรัตนมหาทาตุ เพลีงไปหยุดเพียงวัดฉัดทัน คิดกุฎิวิหารแลบ้านเรือนที่เพลีงไหม้ครั้งนั้นมากกว่าหมื่นหลัง"



หลังเสียกรุงที่พม่ายกกลับไปแล้ว  วัดวาอารามยิ่งได้รับความเสียหายหนัก เนื่องจากมีคนไทยและจีนขุดหาเงินทองตามเจดีย์และทำลายพระพุทธรูป หรือแม้แต่เผาทำลายวัดไปทั่วตัวเมืองอยุทธยา ซึ่งความเสียหายน่าจะจริงรุนแรงกว่าเดิมเสียอีก  ดังที่หลักฐานชั้นต้นของบาทหลวงฝรั่งเศส คือจดหมายมองซิเออร์คอร์ ถึงมองซิเออร์มาธอน ลงวันที่ ๘ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๗๖๙ (พ.ศ. ๒๓๑๒) รายงานว่า

        “ฝ่ายพวกจีนและพวกไทยเห็นว่าการหาเลี้ยงชีพเปนการฝืดเคือง จึงได้หันเข้าหาวัด โดยมาก เพราะพวกไทยด้วยความเชื่อถืออะไรของเขาอย่าง ๑ ได้เอาเงินและทองบัญจุไว้ในองค์พระพุทธรูปเปนอันมาก เงินทอง เหล่านี้บัญจุไว้ในพระเศียรก็มี ในพระอุระก็มี ในพระบาทก็มี และตามพระเจดีย์ต่าง ๆ ได้บัญจุไว้มากกว่าที่อื่น ท่านคงจะคาดไม่ถูก เปนแน่ว่าพวกไทยได้เอาทองเที่ยวซุกซ่อนไว้เปนจำนวนมากมาย สักเท่าไร ฝ่ายพวกเข้ารีดไปถือเสียว่าถ้าตัวได้ทำความดีในชาตินี้ เท่าไรก็คงได้รับความดีคืนตั้งร้อยเท่า จึงไม่ได้คาดการล่วงหน้า เหมือนอย่างไทย ในพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้นมีคนพบเงินถึง ๕ ไหและทอง ๓ ไห ผู้ใดทำลายพระพุทธรูปลงแล้วไม่ได้เหนื่อยเปล่าจนคนเดียว เพราะฉนั้นโดยเหตุที่พวกจีนมีความหมั่นเพียร และเปนคนชอบเงินมาก ประเทศสยามยังคงบริบูรณ์อยู่เท่ากับเวลาก่อนพม่ายกเข้ามาตีกรุง ทองคำเปนสิ่งที่หาง่ายจนถึงกับหยิบ กันเล่นเปนกำ ๆ ราคาทองคำซื้อขายกันราคา ๘ การัต พระเจดีย์ เปนเหมือนเตา สำหรับหล่อพระพุทธรูปด้วยทองเหลืองและทองแดง ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยถ่านและเศษทองแดง และตามทางเดิร ดำยิ่งกว่าปล่องไฟเสียอีก พระราชธานีของเมืองไทย ตลอดทั้ง วัดวาอารามและบ้านของเรากับค่ายปอตุเกตเหมือนกับเปนสนามอันใหญ่ที่มีคนขุดคุ้ยพรุนไปทั้งนั้น”


หรือ  จดหมายมองซิเออร์คอร์ส่งถึงมองซิเออร์เลอฟิศกาลเดอมาลากา ลงวันที่ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๗๖๙ (พ.ศ. ๒๓๑๒) รายงานว่า

