มนุษย์อวกาศบนผนังถ้ำ Tassili n’Ajjerแห่งแอลจีเรีย
นี่คือภาพเขียนสีบนผนังถ้ำเก่าแก่ปริศนาที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ต่างดาว ที่อยู่ในถ้ำTassili n’Ajjer
Tassili n’Ajjer คือถ้ำหินที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับทะเลทรายซาฮาร่า ในประเทศแอลจีเรีย เป็นหนึ่งในสถานที่ปรากฏภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดแห่งและมีจำนวนมากที่สุดในภูมิภาคอาหรับ โดยครอบคลุมบริเวณถึง 72,000 ตารางกิโลเมตร ผลงานภาพวาดและ ภาพเขียนสีและภาพสลักบนผนังถ้ำมีทั้งหมดกว่า 15,000 ชิ้น
นักวิจัยคาดการณ์ว่าภาพวาดที่ปรากฏเหล่านี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 8,000-10,000 ปี ก่อนคริสตกาล ภาพเหล่านี้แสดงถึงวิถีชีวิตในประจำนวนของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาก่อน และบอกได้ว่าว่าทะเลทรายซาฮาร่านั้นเคยเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ เช่น ยีราฟ นกกระจอกเทศ ฮิปโปโปเตมัส รวมถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำอีกหลายชนิด ต่างจากปัจจุบันที่กลายเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือภาพว่าของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ที่สวมหมวกกันน็อก ถุงมือ และเครื่องแต่งกายที่คลายกับชุดสูท ที่ปรากฏอยู่ตามผนังถ้ำหลายรูป
กลุ่มนักยูเอฟโอวิทยาตั้งสมมติฐานว่า นี่เป็นหลักฐานการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาวในยุคโบราณ เพราะภาพส่วนใหญ่นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ แต่มีหัวที่กลม รวมถึงยังมีสิ่งที่คล้ายหมวกกันน็อกสวมอยู่ขณะที่ทำท่าทางเหมือนกำลังอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจากนอกโลก
หรือความจริงพวกเขาได้คิดค้นหมวกกันน็อคและถุงมือขึ้นมาตั้งแต่ 10,000 ปีก่อนแล้ว มันยังเป็นคำถามที่นักวิจัยยังคงหาคำตอบไม่ได้ ซึ่งน่าเสียดายอย่างมากที่ภาพวาดทั้งหมดในถ้ำแห่งนี้หลงเหลือให้เห็นได้ชัดๆ เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนภาพที่เหลือเสี่อมสภาพไปตามกาลเวลา
สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี 1972 ก่อนกลายเป็นอุทยาแห่งชาติ Tassili n’Ajjer และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของแอลจีเรียมาจนปัจจุบัน
Cr.
https://starsmanman.blogspot.com/2018/06/tassili-najjer.html / By menmen
หินสลักรูปมนุษย์ต่างดาว
หินที่ถูกเรียกว่า ‘Stones of the First Encounter’ หรือ “หินของการเผชิญหน้าครั้งแรก” เป็นหินสลักที่ถูกพบในถ้ำกลางป่าแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมือง Puebla และ Veracruz ของประเทศเม็กซิโก เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2017 ที่คล้ายกับรูปของมนุษย์ต่างดาว
JAC Detector กลุ่มนักล่าสมบัติอ้างว่า พวกเขาได้ออกทางสำรวจนาน 3 เดือนจนกระทั่งพบถ้ำแห่งนี้ตามคำบอกเล่าเกี่ยวกับตำนานของมนุษย์ต่างดาวจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ภายในถ้ำพบรอยแกะสลักบนผนังกำแพงและพื้นเป็นลวดลายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว, ยานยูเอฟโอและมนุษย์
ภายในยังพบแผ่นหินอีกหลายก้อนมีรอยแกะสลักเป็นรูปมนุษย์ต่างดาวที่มีท่าทางเหมือนกำลังพูดคุยกับมนุษย์อยู่ นักสำรวจกลุ่มนี้ยังอ้างว่าพบทองคำจำนวนหนึ่งซ่อนอยู่ด้วย กลุ่มนักสำรวจอ้างว่า บนแผ่นหินที่มีร่องรอยแกะสลักมีข้อความที่แปลว่า “มนุษย์ต่างดาว” และ “สิ่งมีชีวิตมนุษย์” อยู่ และภาพคล้ายกับมนุษย์ต่างดาวที่กำลังควบคุมยานอวกาศอยู่
รวมถึงร่องรอยแกะสลักที่มี่ลักษณะเหมือนมนุษย์ต่างดาวกำลังมอบของให้กับผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ในวัฒนธรรมโบราณที่ถูกคาดว่าเป็นของวัฒนธรรมสเปนโบราณ, ชาวมายัน รวมถึงชาวแอซเท็ก ที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาเมื่อหลายพันปีก่อน
อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้จะไม่มีความหมายอะไร หากสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโกไม่เข้ามาตรวจสอบหลังจากก่อนหน้านี้ทางการไม่ได้แสดงทีท่าสนใจกลับการค้นพบในครั้งนี้เลย โดยกลุ่มนักสำรวจอ้างว่ามันอาจเป็นเพราะการค้นพบในครั้งนี้เป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ขัดต่อข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก
Cr.
