คราวก่อน แล้วเราคุยกันเรื่องรายได้คืออะไร
<<รายได้คืออะไร>> โดยพอสังเขปแล้ว คือ รายได้มาจาก 2 ทาง คือ Passive income และ Active income แต่ไม่ว่ารายได้เราจะมาจากทางไหน ในที่สุดแล้วจุดประสงค์ในการหารายได้ของเราก็เพื่อนำรายได้ของเราไปซื้อหรือสร้างทรัพย์สิน (หรือสิ่งที่เราคิดว่ามันคือทรัพย์สิน) เพื่อให้ทรัพย์สิน หรือสินทรัพย์ของเรากลับมาสร้างรายได้ให้เรา อีกที มันเหมือนจะวนๆ เริ่มงงละซิ ตกลงคืออะไร ทรัพย์สิน สินทรัพย์ รายได้ เอ๊ะ!!ยังไงกันแน่ สุดท้ายก็คือการหารายได้มาสร้างสินทรัพย์และให้สินทรัพย์มาสร้างรายได้ให้เราอีกที (ปล.ยาวหน่อยนะครับบทนี้)
ตรงนี้ละครับสำคัญ สำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่า เมื่อเรานำรายได้ที่ได้มาเพื่อสร้างสินทรัพย์ให้สินทรัพย์กลับมาสร้างรายได้ให้เราอีกที ประเด็นคือ ถ้าเราเลือกสินทรัพย์ไม่ดีสินทรัพย์นั้นก็จะสร้างผลตอบแทนให้เราไม่ดีพอไม่คุ้มกับการลงเงินลงแรงไปกับมัน ถ้าผมจะบอกว่า เราต้องจัดพอร์ท ของสินทรัพย์ของเรา ฟังดูแปลกไหมครับ แต่เรื่องจริงวันนี้ก็คือ เราจะมาจัดพอร์ทสินทรัพย์ของเราจริงๆ
ก่อนที่เราจะจัดสินทรัพย์ของเราให้เหมาะสม อันดับแรกที่เราควรจะรู้คือ แล้วสินทรัพย์มันคืออะไร สินทรัพย์แบบไหน ลักษณะเด่นของมันเป็นยังไง และเราควรจะมีแบบไหนมาก แบบไหนน้อย ยังไงเชิญติดตามกันครับ
สินทรัพย์ที่จะสร้าง passive income ให้กับพวกเรา (เฉพาะที่จะส่งกับเราชัดเจนในที่นี้ ส่วนใครมีมากกว่าที่กล่าวถึงก็ดีใจด้วยครับ)
1.เงินฝากธนาคาร ลักษณะเด่นของเงินฝากธนาคารคือ เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุด แต่มันก็มีข้อด้อนคือมันเป็นสินทรัพย์ที่ไห้ผลตอบแทนต่ำ แต่ได้สม่ำเสมอ เปรียบเสมือนน้ำค่อยๆหยดทีละหยดสองหยด แต่เราจะไม่มีเงินฝากธนาคารไม่ได้ อย่างที่บอกสภาพคล่องมันสูงสุด และเราเองต้องมีเงินสำรองไว้สำหรับใช้จ่ายยามจำเป็น หากเราไม่มีเงินฝากธนาคารเลย วันใดวันหนึ่งเราอาจจำเป็นต้องใช้เงินด่วน หากเราไม่มีเงินสดมากพอ เราอาจจะต้องเอาหุ้นไปขาย หรืออะไรก็ตามแต่ ยังไงมันก็ไม่สะดวกเหมือนเงินสดในมือ คำถามคือ หากเรามีเงินสักก้อน อยากซื้อสินทรัพย์ไว้กับตัวบ้าง เราควรจะกันเงินไว้สักเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม คำตอบคือ ต้องลองคำนวณว่า ใน 1 เดือน หากไม่มีรายได้เลย จะต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้ 1 เดือนโดยไม่เดือดร้อน แล้วเอาเงินจำนวนนั้น คูณหกเดือน จำนวนนั้นคือจำนวนเงินที่คุณควรจะมีในธนาคาร ถึงตรงนี้หลายคนคงจะบอกว่า จะบ้าเหรอ ใครจะมีเงินเก็บเยอะขนาดนั้น ถ้ามีเยอะขนาดน้นฉันไม่ต้องมาปวดหัวอยู่หรอก คำตอบก็ยังคงเดิมครับ ใช่ครับควรจะมีถึงหกเดือน แต่….เราไม่ต้องขนาดว่าเก็บๆๆให้ได้เงินเท่านั้นก่อนถึงจะซื้อสินทรัพย์อย่างอื่นครับ จำนวนเงินนั้นคือ”เป้าหมาย” ระหว่างทางเราอาจซื้อทองบ้าง ซื้อหุ้นบ้าง ฝากบ้าง แต่เป้าหมายที่ควรมีอย่างน้อยคือ 6 เดือนครับ จะถึงเมื่อไหร่ จะได้เมื่อไหร่เราวางแผนได้ครับ ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เพราะมันคือแผนแห่งความมั่นคงทางการเงิน มันไม่เสร็จในเดือนสองเดือน หรือปีสองปีหรอกครับ สู้ๆครับ