       “พวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต้องรับความเดือดร้อนต้องล้มตายวันละมาก ๆ เพราะอาหารการกินอัตคัดกันดารอย่างที่สุด ในปีนี้ได้มีคนตายมีจำนวนมากกว่าเมื่อครั้งพม่าเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เหตุที่คนตายมากนักนั้นก็คือ เพราะเงินทองที่บัญจุไว้ตามพระเจดีย์หมดเสียแล้ว เมื่อปีก่อนและในปีนี้ พวกจีนและไทยไม่ได้หากินอย่างอื่น นอกจากเที่ยวทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์ พวกจีนได้ทำให้เงินทองในเมืองไทยไหลไปเทมา และการที่ประเทศสยามกลับตั้งตัว ได้เร็วเช่นนี้ก็เพราะความหมั่นเพียรของพวกจีน ถ้าพวกจีนไม่ใช่เปน คนมักได้แล้ว ในเมืองไทยทุกวันนี้ก็คงไม่มีเงินใช้เปนแน่ เพราะพวกพม่าได้ขนไปจนหมดสิ้น เพราะฉนั้นการที่ได้มีการค้าขายกัน ในทุกวันนี้ ก็เปนเพราะพวกจีนได้ไปเที่ยวขุดเงินทองที่ฝังไว้ตามดิน และบัญจุไว้ตามพระเจดีย์นั่นเอง เมื่อพวกจีนได้ทำลายวัดภูไทย (Vat Phu Thia) ซึ่งเปนวัดใหญ่อยู่ใกล้กับโรงเรียนสามเณรนั้น ข้าพเจ้าได้กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ในวัดนี้เมื่อทำลายลงแล้ว พวกจีนได้พบทองเปนอันมากพอบันทุกเรือยาวได้ถึงสามลำ ในวัดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงผนวชเรียกวัดประดู่ (Vat Padu) วัดเดียวเท่านั้นได้ พบเงินถึง ๕ ไห และวัดอื่น ๆ ก็มีเงินทุกวัดมากบ้างน้อยบ้าง พวกจีนเท่ากับทำสงครามกับพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองแดง เครื่องมือของจีนที่ทำลายพระพุทธรูปนั้น ก็คือบานหน้าต่างบานประตูและเสาโบสถ์ วัดต่างต่างเวลานี้เปรียบก็เท่ากับเตาไฟ ฝาผนังก็ดำหมด และตามลานวัดก็เต็มไปด้วยถ่าน และพระพุทธรูปหักพังเปนชิ้นเล็กชิ้นน้อย พระเจ้ากรุงสยามองค์ใหม่ได้หาจัดการป้องกันสาสนาไทยตามที่ควรทำไม่เพราะเหตุว่าทรงเกรงว่าคนจะเอาใจออกหาก”



จดหมายมองซิเออร์คอร์ ถึงผู้อำนวยการคณะมิสซังต่างประเทศ ลงวันที่ ๗ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๗๗๐ (พ.ศ. ๒๓๑๓) รายงานว่า

        “เมื่อครั้งพม่ามาตีกรุงนั้นได้ทำลายวัดและพระพุทธรูปลงบ้างแต่เล็กน้อยเท่านั้น แต่การดีอันนี้คือ การทำลายวัดและพระพุทธรูปนั้น พวกจีนและพวกไทยได้ทำการต่อพวกพม่าอีก การที่ได้เห็นคนทำลายวัดและพระพุทธรูปเช่นนี้ ทำให้นักพรตของพระเยซูมีความสบาย ใจมากขึ้น เพราะเท่ากับเห็นผู้ที่นับถือเปรตได้ทำลายเปรตซึ่งเปนที่นับถือของตนเอง บรรดาพระพุทธรูปและพระเจดีย์ซึ่งได้ปิดทองกันอย่างงดงาม บัดนี้ก็ได้ทำลายหักพังเปนผงธุลีไปหมดแล้ว ตามวัดวาอารามก็ร้างไปหมด...เวลานี้บรรดาพระเจดีย์และพระพุทธรูปได้ ทำลายลงหมดแล้ว ด้วยพวกจีนทราบได้ดีว่าทองเงินของรูปพรรณ ได้บัญจุไว้ที่แห่งใดบ้าง และพวกจีนก็มิได้เลือกที่เลย ของมีที่ไหน ก็ทำลายสิ่งนั้นลงโดยไม่ละเว้น เมื่อทำลายแห่งนี้ลงแล้ว พวกจีนก็หยุดพอหายใจให้หายเหนื่อยสักหน่อย ก็ไปทำลายสิ่งอื่นหาทรัพย์ต่อไป”


