แชร์ประสบการณ์ไปเรียนภาษาญี่ปุ่น1ปี ในม.ดังของญี่ปุ่น ด้วยงบ5แสนบาท (Part1)

สวัสดีครับ เมื่อปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปเรียนภาษาญี่ปุ่นในรั้วมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นมา1ปีเต็ม เลยอยากนำประสบการณ์ แชร์ให้หลายๆคนได้อ่านกัน ผมเองเป็นสมาชิกเก่าแก่ในPantip เห็นกระทู้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นก็เยอะ คิดว่าหลายๆท่านสนใจที่จะเรียนภาษา หรือ หาโอกาสไปทำงานในญี่ปุ่นกันเยอะพอสมควร หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ ขอเล่าไปทีละStepนะครับเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ

1.เลือกเมืองที่เราอยากอาศัยอยู่ก่อน
 ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ความเจริญจะไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะเมืองหลวง แต่กระจายไปตามที่ต่างๆ เช่น โอซาก้า เกียวโต นาโกย่า ฮอกไกโด ฟุคุโอกะ หลายๆคนคงเคยได้ยินชื่อเมืองพวกนี้มาบ้าง สามารถใช้ชีวิตได้สะดวก ไม่ต่างจากเมืองหลวงครับ แถมไม่แออัดและค่าครองชีพถูกกว่าด้วย แนะนำให้เลือกเมืองที่เราชอบครับ จะได้อยู่แล้วมีความสุข
 ผมเคยได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนระยะสั้นๆสมัยเรียน ไปดูงาน ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาหลายครั้ง เมืองที่ผมไปแล้วถูกจริตกับตัวเองมากที่สุดคือ เกียวโต ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่นมาพันกว่าปี จึงเลือกมาเรียนที่เมืองนี้ครับ เพราะนอกจากความรู้ด้านภาษาแล้ว ผมต้องการเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และสัมผัสจากพื้นที่จริงโดยตรงด้วย จึงตั้งใจว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้ได้ครับ แต่ค่าครองชีพไม่ถูกเท่าไหร่นะครับ 55555

2.เลือกมหาวิทยาลัย
 หลังจากที่เราได้เมืองในใจเราแล้ว ก็เปิดGoogle Searchหาชื่อมหาวิทยาลัย เด่นๆประจำเมืองนั้นเลยครับ เท่าที่ผมสังเกตนะ มหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นจะมีอยู่3ประเภทครับ มหาวิทยาลัยรัฐ,มหาวิทยาลัยอำเภอ,มหาวิทยาลัยเอกชน ต่อจากนี้ขอเรียกสั้นๆว่าม.นะครับ โดยปกติแล้ว ม.รัฐที่เปิดสอนหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น1ปี ให้นักศึกษาต่างชาติเขาจะไม่เปิดรับโดยตรงครับ แต่จะให้เราสมัครจากม.ฝั่งไทยที่มีโครงการร่วมกัน ใครที่กำลังเรียนอยู่ในม.ที่ไทย ผมแนะนำให้เปิดในเว็บของม.ดูครับ ว่ามีโครงการแลกเปลี่ยนร่วมกันหรือไม่ ส่วนตัวผมเรียนจบทำงานแล้ว เพราะฉะนั้นหมดสิทธิ์ครับ55555
 แต่อย่าพึ่งท้อครับ ความหวังเราอยู่ที่ม.เอกชน หลังจากที่หาข้อมูล2-3วันก็เจอ ม.ริซึเมคัง(Ritsumeikan University)ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่นครับและไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นนักศึกษาอยู่ ถึงเรียนจบทำงานแล้วก็สมัครเรียนได้ครับ หลักสูตรสอนภาษาญี่ปุ่นที่นี่ชื่อว่า "Study in Kyoto Program" หรือเรียกสั้นๆว่า "SKP" เป็นหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นที่มีเน้นเพิ่มทักษะด้านภาษาญี่ปุ่น วัฒธรรมญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แบบเข้ข้น สามารถเลือกระยะเวลาได้ครับ ปกติจะมี 6เดือน(1เทอม) และ1ปี(2เทอม) แต่ถ้าเรารู้สึกอยากเรียนเพิ่มอีกก็สามารถต่อได้ครับ แต่ทางมหาวิทยาลัยให้ไม่เกิน 1ปีครึ่ง(3เทอม)ครับ