“ต้องขอกล่าวในที่นี้ก่อนนะครับ คือจำเป็นต้องทราบกันทุกคนนะครับว่า การลงทุนที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ (พันธบัตรรัฐบาล, หุ้น, หุ้นกู้, กองทุนรวม หรือการลงทุนใดๆที่บทความนี้กล่าวถึงซึ่งเป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เงินฝาก การลงทุนมีความเสี่ยงที่จะทำให้สูญเสียเงินต้นได้ ผลตอบแทนที่กล่าวถึงคือ ผลตอบแทนที่”คาดว่า”จะได้รับ“) ซึ่งอาจจะได้รับผลตอบแทน หรืออาจจะขาดทุนได้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุนก่อนการตัดสินใจลงทุนนะครับ
2.พันธบัตรรัฐบาล ลักษณะที่ดีของพันธบัตรรัฐบาลคือ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก เราควรจะมีไว้บ้างเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเงินออม เปรียเสมือนก๊อกน้ำที่ค่อยๆไหลค่อยๆหันผลตอบแทน แต่โอกาสสูญเสียเงินต้นน้อยมากถึงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับการพักเงินไว้ หรือรอลงทุน แทนที่จะฝากในบัญชีธนาคาร หรือเหมาะกับคนที่อายุมากแต่อยากจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก เพราะความเสี่ยงต่ำ แต่อย่างน้อยมันก็ได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากครับ คงมีหลายคนถามว่า เอ้างั้นจะให้ยุ่งยากทำไม ฝากไว้ในบัญชีเงินฝากซิ ผลตอบแทนต่างกันไม่มาก จะทำให้ยุ่งยากทำไม อย่างที่กล่าวในข้อ 1 ครับ เมื่อเรามีเงินมากพอสำรองจ่ายเกิน 6 เดือนแล้ว เราก็ควรจะมองไปข้างหน้าหาโอกาสที่ดีกว่า เงินกว่าจะหามาได้ ยากเย็นแสนเข็น กว่าจะรอดจากค่าใช้จ่ายประจำมาให้เราออมเงินอีก จึงอยากให้ทุกบาททุกสตางค์ เราได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด แต่ก็นั้นแหละอีกหลายคนคงแย้งว่า งั้นเราจะฝากเงินให้ครบ 6 เดือนทำไม เอามาลงพันธบัตรให้หมดไม่ดีเหรอ ไม่ดีครับ เพราะว่าพันธบัตรรัฐบาลผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากก็จริงแต่…สภาพคล่องน้อยกว่าเงินฝาก หากวันใดวันหนึ่งเราต้องการใช้เงิน แต่เราไม่มีเงินสดในมือ เราก็ต้องไปถอนพันธบัตรมาใช้ ซึ่งอาจจะถอนไม่ได้เพราะไม่ใช้วันทำการ หรือสอง ถอนได้ก็อาจจะเสียโอกาสที่จะได้รับดอกเบี้ยทำให้เงินที่เราลงไปในพันธบัตรนั้นเสียเปล่าเพราะเราฝากไม่ครบเงื่อนไข อย่างไรละครับ
3. หุ้นกู้ หุ้นกู้คืออะไร หุ้นกู้คือการที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์อยากจะได้เงินไปใช้จ่ายด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บริษัทก็จะออกขายหุ้นกู้เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนหรืออะไรตามวัตถุประสงค์ และบริษัทก็จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นเป็นการตอบแทน ซึ่งส่วนใหญ่จะมากกว่าเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล แต่ก็ไม่มากนัก การที่เราจะซื้อเราจะหุ้นกู้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มันมีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรแต่น้อยกว่าหุ้น ที่บอกว่าหุ้นกู้แตกต่างจากหุ้น ขออธิบายก่อนจะงงนะครับ หุ้นกู้กับหุ้น ต่างกันชัดเจนคือในเรื่องของ “สถานะภาพ” ครับ หุ้นกู้ มีสถานภาพเป็น”เจ้าหนี้” ส่วน หุ้น มีสถานะภาพเป็น “เจ้าของ” แล้วเจ้าหนี้กับเจ้าของต่างกันอย่างไรครับ ต่างกันและสำคัญมาก คือ กรณีบริษัทมีปัญหา หรือขาดทุน หรือล้มละลาย ลำดับของการได้รับเงินค่าชดเชย “เจ้าหนี้” จะได้รับเงินที่มีการชดเชย …ก่อน…”เจ้าของ” จุดนี้จึงทำให้หุ้นกู้ เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นครับ การที่เราจะเลือกหุ้นกู้เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการออม เราต้องพิจารณาเลือกจาก ความมั่นคง ความสมารถในการทำกำไร ของบริษัทเป็นลำดับต้นๆ เพราะว่าถ้ามั่นคง ถ้ามีความสามารถในการทำกำไร เท่ากับว่ามีเครดิตดี มีเครดิตดี ก็คือ มีความเสี่ยงต่ำกว่า มีความเสี่ยงต่ำกว่าก็คือ โอกาสที่เราจะไม่รับผลตอบแทนจะน้อยกว่านั้นเอง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของเงินเราเอง ส่วนรายละเอียดลึกๆขอไม่กล่าวถึงนะครับ ไว้กล่าวลึกๆในคราวต่อๆไป
4.หุ้น (ในที่นี้ในความหมายของหุ้น คือ หุ้นสามัญ)อย่างที่กล่าวไปข้างต้นครับ หุ้น คือเจ้าของ แล้วเป็นเจ้าของไม่ดีหรือ ก็ดีครับ แต่อย่างที่บอกหากบริษัทล้ม หากเราถือหุ้นเราจะเป็นลำดับท้ายๆที่ได้รับเงินเยียวยา แล้วหุ้นมันดียังไงทำไมใครๆก็ชอบ “เล่นหุ้น” ลักษณะของหุ้นที่ต่างจากเงินฝากอีคือ รายได้ที่มาจากหุ้นจะค่อนข้างไม่แน่นอน หมายความว่า. ได้ก็ได้มาก เสียก็เสียมาก ทั้งนี้ขึ้นกับผลประกอบการของบริษัทที่เราถือหุ้นนั้นเอง อย่างไรก็ดีเราควรจะมีสินทรัพบ์ประเภทหุ้นไว้บ้าง ทั้งนี้เพื่อการสร้างรายได้เป็บกอบเป็นกำ ให้เรานั้นเอง จะมีมากหรือมีน้อย ก็ตามกำลังทรัพย์และการยอมรับความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละคน
5. กองทุนรวม กองทุนรวมคือ การที่เราเอาเงินของเราหลายๆคนไปรวมกันจนเป็นเงินก้อนขนาดใหญ่แล้วให้คนอื่นที่มีความชำนาญมากกว่าเรา(ในที่นี้คือผู้จัดการกองทุน) นำไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เช่นปันผล. ส่วนต่าง NAV (เอาคร่าวๆนะไม่ขอเจาะลึก) ถามว่าแล้วทำไมเราต้องเอาไปให้เค้าลงทุน เราลงทุนเองไม่ดีกว่าเหรอ ไว้ใจเค้าได้เหรอ คำตอบคือ จำเป็นต้องไว้ใจครับ แต่เราก็ไว้ใจบนหลักของเหตุและผล เพราะเค้ามีความเชี่ยวชาญมากกว่าเรา เค้าสามารถทำเงินได้มากกว่าเราบนความรู้ที่เค้ามี แล้วมันดียังไง ทำไมเค้าต้องมาลงทุนให้เรา เค้าไปลงเองไม่ดีเหรอ จะมาแบกความเสี่ยงแทนคนอื่นทำไม คำตอบคือ เพราะเค้าเองก็ได้ผลตอบแทนจากการนำเงินเราไปลงทุนเป็นค่าตอบแทนในการบริงานอย่างไรละครับ (ไม่ใช้น้อยด้วย) แล้วอีกอย่างมันดีกับเราตรงที่ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากพอสมควรเลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนว่ากองทุนรวมที่เราไปลงทุนนั้นลงทุนในอะไร เช่น ลงทุนในหุ้น ในทอง ในน้ำมัน ในหุ้นกู้ มีเยอะครับขออธิบายคร่าวๆไว้เจาะลุกกันทีหลังนะครับ ในกรณีนี้ รายได้จะหวือหวา (ได้มากเสียมาก) หรือเรื่อยๆ(ได้ผลตอบแทนพอสมควร) ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกอง. แล้วทำไมเราต้องมีกองทุนรวมด้วยละ ก็เพราะว่ามันนำเงินเราไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยปริมาณมาก ข้อดีคือ สามารถลงในสินทรัพย์ตัวที่เราไม่อาจแตะต้องเช่น กองทุนหนึ่งมีเงินสักหนึ่งพันล้านไปลงทุนใน cp all หรือ กลุ่มธนาคาร หรือ อื่นๆ โดยไปลงทุนในนามของ ผู้ลงทุนสถาบัน ซึ่งทำให้เราเองได้เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดีๆ ผลตอบแทนย่อมดีบ้างแย่บ้างทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเสี่งที่ยอมรับได้ของแต่ละคน หรือฝีมือของผู้จัดการกองทุนนั้น ว่าจะทำให้เราได้ผลตอบแทนอย่างไร. ซึ่งการที่เรามีกองทุนรวมไว้มันก็ย่อมเป็นอีกทางที่สร้างรายได้ให้เราดีกว่าหลายๆทาง
6. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์(หรือเรียกชื่อเก๋ๆว่า สินทรัพย์ทางเลือก) ข้อนี้ขอไม่อธิบายมาก เพราะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง. แต่ก็นั่นแหละไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เพราะมีการวิจัยออกมารองรับแล้วว่า การที่เรามีสินทรัพย์ทางเลือก (น้ำมัน,ทอง,อสังหาฯ,เฮดฟัน เป็นต้น) ไว้ในพอร์ทสัก “ห้าหรือสิบเปอร์เซ็น” (ทำไมต้องห้าหรือสิบเปอร์เซ็น. เพราะสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง เราแค่ควรมีไว้บ้าง ไม่ใช้มีเป็นหลักครับ) จะทำให้เราได้ผลตอบแทนดีกว่าไม่มีสินทรัพย์ทางเลือกในพอร์ท. อันนี้ขอสงวนว่าต้องไปศึกษาเพิ่มเติมกันนะครับ มันเป็นผลการวิจัย อกมาแล้วจริงๆ
7. ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ถึงตรงนี้หลายๆคนคงไม่เห็นด้วย สิ้นเปลือง เสียเปล่า (จริงๆมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ) ถามว่าทำไมเราต้องมีละ เอาง่ายๆเลยครับ เจ็บป่วยขึ้นมาเราเองก็ไม่ต้องเอาเงินที่เราลงทุนไว้ในสินทรัพย์ใดๆข้างต้นมาเพื่อรักษาตัว หรือถึงเสียชีวิต เราเองก็จะมีรายได้อีกก้อนให้คนข้างหลัง ไม่นับรวมถึงการฝากเงินแบบประกันสะสมทรัพย์ ทให้เรามีรายได้สม่ำเสมอจากดอกเบี้ยหรือเงินปันผลอีกทาง และเมื่อครบกำหนดประกันเราเองยังมีเงินก้อนไปลงทุนตัวอื่นๆได้นั่นเอง
ครบแล้วครับ 7 ทางเลือกการออมสู้เป้าหมายอิสรภาพทางการเงิน ถามว่าทำไมต้อง 7 อย่างนี้ อันนี้เป็นตัวอย่างครับ ใครจะแปลกแตกต่างจากนี้ก็แล้วแต่แนวคิดแต่ละคนเลย ขอเสนอไว้ก่อนจบว่าทำไมต้อง 7 อย่างนะครับ
การที่เรามีการลงทุนหลายๆอย่างผสมผสานกัน ขอเปรียบเทียบเป็นแม่น้ำทั้ง 7 สายนะครับ บางสายก็ไหลเอื่อยๆให้ผลตอบแทนน้อย(เช่นเงินออม) แต่มันก็ไหลสม่ำเสมอไม่มีความเสี่ยงมาเกี่ยวข้อง อย่าลืมนะครับ แม่น้ำสายใหญ่ๆก็มาจากตาน้ำเล็กๆนี่แหละครับ หรือบางสายไหลแรงแต่ไหลบ้างไม่ไหลบ้าง เช่น หุ้น กองทุน รายได้เวลาได้ก็ได้มาก เวลาเสียก็เสียมาก แต่เราก็ต้องมีไว้เพื่อเติมเต็มแม่น้ำหลักของเราให้ หากเรามีแต่ตาน้ำน้อยๆมันก็อาจต้องใช้เวลามากไปในการเป็นแม่น้ำเส้นหลัก แต่หากเรามีแต่น้ำไหลแรงๆ แม่น้ำของเราก็อาจจะเหือดแห้งเป็นบางครั้ง(ขาดทุน) แต่หากเรามีผสมผสานกัน ยามน้ำไหลแรง เราก็กำไรเยอะ ยามน้ำเหือดแห้งเราก็ยังมีตาน้ำน้อยๆคอยหล่อเลี้ยง และการที่เรามีประกันชีวิต ประกันสุขภาพ มันก็เปรียบกับการประกันความเสี่ยงว่า หากวันใดเราเจ็บป่วยไม่สบาย เราคงไม่ต้องรื้อต้นไม้ที่ผลิตตาน้ำไปรักษาตัว หรือต้องถอดก็อกที่ไหลแรงๆไปรักษาตัว ทำให้กระแสน้ำแห่งความมั่นคง มั่งคังของเราเหือดแห้งลง มันคือส่วนเติมเต็ม จนก่อให้เกิดเป็น “พลังแห่งแม่น้ำ 7 สาย” นั่นเอง