https://starsmanman.blogspot.com/2018/01/ufo.html
“ Wandjina”
เมือง คิมเบอร์ลี่ ( Kimberley ) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเป็นพื้นที่ห่างไกลในปี 1939 มีการค้นพบภาพเขียนถ้ำจำนวนมาก ซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกว่า Wandjina
ศิลปะถ้ำอายุ 5,000 ปีจากออสเตรเลียนี้ แสดงให้เห็นถึงสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในนาม Wandjina วิญญาณเมฆและสิ่งมีชีวิตบนท้องฟ้า
ภาพวาดเฉพาะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวพื้นเมือง โดยในประเพณีของชนเผ่าพื้นเมืองสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นของการสร้างและมีพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติหนึ่งในนั้นคือทางช้างเผือก
ภาพของ Wandjina มองดูคล้ายมนุษย์ต่างดาวตัวสีเทา มีหัวขนาดใหญ่ไม่มีผม ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ ไม่มีหูไม่มีปากและผิวขาวบริสุทธิ์ ภาพวาดทั้งหมดใช้สีธรรมชาติที่แทบจะไม่จางหายทั้งๆที่มีหลายปีที่ผ่านมา
ภาพเขียนมีขนาดที่แตกต่างกันออกไปภาพบางส่วนมีขนาดถึงหกเมตร นอกจากนี้ยังมีการแสดงใบหน้าสีขาวและไร้ปาก หมายถึงถ้ามีปากแล้วปากเปิดจะทำให้น้ำท่วมโลก รอบหัว Wandjina มีลายเส้นหรือบล็อคสีซึ่งแสดงถึงสายฟ้าเมฆหรือฝน Wandjina สามารถลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายด้วยอุทกภัยฟ้าผ่าและพายุทอร์นาโด ชาวพื้นเมืองเชื่อว่าภาพเหล่านี้มีพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปฏิบัติด้วยความเคารพ
Cr.
https://articlefeed.org/a-5000-year-old-aboriginal-cave-painting-of-the-wandjina-known-as-the-sky-beings/
Cr.
https://sobreaustralia.com/2012/01/11/la-leyenda-de-las-wandjinas/
Cr.
http://conspiraciones1040.blogspot.com/2013/10/Wandjina-dioses-extraterrestres-aborigenes-Australia.html
ภาพมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอที่พบใน Chhattisgarh อินเดีย
(เสาอากาศที่มีลักษณะคล้ายพัดลมและขาตั้งสามขาของยานพาหนะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีความคล้ายคลึงกับยานประเภทยูเอฟโอ)
เมื่อปี 2548 ในเขต Hoshangabad ของ Madhya Pradesh เพียง 43 ไมล์จากศูนย์กลางการปกครองท้องถิ่นของ Raisen ภาพวาดหินโบราณอายุ 10,000 ปีที่วาดภาพยูเอฟโอและพื้นที่พิเศษถูกค้นพบในถ้ำ ถ้ำเหล่านี้ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในป่าทึบในภูมิภาค Charama ในเขต Kanker ในภูมิภาค Bastar ของชนเผ่า ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจาก Raipur ประมาณ 130 กม. ถ้ำแห่งนี้อยู่ภายใต้หมู่บ้าน Chandeli และ Gotitola
นักโบราณคดีระบุว่า ภาพเขียนหินที่พบเป็นภาพมนุษย์ต่างดาวเหมือนที่แสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด และยังกล่าวว่า ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ ภาพวาดทำด้วยสีธรรมชาติที่แทบจะไม่จางหายไปแม้จะผ่านไปหลายปี รูปแกะสลักที่แปลกประหลาดนั้นมีวัตถุคล้ายอาวุธถืออยู่และไม่มีคุณสมบัติที่ชัดเจน การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจเคยเห็นหรือจินตนาการสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ยังคงสร้างความอยากรู้อยากเห็นในหมู่ผู้คน
โดยกระทรวงโบราณคดีและวัฒนธรรมของรัฐใน Chhattisgarh กำลังขอความช่วยเหลือจากองค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดียเพื่อทำการวิจัยชุดของภาพเขียนหินโบราณที่พบนี้แล้ว
Cr.