จุดเด่นของที่นี่คือมีระบบ SKP BUDDY ซึ่งเป็นนักศึกษาคนญี่ปุ่น ที่จะคอยช่วยฝึกภาษาญี่ปุ่นกับเรา ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเรียนรู้ในเรื่องของภาษาเพิ่มเติม ทำให้เราไม่เหงาและมีเพื่อนเยอะมากขึ้นด้วย เพราะโอกาสที่จะได้เพื่อนญี่ปุ่นมีเยอะกว่า นอกจากนี้ทางถ้าเป็นมหาวิทยาลัย ยังมีส่วนลดราคาในเรื่องการซื้อหนังสือ อาหาร ขนม ค่าเดินทาง รวมถึงสามารถใช้หอสมุด คอมพิวเตอร์โน๊ตบุค เครื่องพิมพ์ของมหาวิทยาลัย ได้ฟรี อีกด้วย ซึ่งต่างกับโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่เป็นสถาบันเล็กๆ ไม่ค่อยมีการsupportในส่วนนี้ได้มากนัก

รายละเอียดเพิ่มเติม(ภาษาอังกฤษ)แนะนำให้ดูที่Linkนี้ได้เลยครับ
http://en.ritsumei.ac.jp/admissions/skp/
 พอกดเข้ามาแล้วจะมีอธิบายข้อมูลต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่าย หอพัก กิจกรรม การใช้ชีวิตต่างๆ ข้อมูลพื้นฐานที่เราควรรู้ ก่อนเริ่มเรียนจะมีPlacment Test เพื่อวัดความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่เรามีก่อน โดยจะแบ่งออกเป็น7ระดับ ระดับ1คือง่ายสุด ระดับ7คือยากสุดและเทียบเท่ากับความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับ JLPT N1 เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น หรือมีมาแต่ไม่มากนักก็สามารถเริ่มเรียนได้ครับ อาจถูกจัดให้อยู่ระดับ1-2

 ม.เอกชนอื่นๆ ก็มักจะมีหลักสูตรแบบนี้เหมือนกันครับ ชื่อเรียกอาจแตกต่างกันออกไป ถ้าใครที่มีม.เอกชนในใจอยู่แล้ว แนะนำให้ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซด์ของม.นั้นเป็นหลักครับว่ามีหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นเปิดสอนหรือไม่ ถ้ายังไม่มีในใจผมก็แนะนำม.ริซึเมคังเป็นหลักครับ เพราะอยู่ที่เกียวโต และคนไทยไม่เยอะมาก ตอนปีที่ผมไปทั้งม.มีคนไทยประมาณ7คน

3.ช่วงเวลาที่เปิดรับสมัคร
ใน1ปี ม.ริซึเมคังจะเปิดรับสมัคร2ช่วงครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการเข้าเทอมไหน ซึ่งจากที่ผมสังเกตจะเปิดรับสมัครล่วงหน้าประมาณ6เดือนครับ
1.เทอมฤดูใบไม้ผลิ(เรียนช่วงเดือนเมษา-กรกฎา) เปิดรับสมัครช่วงตุลา-พฤศจิกา
2.เทอมใบไม้ร่วง(เรียนช่วงเดือนตุลาคม-มกราคม) เปิดรับสมัครช่วงเดือนมีนา-เมษา
 เราสามารถเลือกได้ตามความสะดวกของเราเลยครับ ส่วนตัวผมเลือกเทอมฤดูใบไม้ผลิครับ เพราะอยากเห็นบรรยากาศ งานเปิดพิธีการศึกษาของคนญี่ปุ่นที่เข้ามาเรียนปี1ด้วย อยากดูน้องๆปี1 อิอิ อันนี้เป็นปฏิทินรายปีฉบับค่ราวๆนะครับ
4.ขั้นตอนการสมัคร และ การขอทุนการศึกษา
จะแบ่งออกเป็น นศ.จากPartner University(ในไทยเท่าที่ผมรู้มี จุฬา ธรรมศาสตร์ มหิดล)
และนศ.ที่ไม่ได้มาจากPartner University ถ้าเป็นPartnerอยู่แล้ว สามารถไปติดต่อฝ่ายศึกษาต่างประเทศหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของม.เราเพื่อขอAccountในการสมัคร แต่ถ้าเกิดม.ต้นสังกัดเราไม่ได้เป็นPartner ก็สามารถสมัครเพื่อขอAccountเองได้ครับ 

เอกสารที่ต้องเตรียม
1.ใบสมัคร กรอกผ่านระบบออนไลน์ของทางมหาวิทยาลัย มีหลายหน้ามากๆ ซึ่งจะให้กรอกข้อมูลส่วนตัว ประวัติการศึกษา พยายามเช็คดีๆกรอกให้ถูกต้อง ไม่ควรกรอกผิด เพราะมีโอกาสโดนตัดสิทธิ์ได้ ส่วนเอกสารอื่นต่อไปนี้ ต้องใช้เอกสารตัวจริงที่เซ็นครบแล้วScanและอัพโหลดให้ทางม.

2. ใบชี้แจงเหตุผลที่ขอเข้าเรียน (Personal Statement /志望理由書)
อันนี้ยุ่งยากหน่อย มาถึงตรงนี้ ทุกคนอาจจะ งง ว่ามันคืออะไรหว่า?

*ผมขอเกริ่นก่อนว่า ม.ริซึเมคังเองถึงจะเป็นม.เอกชน แต่ไม่เหมือนม.เอกชนบ้านเรา เพราที่ญี่ปุ่น ม.เอกชนหลายๆที่ มีอายุที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในญี่ปุ่นมานานมาก ม.ริซึเมคังก่อตั้งปี1922 ปีนี้2020 ก็อายุ98ปีพอดี เด็กญี่ปุ่นเองก็ต้องสอบEntranceแข่งกัน ถ้าคะแนนไม่ถึง ก็อดเรียนแม้ว่าจะมีเงินจ่ายค่าเทอมก็ตาม

 และหลักสูตรSKPเราต้องแข่งกับนศ.ต่างประเทศอื่นๆด้วย อาจารย์ที่ม.จะใช้เอกสารตัวนี้เป็นเกณฑ์หลักในการคัดเลือก ซึ่งมันเป็นเสมือนข้อสอบและความสามารถของเราไปในตัว ในระเบียบการสมัครจะมีGuide Lineบอกว่า ให้เราเขียนเกี่ยวกับ เหตุผลว่าต้องการเข้าเรียนหลักสูตรStudy in Kyoto Programเพราะอะไร และนอกจากภาษาญี่ปุ่นเราต้องการเรียนอะไร และสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ เราจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรในอนาคต

 แนะนำว่า พยายามเขียนให้เป็นเหตุเป็นผล อย่าเขียนเรื่องที่ดูไม่เกี่ยวกับการเรียนที่มหาวิทยาลัย เช่น การไปเที่ยว การช๊อปปิ้ง อันนี้ให้เก็บไว้ในใจ555 และสำหรับคนที่เขียนดี จะได้รับทุนการศึกษาในช่วงที่ไปเรียนด้วยนะซึ่ผงมก็ได้มาแล้ว เดี๋ยวจะเล่าในส่วนถัดไปนะครับ คนที่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้วให้เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นไปเลยครับ แต่คนที่ไม่รู้ หรือไม่มั่นใจ ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษครับ และที่สำคัญคือเขียนเป็นปากกาสีดำ เพราะฉะนั้นควรซ้อมก่อน และให้อาจารย์ที่ปรึกษาเราช่วยเช็คจะดีมากๆ

3.เอกสารแนะนำ (Letter of Reccomendation/推薦書)
เอกสารแนะนำรับรองคุณภาพในตัวเรา จากอาจารย์ที่ปรึกษา หรือคณะบดี ให้เราไปขอจากม.ที่เราเรียนอยู่ หรือถ้าคนที่เรียนจบแล้วก็กลับไปขอจาก ม.ที่เคยเรียน คนในครอบครัว หรือหัวหน้าที่ทำงานไม่ได้นะครับ และม.รัฐที่ไทย อ.ค่อนข้างช้าแนะนำให้ติดต่อต่างแต่เนิ่นๆ

4.เอกสารรับรองความรู้ภาษาญี่ปุ่น
ถ้าเกิดว่าเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศของตัวเองมาก่อน ให้อ.สอนภาษาญี่ปุ่นเรา เขียนรับรองในแบบฟอร์มตัวนี้ด้วย 