Website :
https://pongsan.info/index.php/7waysaving/
โลกการเงินของทุกคน Ep. 7 พลังแห่งแม่น้ำ 7 สาย (ออมอย่างไรให้ยั่งยืน)
ตรงนี้ละครับสำคัญ สำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่า เมื่อเรานำรายได้ที่ได้มาเพื่อสร้างสินทรัพย์ให้สินทรัพย์กลับมาสร้างรายได้ให้เราอีกที ประเด็นคือ ถ้าเราเลือกสินทรัพย์ไม่ดีสินทรัพย์นั้นก็จะสร้างผลตอบแทนให้เราไม่ดีพอไม่คุ้มกับการลงเงินลงแรงไปกับมัน ถ้าผมจะบอกว่า เราต้องจัดพอร์ท ของสินทรัพย์ของเรา ฟังดูแปลกไหมครับ แต่เรื่องจริงวันนี้ก็คือ เราจะมาจัดพอร์ทสินทรัพย์ของเราจริงๆ
ก่อนที่เราจะจัดสินทรัพย์ของเราให้เหมาะสม อันดับแรกที่เราควรจะรู้คือ แล้วสินทรัพย์มันคืออะไร สินทรัพย์แบบไหน ลักษณะเด่นของมันเป็นยังไง และเราควรจะมีแบบไหนมาก แบบไหนน้อย ยังไงเชิญติดตามกันครับ
สินทรัพย์ที่จะสร้าง passive income ให้กับพวกเรา (เฉพาะที่จะส่งกับเราชัดเจนในที่นี้ ส่วนใครมีมากกว่าที่กล่าวถึงก็ดีใจด้วยครับ)
1.เงินฝากธนาคาร ลักษณะเด่นของเงินฝากธนาคารคือ เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุด แต่มันก็มีข้อด้อนคือมันเป็นสินทรัพย์ที่ไห้ผลตอบแทนต่ำ แต่ได้สม่ำเสมอ เปรียบเสมือนน้ำค่อยๆหยดทีละหยดสองหยด แต่เราจะไม่มีเงินฝากธนาคารไม่ได้ อย่างที่บอกสภาพคล่องมันสูงสุด และเราเองต้องมีเงินสำรองไว้สำหรับใช้จ่ายยามจำเป็น หากเราไม่มีเงินฝากธนาคารเลย วันใดวันหนึ่งเราอาจจำเป็นต้องใช้เงินด่วน หากเราไม่มีเงินสดมากพอ เราอาจจะต้องเอาหุ้นไปขาย หรืออะไรก็ตามแต่ ยังไงมันก็ไม่สะดวกเหมือนเงินสดในมือ คำถามคือ หากเรามีเงินสักก้อน อยากซื้อสินทรัพย์ไว้กับตัวบ้าง เราควรจะกันเงินไว้สักเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม คำตอบคือ ต้องลองคำนวณว่า ใน 1 เดือน หากไม่มีรายได้เลย จะต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้ 1 เดือนโดยไม่เดือดร้อน แล้วเอาเงินจำนวนนั้น คูณหกเดือน จำนวนนั้นคือจำนวนเงินที่คุณควรจะมีในธนาคาร ถึงตรงนี้หลายคนคงจะบอกว่า จะบ้าเหรอ ใครจะมีเงินเก็บเยอะขนาดนั้น ถ้ามีเยอะขนาดน้นฉันไม่ต้องมาปวดหัวอยู่หรอก คำตอบก็ยังคงเดิมครับ ใช่ครับควรจะมีถึงหกเดือน แต่….เราไม่ต้องขนาดว่าเก็บๆๆให้ได้เงินเท่านั้นก่อนถึงจะซื้อสินทรัพย์อย่างอื่นครับ จำนวนเงินนั้นคือ”เป้าหมาย” ระหว่างทางเราอาจซื้อทองบ้าง ซื้อหุ้นบ้าง ฝากบ้าง แต่เป้าหมายที่ควรมีอย่างน้อยคือ 6 เดือนครับ จะถึงเมื่อไหร่ จะได้เมื่อไหร่เราวางแผนได้ครับ ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เพราะมันคือแผนแห่งความมั่นคงทางการเงิน มันไม่เสร็จในเดือนสองเดือน หรือปีสองปีหรอกครับ สู้ๆครับ
