OPPO Reno3 Pro เปิดตัวในประเทศไทยด้วยสเปคที่มาพร้อมกับ MTK P95 พร้อมกับกล้องหน้าคู่ครั้งแรกในโลกที่มาพร้อมกับความละเอียด 44MP ที่เยอะที่สุดในตอนนี้ จะมาพร้อมกับหน้าจอ ขนาด 6.4″ อัตราส่วน 20:9 และสัดส่วน 91.5% ครับเป็นหน้าจอปกติไม่ใช่หน้าจอโค้ง ส่วนเรื่องลำโพงก็ยังทำได้ดี ระบบเสียงรองรับ Hi-Res ด้วยเช่นกัน ส่วนงานออกแบบ ดีไซน์มีความบางเบามากขึ้นเยอะ แต่ที่รู้สึกแตกต่างกับก่อนๆ คืองานออกแบบเปลี่ยนไปทั้งหมดเลยสำหรับเจ้า OPPO Reno3 Pro ในครั้งนี้ครับ สำหรับ OPPO Reno3 Pro ในประเทศไทยเราเอามาให้ชมกันทั้ง 2 สีสวยงามแตกต่างกันไป และมาดูว่าในการใช้งานจริงนั้นจะเป็นยังไงกันบ้างสำหรับ รุ่นนี้ครับ
OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับใช้งาน CPU Mediatek Helio P95 12nm octa-core พร้อมกับการใช้งาน GPU PowerVR GM 94446 ร่วมกับ RAM 8GB LPDDR4X และใช้งาน UFS 2.1 ในความจุ 256GB ครับ ส่วนทางด้านหน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรูกล้องหน้าคู่ Dual Punch-Hole มาพร้อมกับขนาด 6.4″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 91.5% ใช้หน้าจอ Super AMOLED Display FHD+ ส่วนกล้องหล้งมาพร้อมกับกล้องหน้าคู่ 44MP พร้อมกับ 2MP ในการวัดระยะครับ ถือว่าเป็นกล้องหน้าที่เยอะที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้ ส่วนทางกล้องหลังนั้น ให้มา 4 ตัวพร้อมกับ ความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และระบบ PDAF และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และ ซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ซูมสูงสุดได้ 20 เท่า ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 120 องศา และ กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Mono 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และ ในเรื่องของแบตนั้นมาพร้อมกับ 30W VOOC Flash Charge 4 พร้อมแบตเตอรี่ใหญ่ขนาด 4,025 mAh ส่วนเรื่องของเสียงนั้นรองรับระบบเสียง รองรับ Hi-Res Audio ด้วยในการฟังผ่านหูฟัง
ราคา OPPO RENO3 PRO นั้นเปิดในประเทศไทยนั้นมา 3 สี AURORAL BLUE, สีดำ MIDNIGHT BLACK,และ สีขาว SKY WHITE พร้อมกับ ราคา 18,990 บาท และ SKY WHITE LIMITED EDITION ซึ่งจะวางขายในเร็วๆนี้
UNBOX
ตัวกล่องนั้นเป็นสีเขียวและมีเขียนชื่อรุ่นอะไรปกติครับซึ่งตัวกล่องข้างในนั้นจะเป็นสีขาวครับ อุปกรณ์ในกล่องนั้นให้มาครบทั้ง หูฟัง ที่ชาร์จ 30W VOOC Flash Charge 4.0 และ มีเคสใสแถมมาให้รวมถึงตัวฟิล์มของหน้าจอก็ติดมาให้แล้วเรียบร้อยครับผม
- ตัวเครื่อง OPPO Reno3 Pro
- สายชาร์จ USB-C
- หัวชาร์จ 30W VOOC Flash Charge 4.0
- หูฟัง Earbuds แบบ รู 3.5 มม.