https://www.thestatesman.com/supplements/8thday/an-astounding-discovery-1502669495.html
ลายเส้นลึกลับ Nazca Lines
นักโบราณคดีที่ประเทศเปรูเพิ่งจะค้นพบเส้นนาซคาอันลึกลับเพิ่มมากกว่า 50 รูป ซึ่งหลบซ่อนสายตานักสำรวจและนักโบราณคดีมานานหลายสิบปี และบางส่วนของเส้นนาซคาที่ค้นพบใหม่ยังมีอายุมากกว่าบรรดาเส้นนาซคาที่เคยพบหลายร้อยปี ทำให้นักโบราณคดีมีสมมุติฐานใหม่ในการไขปริศนาที่มาที่ไปของลายเส้นลึกลับที่อยู่คู่โลกมายาวนานกว่า 2,000 ปี
เส้นนาซคา (Nazca Lines) เป็นลายเส้นรูปร่างต่างๆมีทั้งรูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ ต้นไม้ รวมทั้งรูปคนขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนทะเลทรายนาซคา ในบริเวณพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตร ระหว่างเมือง Nazca และเมือง Palpa ประเทศเปรู ลายเส้นเป็นรูปทรงเรขาคณิตมีจำนวนหลายร้อยรูป และอีกกว่า 70 รูปเป็นรูปสัตว์ มีรูปนก ปลา เสือจากัวร์ ลิง คน ต้นไม้และดอกไม้ รูปที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวถึง 370 เมตร
เส้นนาซคาถูกสังเกตพบครั้งแรกเมื่อปี 1553 โดยนักสำรวจชาวสเปนแต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นทางเดิน จนถึงปี 1940 Paul Kosok นักโบราณคดีที่มาศึกษาระบบชลประทานโบราณได้สังเกตเห็นลายเส้นรูปนกขณะบินผ่านบริเวณนี้ จากนั้นจึงมีการศึกษาเส้นนาซคาอย่างจริงจัง
ความลึกลับของเส้นนาซคาคือไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างมันขึ้นมาและมันถูกสร้างด้วยวัตถุประสงค์ใด คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้างเส้นนาซคาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล้ำยุค แบบเดียวกับที่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้างมหาพิระมิดแห่งกีซา
แต่นักโบราณคดีเชื่อว่าเส้นนาซคาถูกสร้างขึ้นโดยชาวนาซคาซึ่งอาศัยในบริเวณดังกล่าว สร้างขึ้นในราว ปีค.ศ. 200 ถึง 700 เพียงแต่ชาวนาซคาไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยว่าพวกเขาสร้างลวดลายเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร นักโบราณคดีบางส่วนเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีการขอฝน
เส้นนาซคาสร้างขึ้นโดยขุดเอาหินทรายสีแดงบนพื้นผิวทะเลทรายออก เปิดออกจนถึงชั้นหินสีเหลืองอ่อนที่อยู่ข้างล่าง สร้างให้เป็นรูปร่างที่ออกแบบไว้ ลักษณะพิเศษของเส้นนาซคาคือจะเป็นภาพที่เกิดจากเส้นๆเดียวไม่มีขาดตอน เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้แทบไม่มีฝนตกเลย ลายเส้นจึงอยู่คงทนมาอย่างยาวนานกว่า 2,000 ปี
Cr.
https://www.takieng.com/stories/9108
(ภาพวาดบนผนังถ้ำจากรัฐยูทาห์ (Utah) สหรัฐอเมริกา อายุประมาณ 7,500 ปีที่แสดงภาพของมนุษย์ประหลาด ผิวสีแดงมีดวงตากลมโตผิดปกติ บางคนดูเหมือนสวมหมวก บางคนมีเสาประหลาดโผล่ออกมาจากศีรษะ Cr.