นอกจากนี้ ในช่วงสงครามเสียกรุง มีคนนำทรัพย์สมบัติของตนฝังดินไว้จำนวนมากเพื่อป้องกันจากภัยสงคราม เมื่อพม่ายกทัพกลับไปแล้ว เจ้าทรัพย์ที่ฝังไว้ถูกพม่าจับเป็นเชลยบ้าง ล้มหายตายจากไปบ้าง จำที่ฝังทรัพย์ไม่ได้บ้าง จึงมีทรัพย์ไม่มีเจ้าของจำนวนมาก บ้างมีผู้อื่นมาขุดพบก่อนเจ้าของเดิมบ้าง ในสมัยกรุงธนบุรีจึงกำหนดว่าบรรดาใครจะไปขุดทรัพย์ ให้แจ้งต่อรั้วแขวงอำเภอกำนันผู้รักษาเมืองกรมการกำกับคุมไปให้ขุด ถ้าชี้ว่าที่แห่งใดซึ่งตัวฝังทรัพย์ไว้ ให้ขุดแต่เฉพาะที่นั้น ทรัพย์ที่ขุดได้ก็ต้องแบ่งถวายช่วยราชการแผ่นดิน ส่วนทรัพย์ไม่มีเจ้าของถือว่าเป็นทรัพย์แผ่นดิน ใครขุดได้ต้องแบ่งเป็นภาคหลวง จึงมีผู้ขุดค้นหาทรัพย์สมบัติบริเวณพื้นที่กรุงศรีอยุทธยาจำนวนมาก จนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชนิพนธ์ว่า “กลับเปนช่องเปิดให้พวกที่มีโลภเจตนากล้า ขุดคัดค้นทลายไม่เลือกว่าอไร”



เมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการรื้อทำลายบริเวณกรุงเก่าเพื่อนำอิฐมาสร้างพระนครใหม่ใน พ.ศ. ๒๓๒๖ ดังที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ว่า

       “ในจุลศักราช ๑๑๔๕ ปีเถาะ เบญจศก โปรดให้ตั้งกองสักเลกไพร่หลวงสมกำลังและเลกหัวเมืองทั้งปวง แล้วให้เกณฑ์ทำอิฐขึ้นใหม่บ้าง ให้ไปรื้ออิฐกำแพงเมืองกรุงเก่าลงมาบ้าง ลงมือก่อสร้างพระนครทั้งพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรสถานมงคลในปีนั้น”


ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๒๗ คลองปากลัดกว้างออกจนน้ำเค็มขึ้นมาถึงพระนคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อกำแพงกรุงเก่านำอิฐมาปิดคลองปากลัด

       “ดำรัสให้เกณฑ์ข้าราชการขนมูลดินและอิฐหักถมทำนบกั้นน้ำ และให้เกณฑ์ข้าราชการตามตัวเลข ขึ้นไปรื้อกำแพงกรุงเก่าบรรทุกเรือลงมา สานชะลอมบรรจุอิฐหักถมทำนบจนสูงเสมอฝั่ง และน้ำเค็มไหลขึ้นมาทางคลองปากลัดมิได้ ไหลไปทางแม่น้ำใหญ่ทางอ้อมก็มิสู้เค็มมาถึงพระนคร”


ยังมีความเสียหายครั้งใหญ่อีกคือในช่วงรัฐบาลจอมพล ป. ที่มีการบูรณะพื้นที่ในเกาะเมืองอยุธยา  และหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีกรมศาสนาให้มีการประมูลรื้ออิฐจากวัดร้างในกรุงเก่าไปขาย ทำให้วัดจำนวนมากถูกทำลายจนแทบไม่เหลือครับ


รายละเอียดอ่านได้ที่

การเผาทำลายกรุงศรีอยุทธยา
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/2441538785909577/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่