“ต้องขอกล่าวในที่นี้ก่อนนะครับ คือจำเป็นต้องทราบกันทุกคนนะครับว่า การลงทุนที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ (พันธบัตรรัฐบาล, หุ้น, หุ้นกู้, กองทุนรวม หรือการลงทุนใดๆที่บทความนี้กล่าวถึงซึ่งเป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เงินฝาก การลงทุนมีความเสี่ยงที่จะทำให้สูญเสียเงินต้นได้ ผลตอบแทนที่กล่าวถึงคือ ผลตอบแทนที่”คาดว่า”จะได้รับ“) ซึ่งอาจจะได้รับผลตอบแทน หรืออาจจะขาดทุนได้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุนก่อนการตัดสินใจลงทุนนะครับ
2.พันธบัตรรัฐบาล ลักษณะที่ดีของพันธบัตรรัฐบาลคือ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก เราควรจะมีไว้บ้างเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเงินออม เปรียเสมือนก๊อกน้ำที่ค่อยๆไหลค่อยๆหันผลตอบแทน แต่โอกาสสูญเสียเงินต้นน้อยมากถึงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับการพักเงินไว้ หรือรอลงทุน แทนที่จะฝากในบัญชีธนาคาร หรือเหมาะกับคนที่อายุมากแต่อยากจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก เพราะความเสี่ยงต่ำ แต่อย่างน้อยมันก็ได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากครับ คงมีหลายคนถามว่า เอ้างั้นจะให้ยุ่งยากทำไม ฝากไว้ในบัญชีเงินฝากซิ ผลตอบแทนต่างกันไม่มาก จะทำให้ยุ่งยากทำไม อย่างที่กล่าวในข้อ 1 ครับ เมื่อเรามีเงินมากพอสำรองจ่ายเกิน 6 เดือนแล้ว เราก็ควรจะมองไปข้างหน้าหาโอกาสที่ดีกว่า เงินกว่าจะหามาได้ ยากเย็นแสนเข็น กว่าจะรอดจากค่าใช้จ่ายประจำมาให้เราออมเงินอีก จึงอยากให้ทุกบาททุกสตางค์ เราได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด แต่ก็นั้นแหละอีกหลายคนคงแย้งว่า งั้นเราจะฝากเงินให้ครบ 6 เดือนทำไม เอามาลงพันธบัตรให้หมดไม่ดีเหรอ ไม่ดีครับ เพราะว่าพันธบัตรรัฐบาลผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากก็จริงแต่…สภาพคล่องน้อยกว่าเงินฝาก หากวันใดวันหนึ่งเราต้องการใช้เงิน แต่เราไม่มีเงินสดในมือ เราก็ต้องไปถอนพันธบัตรมาใช้ ซึ่งอาจจะถอนไม่ได้เพราะไม่ใช้วันทำการ หรือสอง ถอนได้ก็อาจจะเสียโอกาสที่จะได้รับดอกเบี้ยทำให้เงินที่เราลงไปในพันธบัตรนั้นเสียเปล่าเพราะเราฝากไม่ครบเงื่อนไข อย่างไรละครับ
3. หุ้นกู้ หุ้นกู้คืออะไร หุ้นกู้คือการที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์อยากจะได้เงินไปใช้จ่ายด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บริษัทก็จะออกขายหุ้นกู้เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนหรืออะไรตามวัตถุประสงค์ และบริษัทก็จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นเป็นการตอบแทน ซึ่งส่วนใหญ่จะมากกว่าเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล แต่ก็ไม่มากนัก การที่เราจะซื้อเราจะหุ้นกู้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มันมีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรแต่น้อยกว่าหุ้น ที่บอกว่าหุ้นกู้แตกต่างจากหุ้น ขออธิบายก่อนจะงงนะครับ หุ้นกู้กับหุ้น ต่างกันชัดเจนคือในเรื่องของ “สถานะภาพ” ครับ หุ้นกู้ มีสถานภาพเป็น”เจ้าหนี้” ส่วน หุ้น มีสถานะภาพเป็น “เจ้าของ” แล้วเจ้าหนี้กับเจ้าของต่างกันอย่างไรครับ ต่างกันและสำคัญมาก คือ กรณีบริษัทมีปัญหา หรือขาดทุน หรือล้มละลาย ลำดับของการได้รับเงินค่าชดเชย “เจ้าหนี้” จะได้รับเงินที่มีการชดเชย …ก่อน…”เจ้าของ” จุดนี้จึงทำให้หุ้นกู้ เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นครับ การที่เราจะเลือกหุ้นกู้เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการออม เราต้องพิจารณาเลือกจาก ความมั่นคง ความสมารถในการทำกำไร ของบริษัทเป็นลำดับต้นๆ เพราะว่าถ้ามั่นคง ถ้ามีความสามารถในการทำกำไร เท่ากับว่ามีเครดิตดี มีเครดิตดี ก็คือ มีความเสี่ยงต่ำกว่า มีความเสี่ยงต่ำกว่าก็คือ โอกาสที่เราจะไม่รับผลตอบแทนจะน้อยกว่านั้นเอง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของเงินเราเอง ส่วนรายละเอียดลึกๆขอไม่กล่าวถึงนะครับ ไว้กล่าวลึกๆในคราวต่อๆไป
4.หุ้น (ในที่นี้ในความหมายของหุ้น คือ หุ้นสามัญ)อย่างที่กล่าวไปข้างต้นครับ หุ้น คือเจ้าของ แล้วเป็นเจ้าของไม่ดีหรือ ก็ดีครับ แต่อย่างที่บอกหากบริษัทล้ม หากเราถือหุ้นเราจะเป็นลำดับท้ายๆที่ได้รับเงินเยียวยา แล้วหุ้นมันดียังไงทำไมใครๆก็ชอบ “เล่นหุ้น” ลักษณะของหุ้นที่ต่างจากเงินฝากอีคือ รายได้ที่มาจากหุ้นจะค่อนข้างไม่แน่นอน หมายความว่า. ได้ก็ได้มาก เสียก็เสียมาก ทั้งนี้ขึ้นกับผลประกอบการของบริษัทที่เราถือหุ้นนั้นเอง อย่างไรก็ดีเราควรจะมีสินทรัพบ์ประเภทหุ้นไว้บ้าง ทั้งนี้เพื่อการสร้างรายได้เป็บกอบเป็นกำ ให้เรานั้นเอง จะมีมากหรือมีน้อย ก็ตามกำลังทรัพย์และการยอมรับความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละคน
5. กองทุนรวม กองทุนรวมคือ การที่เราเอาเงินของเราหลายๆคนไปรวมกันจนเป็นเงินก้อนขนาดใหญ่แล้วให้คนอื่นที่มีความชำนาญมากกว่าเรา(ในที่นี้คือผู้จัดการกองทุน) นำไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เช่นปันผล. ส่วนต่าง NAV (เอาคร่าวๆนะไม่ขอเจาะลึก) ถามว่าแล้วทำไมเราต้องเอาไปให้เค้าลงทุน เราลงทุนเองไม่ดีกว่าเหรอ ไว้ใจเค้าได้เหรอ คำตอบคือ จำเป็นต้องไว้ใจครับ แต่เราก็ไว้ใจบนหลักของเหตุและผล เพราะเค้ามีความเชี่ยวชาญมากกว่าเรา เค้าสามารถทำเงินได้มากกว่าเราบนความรู้ที่เค้ามี แล้วมันดียังไง ทำไมเค้าต้องมาลงทุนให้เรา เค้าไปลงเองไม่ดีเหรอ จะมาแบกความเสี่ยงแทนคนอื่นทำไม คำตอบคือ เพราะเค้าเองก็ได้ผลตอบแทนจากการนำเงินเราไปลงทุนเป็นค่าตอบแทนในการบริงานอย่างไรละครับ (ไม่ใช้น้อยด้วย) แล้วอีกอย่างมันดีกับเราตรงที่ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากพอสมควรเลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนว่ากองทุนรวมที่เราไปลงทุนนั้นลงทุนในอะไร เช่น ลงทุนในหุ้น ในทอง ในน้ำมัน ในหุ้นกู้ มีเยอะครับขออธิบายคร่าวๆไว้เจาะลุกกันทีหลังนะครับ ในกรณีนี้ รายได้จะหวือหวา (ได้มากเสียมาก) หรือเรื่อยๆ(ได้ผลตอบแทนพอสมควร) ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกอง. แล้วทำไมเราต้องมีกองทุนรวมด้วยละ ก็เพราะว่ามันนำเงินเราไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยปริมาณมาก ข้อดีคือ สามารถลงในสินทรัพย์ตัวที่เราไม่อาจแตะต้องเช่น กองทุนหนึ่งมีเงินสักหนึ่งพันล้านไปลงทุนใน cp all หรือ กลุ่มธนาคาร หรือ อื่นๆ โดยไปลงทุนในนามของ ผู้ลงทุนสถาบัน ซึ่งทำให้เราเองได้เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดีๆ ผลตอบแทนย่อมดีบ้างแย่บ้างทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเสี่งที่ยอมรับได้ของแต่ละคน หรือฝีมือของผู้จัดการกองทุนนั้น ว่าจะทำให้เราได้ผลตอบแทนอย่างไร. ซึ่งการที่เรามีกองทุนรวมไว้มันก็ย่อมเป็นอีกทางที่สร้างรายได้ให้เราดีกว่าหลายๆทาง
6. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์(หรือเรียกชื่อเก๋ๆว่า สินทรัพย์ทางเลือก) ข้อนี้ขอไม่อธิบายมาก เพราะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง. แต่ก็นั่นแหละไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เพราะมีการวิจัยออกมารองรับแล้วว่า การที่เรามีสินทรัพย์ทางเลือก (น้ำมัน,ทอง,อสังหาฯ,เฮดฟัน เป็นต้น) ไว้ในพอร์ทสัก “ห้าหรือสิบเปอร์เซ็น” (ทำไมต้องห้าหรือสิบเปอร์เซ็น. เพราะสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง เราแค่ควรมีไว้บ้าง ไม่ใช้มีเป็นหลักครับ) จะทำให้เราได้ผลตอบแทนดีกว่าไม่มีสินทรัพย์ทางเลือกในพอร์ท. อันนี้ขอสงวนว่าต้องไปศึกษาเพิ่มเติมกันนะครับ มันเป็นผลการวิจัย อกมาแล้วจริงๆ
7. ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ถึงตรงนี้หลายๆคนคงไม่เห็นด้วย สิ้นเปลือง เสียเปล่า (จริงๆมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ) ถามว่าทำไมเราต้องมีละ เอาง่ายๆเลยครับ เจ็บป่วยขึ้นมาเราเองก็ไม่ต้องเอาเงินที่เราลงทุนไว้ในสินทรัพย์ใดๆข้างต้นมาเพื่อรักษาตัว หรือถึงเสียชีวิต เราเองก็จะมีรายได้อีกก้อนให้คนข้างหลัง ไม่นับรวมถึงการฝากเงินแบบประกันสะสมทรัพย์ ทให้เรามีรายได้สม่ำเสมอจากดอกเบี้ยหรือเงินปันผลอีกทาง และเมื่อครบกำหนดประกันเราเองยังมีเงินก้อนไปลงทุนตัวอื่นๆได้นั่นเอง
ครบแล้วครับ 7 ทางเลือกการออมสู้เป้าหมายอิสรภาพทางการเงิน ถามว่าทำไมต้อง 7 อย่างนี้ อันนี้เป็นตัวอย่างครับ ใครจะแปลกแตกต่างจากนี้ก็แล้วแต่แนวคิดแต่ละคนเลย ขอเสนอไว้ก่อนจบว่าทำไมต้อง 7 อย่างนะครับ
การที่เรามีการลงทุนหลายๆอย่างผสมผสานกัน ขอเปรียบเทียบเป็นแม่น้ำทั้ง 7 สายนะครับ บางสายก็ไหลเอื่อยๆให้ผลตอบแทนน้อย(เช่นเงินออม) แต่มันก็ไหลสม่ำเสมอไม่มีความเสี่ยงมาเกี่ยวข้อง อย่าลืมนะครับ แม่น้ำสายใหญ่ๆก็มาจากตาน้ำเล็กๆนี่แหละครับ หรือบางสายไหลแรงแต่ไหลบ้างไม่ไหลบ้าง เช่น หุ้น กองทุน รายได้เวลาได้ก็ได้มาก เวลาเสียก็เสียมาก แต่เราก็ต้องมีไว้เพื่อเติมเต็มแม่น้ำหลักของเราให้ หากเรามีแต่ตาน้ำน้อยๆมันก็อาจต้องใช้เวลามากไปในการเป็นแม่น้ำเส้นหลัก แต่หากเรามีแต่น้ำไหลแรงๆ แม่น้ำของเราก็อาจจะเหือดแห้งเป็นบางครั้ง(ขาดทุน) แต่หากเรามีผสมผสานกัน ยามน้ำไหลแรง เราก็กำไรเยอะ ยามน้ำเหือดแห้งเราก็ยังมีตาน้ำน้อยๆคอยหล่อเลี้ยง และการที่เรามีประกันชีวิต ประกันสุขภาพ มันก็เปรียบกับการประกันความเสี่ยงว่า หากวันใดเราเจ็บป่วยไม่สบาย เราคงไม่ต้องรื้อต้นไม้ที่ผลิตตาน้ำไปรักษาตัว หรือต้องถอดก็อกที่ไหลแรงๆไปรักษาตัว ทำให้กระแสน้ำแห่งความมั่นคง มั่งคังของเราเหือดแห้งลง มันคือส่วนเติมเต็ม จนก่อให้เกิดเป็น “พลังแห่งแม่น้ำ 7 สาย” นั่นเอง
Website : https://pongsan.info/index.php/7waysaving/