https://www.thairath.co.th/content/325610)
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ภาพเขียนโบราณของเอเลี่ยนในสถานที่ต่างๆ
Tassili n’Ajjer คือถ้ำหินที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับทะเลทรายซาฮาร่า ในประเทศแอลจีเรีย เป็นหนึ่งในสถานที่ปรากฏภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดแห่งและมีจำนวนมากที่สุดในภูมิภาคอาหรับ โดยครอบคลุมบริเวณถึง 72,000 ตารางกิโลเมตร ผลงานภาพวาดและ ภาพเขียนสีและภาพสลักบนผนังถ้ำมีทั้งหมดกว่า 15,000 ชิ้น
นักวิจัยคาดการณ์ว่าภาพวาดที่ปรากฏเหล่านี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 8,000-10,000 ปี ก่อนคริสตกาล ภาพเหล่านี้แสดงถึงวิถีชีวิตในประจำนวนของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาก่อน และบอกได้ว่าว่าทะเลทรายซาฮาร่านั้นเคยเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ เช่น ยีราฟ นกกระจอกเทศ ฮิปโปโปเตมัส รวมถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำอีกหลายชนิด ต่างจากปัจจุบันที่กลายเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือภาพว่าของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ที่สวมหมวกกันน็อก ถุงมือ และเครื่องแต่งกายที่คลายกับชุดสูท ที่ปรากฏอยู่ตามผนังถ้ำหลายรูป
กลุ่มนักยูเอฟโอวิทยาตั้งสมมติฐานว่า นี่เป็นหลักฐานการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาวในยุคโบราณ เพราะภาพส่วนใหญ่นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ แต่มีหัวที่กลม รวมถึงยังมีสิ่งที่คล้ายหมวกกันน็อกสวมอยู่ขณะที่ทำท่าทางเหมือนกำลังอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจากนอกโลก
สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี 1972 ก่อนกลายเป็นอุทยาแห่งชาติ Tassili n’Ajjer และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของแอลจีเรียมาจนปัจจุบัน
Cr.https://starsmanman.blogspot.com/2018/06/tassili-najjer.html / By menmen
JAC Detector กลุ่มนักล่าสมบัติอ้างว่า พวกเขาได้ออกทางสำรวจนาน 3 เดือนจนกระทั่งพบถ้ำแห่งนี้ตามคำบอกเล่าเกี่ยวกับตำนานของมนุษย์ต่างดาวจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ภายในถ้ำพบรอยแกะสลักบนผนังกำแพงและพื้นเป็นลวดลายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว, ยานยูเอฟโอและมนุษย์
ภายในยังพบแผ่นหินอีกหลายก้อนมีรอยแกะสลักเป็นรูปมนุษย์ต่างดาวที่มีท่าทางเหมือนกำลังพูดคุยกับมนุษย์อยู่ นักสำรวจกลุ่มนี้ยังอ้างว่าพบทองคำจำนวนหนึ่งซ่อนอยู่ด้วย กลุ่มนักสำรวจอ้างว่า บนแผ่นหินที่มีร่องรอยแกะสลักมีข้อความที่แปลว่า “มนุษย์ต่างดาว” และ “สิ่งมีชีวิตมนุษย์” อยู่ และภาพคล้ายกับมนุษย์ต่างดาวที่กำลังควบคุมยานอวกาศอยู่
รวมถึงร่องรอยแกะสลักที่มี่ลักษณะเหมือนมนุษย์ต่างดาวกำลังมอบของให้กับผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ในวัฒนธรรมโบราณที่ถูกคาดว่าเป็นของวัฒนธรรมสเปนโบราณ, ชาวมายัน รวมถึงชาวแอซเท็ก ที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาเมื่อหลายพันปีก่อน
อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้จะไม่มีความหมายอะไร หากสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโกไม่เข้ามาตรวจสอบหลังจากก่อนหน้านี้ทางการไม่ได้แสดงทีท่าสนใจกลับการค้นพบในครั้งนี้เลย โดยกลุ่มนักสำรวจอ้างว่ามันอาจเป็นเพราะการค้นพบในครั้งนี้เป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ขัดต่อข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก
Cr.https://starsmanman.blogspot.com/2018/01/ufo.html
ศิลปะถ้ำอายุ 5,000 ปีจากออสเตรเลียนี้ แสดงให้เห็นถึงสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในนาม Wandjina วิญญาณเมฆและสิ่งมีชีวิตบนท้องฟ้า
ภาพวาดเฉพาะเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวพื้นเมือง โดยในประเพณีของชนเผ่าพื้นเมืองสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นของการสร้างและมีพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติหนึ่งในนั้นคือทางช้างเผือก