5.ใบรับรองสถานะการเงิน หรือ Statement จากธนาคาร
เป็นเอกสารรับรองว่าเรามีเงินในบัญชีอยู่จริง ใช้ของตัวเองหรือของผู้ปกครองก็ได้ ให้เราไปขอย้อนหลัง6เดือน ฉบับภาษาอังกฤษจากธนาคาร ผมใช้งบทั้งหมดในช่วง1ปีไป5แสนบาท แต่เงินในบัญชีเราควรมีมากกว่านั้น สัก600,000บาทขึ้นไปซึ่งจำนวนเงินนี้รวมค่าเทอมแล้วนะครับ อันนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงจากทางม.(มีในหน้าเว็บ)ว่าแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายพื้นฐานอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายที่ในตารางข้างล่างเป็นแค่ประมาณการณ์นะครับ เราสามารถใช้ให้ถูกกว่าอันี้และไม่อดตายได้ครับ 55555
6.ใบรับรองสถานะการศึกษา หรือ ใบรับรองจบการศึกษา
อันนี้ทุกคนคงรู้จัก ขอได้จากม.ที่ไทย

7.ใบแสดงผลการเรียนเป็นเกรด หรือ Transcript 
อันนี้ทุกคนคงรู้จัก ขอได้จากม.ที่ไทย เช่นกัน

8.เช็คลิทส์ (Checklist)
คือทางม.กลัวว่าเราจะลืมหรือตกหล่นเอกสารบางส่วนไป หน้าปกของใบสมัครจะมีCheck Listมาให้ ให้เราใส่ติ๊กให้ครบเพื่อเป็นการยืนยันก่อนScanส่งไปว่าเราได้เช็คเอกสารแล้วว่ามีจำนวนครบ

9.สำเนาหนังสือเดินทาง (Copy Passport)
ให้เช็คด้วยว่าหมดอายุเมื่อไหร่ ทางม.ตั้งเงื่อนไขว่า ต้องหมดอายุหลังจบหลักสูตรSKP

10.รูปถ่ายเป็นไฟล์JPEG ขนาด3:4

11.ใบสมัครขอทุนการศึกษา
ทุนการศึกษาจะมี2ประเภท
1.RUSSES(เป็นของริซึเมคังเอง)เดือนละ40,000เยน
2.JASSO(ของรัฐบาลญี่ปุ่น)เดือนละ80,000เยน
ทุนRUSSESขอได้ทั้งคนที่กำลังเป็นนักศึกษาอยู่ หรือเรียนจบแล้ว
ส่วนทุนJASSO ขอได้เฉพาะคนที่เป็นนักศึกษาอยู่ 
ซึ่งเราจะได้รับทุนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ เนื้อหาใน Personal Statement ที่เราเขียน เพราะฉะนันผมถึงได้ย้ำนักย้ำหนา ว่าให้เขียนดีๆ การมีเงินทุนในญี่ปุ่นช่วยให้เราใช้ชีวิตสบายขึ้น

รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากLinkนี้ครับ
http://en.ritsumei.ac.jp/admissions/file/Application_Guidelines_ENG.pdf

12.ใบรับรองความรู้ทางภาษาญี่ปุ่นJLPT และภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL,IELTS
อันนี้จะยื่นส่งหรือไม่ก็ได้ ทางม.ไม่ได้บังคับ

13.ใบชี้แจงโรคประจำตัว Medical Information & Certificate
สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว ให้ขอจากโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเป็นประจำ
เมื่อเตรียมเอกสารทั้งหมดแล้วเราก็นำไปScanแล้วอัพโหลดผ่านเว็บของทางม.ครับ ภายในDeadlineตามที่เขากำหนดครับ ห้ามช้าเด็ดขาด

5.ประกาศผล และ จ่ายค่าเทอม
 ทางม.จะประกาศผลประมาณปลายเดือนธันวา และส่งขั้นตอนการโอนเงินมาที่ธนาคารในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงSwift Codeที่ใช้เป็นรหัสในการโอนเงินด้วย ค่าเทอมสำหรับ1ปีอยู่ที่ 764,000เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 217,968บาท โดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น 100เยน = 28.5บาท สำหรับคนที่เรียนแค่เทอมเดียว ก็จ่ายแค่ครึ่งหนึ่ง โดยเราจะมีเวลาโอนเงินแค่1เดือน หลังจากที่เราโอนเงินแล้ว ก็จะมีประกาศผลทุนออกมาเป็นทางการ เราก็จะได้คำนวณค่าใช้จ่ายได้แม่นมากขึ้นว่าตลอด1ปีในแต่ละเดือนเราจะมีรายรับ-รายจ่ายเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่การตอนการเลือกหอพักครับ
เบื้องต้นขอจบPart 1ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เพราะกระทู้ให้พิมพ์ได้ไม่เกิน10,000ตัวอักษร ใครมีคำถามหรือข้อสงสัย พิมพ์ไว้เลยนะครับ เดี๋ยวมาตอบให้ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่