ภาพของ Wandjina มองดูคล้ายมนุษย์ต่างดาวตัวสีเทา มีหัวขนาดใหญ่ไม่มีผม ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ ไม่มีหูไม่มีปากและผิวขาวบริสุทธิ์ ภาพวาดทั้งหมดใช้สีธรรมชาติที่แทบจะไม่จางหายทั้งๆที่มีหลายปีที่ผ่านมา
ภาพเขียนมีขนาดที่แตกต่างกันออกไปภาพบางส่วนมีขนาดถึงหกเมตร นอกจากนี้ยังมีการแสดงใบหน้าสีขาวและไร้ปาก หมายถึงถ้ามีปากแล้วปากเปิดจะทำให้น้ำท่วมโลก รอบหัว Wandjina มีลายเส้นหรือบล็อคสีซึ่งแสดงถึงสายฟ้าเมฆหรือฝน Wandjina สามารถลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายด้วยอุทกภัยฟ้าผ่าและพายุทอร์นาโด ชาวพื้นเมืองเชื่อว่าภาพเหล่านี้มีพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปฏิบัติด้วยความเคารพ
Cr.https://articlefeed.org/a-5000-year-old-aboriginal-cave-painting-of-the-wandjina-known-as-the-sky-beings/
Cr.https://sobreaustralia.com/2012/01/11/la-leyenda-de-las-wandjinas/
Cr.http://conspiraciones1040.blogspot.com/2013/10/Wandjina-dioses-extraterrestres-aborigenes-Australia.html
เมื่อปี 2548 ในเขต Hoshangabad ของ Madhya Pradesh เพียง 43 ไมล์จากศูนย์กลางการปกครองท้องถิ่นของ Raisen ภาพวาดหินโบราณอายุ 10,000 ปีที่วาดภาพยูเอฟโอและพื้นที่พิเศษถูกค้นพบในถ้ำ ถ้ำเหล่านี้ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในป่าทึบในภูมิภาค Charama ในเขต Kanker ในภูมิภาค Bastar ของชนเผ่า ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจาก Raipur ประมาณ 130 กม. ถ้ำแห่งนี้อยู่ภายใต้หมู่บ้าน Chandeli และ Gotitola
นักโบราณคดีระบุว่า ภาพเขียนหินที่พบเป็นภาพมนุษย์ต่างดาวเหมือนที่แสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด และยังกล่าวว่า ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ ภาพวาดทำด้วยสีธรรมชาติที่แทบจะไม่จางหายไปแม้จะผ่านไปหลายปี รูปแกะสลักที่แปลกประหลาดนั้นมีวัตถุคล้ายอาวุธถืออยู่และไม่มีคุณสมบัติที่ชัดเจน การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจเคยเห็นหรือจินตนาการสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ยังคงสร้างความอยากรู้อยากเห็นในหมู่ผู้คน
โดยกระทรวงโบราณคดีและวัฒนธรรมของรัฐใน Chhattisgarh กำลังขอความช่วยเหลือจากองค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดียเพื่อทำการวิจัยชุดของภาพเขียนหินโบราณที่พบนี้แล้ว
Cr.https://www.thestatesman.com/supplements/8thday/an-astounding-discovery-1502669495.html
เส้นนาซคา (Nazca Lines) เป็นลายเส้นรูปร่างต่างๆมีทั้งรูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ ต้นไม้ รวมทั้งรูปคนขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนทะเลทรายนาซคา ในบริเวณพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตร ระหว่างเมือง Nazca และเมือง Palpa ประเทศเปรู ลายเส้นเป็นรูปทรงเรขาคณิตมีจำนวนหลายร้อยรูป และอีกกว่า 70 รูปเป็นรูปสัตว์ มีรูปนก ปลา เสือจากัวร์ ลิง คน ต้นไม้และดอกไม้ รูปที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวถึง 370 เมตร
เส้นนาซคาถูกสังเกตพบครั้งแรกเมื่อปี 1553 โดยนักสำรวจชาวสเปนแต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นทางเดิน จนถึงปี 1940 Paul Kosok นักโบราณคดีที่มาศึกษาระบบชลประทานโบราณได้สังเกตเห็นลายเส้นรูปนกขณะบินผ่านบริเวณนี้ จากนั้นจึงมีการศึกษาเส้นนาซคาอย่างจริงจัง
ความลึกลับของเส้นนาซคาคือไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างมันขึ้นมาและมันถูกสร้างด้วยวัตถุประสงค์ใด คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้างเส้นนาซคาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล้ำยุค แบบเดียวกับที่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้างมหาพิระมิดแห่งกีซา
แต่นักโบราณคดีเชื่อว่าเส้นนาซคาถูกสร้างขึ้นโดยชาวนาซคาซึ่งอาศัยในบริเวณดังกล่าว สร้างขึ้นในราว ปีค.ศ. 200 ถึง 700 เพียงแต่ชาวนาซคาไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยว่าพวกเขาสร้างลวดลายเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร นักโบราณคดีบางส่วนเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีการขอฝน
Cr.https://www.takieng.com/stories/9108