- เคสใส TPU
- คู่มือ พร้อม ที่จิ้มซิม
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้แล้ว
ตัวเคสถ้าเทียบกับ Reno รุ่นก่อนๆถือว่ามีความแตกต่างกันพอสมควรครับในรุ่นนี้เปลี่ยนมาใช้งานเคสใส TPU ธรรมดาไม่ได้มีการใช้เคสหนังแข็งอะไรแบบรุ่นก่อนแล้วครับ ตัวเคสสีใสปกติ พร้อมกับคลุมทั้งตัวเครื่องด้านหลังทั้งหมด ส่วนขอบเครื่องในส่วนหน้าจอนั้นทั้ง 4 มุมมีการนูนขึ้นมาปกป้องหน้าจอรวมถึงมีเว้าตรงขอบลำโพงด้านบน ความหนาของเคสกลางๆกำลังดีครับไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องหนักเกินไปและไม่ได้หนาเกินจำเป็นด้วยครับ ตัวเคสนั้นในเรื่องของตามขอบกล้องและหน้าจอสามารถครอบคลุมได้ทั้งหมดในส่วนของด้านหน้านั้นจะมีขอบเครื่องทั้ง 4 มุมโผล่ขึ้นมาทำให้ปกป้องได้ดีเวลาวางหน้าคว่ำครับ และช่วยในการตกกระแทกได้ดีเป็นเคสแถมที่ดีแต่ในเรื่องของงานออกแบบยังเป็นเรียบๆไม่ได้ใช้วัสดุพิเศษแบบรุ่นก่อนรวมถึง ตัวกล้องหลังนั้นตัวเคสไม่ได้คลุมมาเกินตัวเลนส์เท่าไรครับ เลยทำให้เวลาวางต้องระวังกันนิดหน่อยสำหรับตัวเคสที่แถมมาให้กับ Reno3 Pro รอบนี้ครับ
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ถือว่าเมื่อใช้งานสัมผัสดูแล้วอย่างแรกที่รู้สึกเลยก็คือความเบาและบางที่ทำได้ดีครับคือรู้สึกเลยว่ามันพกพาได้ง่าย เบากว่ารุ่นเดิมชัดเจนและมีความบางขึ้น อาจจะด้วยการใช้งานกล้องหน้าแบบเจาะรูทำให้ไม่ต้องมีระบบอะไรทำให้หนักเครื่องครับ ส่วนเรื่องรูปทรงและงานออกแบบในภาพรวมนั้นจับถนัดมือมีความโค้งมนในส่วนของขอบซ้ายขวาได้ดีครับ ตัวเครื่องจะออกแนวยาวๆและแคบเลยช่วยให้เวลาจับถือได้เยอะมากครับในการพกพาส่วนสีนั้นจะมี 3 สีหลักๆคือ สีในรีวิวสีฟ้า Auroral Blue, สีดำ Midnight Black,และ สีขาว Sky White ที่จะวางขายเร็วๆนี้ ครับ
หน้าจอในส่วนของรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรูคู่ Dual Punch-hole Display มาพร้อมกับขนาด 6.4″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 91.5% ใช้หน้าจอ Super AMOLED Display FHD+ ในเรื่องของความสว่างสามารถทำได้สูงสุดถึง 1200 NITS เลยทีเดียวพร้อมกับ Corning Gorilla Glass 5 แต่จริงๆแอบเสียดายหน้าจอเต็มๆแบบรุ่นก่อนเหมือนกัน
หน้าจอในส่วนของขอบด้านบนนั้นถือว่าบางเท่าๆกับขอบซ้าย ขวา จะเห็นว่าเป็นหน้าจอเจาะรูแบบคู่ Dual Punch- Hole ที่มีกล้องหน้า 2 ตัว และส่วนขอบด้านบนนั้นจะเป็นขอบลำโพง และพวกเซนเซอร์นั้นจะแฝงอยู่ตรงขอบๆครับ กล้องหน้าในรุ่นนี้ให้มาที่ 44 ล้านพิกเซล พร้อมกับ รูรับแสง f2.4 พร้อมกับอีกตัวคือ 2 ล้านพิกเซลสำหรับจับระยะ
หน้าจอในส่วนข้างล่างนั้นขอบส่วนสีดำนั้นมีความบางพอสมควรครับและสามารถใช้งานการควบคุมแบบเต็มหน้าจอ หรือ จะเป็นแบบปุ่มปกติได้ ส่วนขอบหน้าจอๆรอบๆนั้นถือว่าบางพอสมควรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆถือว่าใกล้เคียงกัน
ในส่วนขอบเครื่องในด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของรู 3.5 มม. และ รูไมค์ รวมถึงให้ USB-C มา และตัวลำโพงหลักนั้นจะอยู่ในส่วนด้านขวาของเครื่องตามภาพครับ ในรุ่นนี้จะเป็นลำโพงตัวหลักนั้นจะเป็นส่วนขอบขอบด้านล่าง
ส่วนขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม Power ที่มีการขีดเส้นสีเขียวมาให้ครับตำแหน่งอยู่เยื้องไปทางข้างบนครับเป็นตำแหน่งที่พอดีเวลาถือ ส่วนขอบเครื่องไล่สีตามเฉดสีของเครื่องและฝาหลังน้ำเงินเข้มไปฟ้าอ่อนๆครับผม จะเห็นว่ากล้องหลังนั้นนูนนิดหน่อยจะไม่ได้นูนเยอะมากเท่าตัว Find X2 5G ครับตัวนี้เลยทำให้รวมๆกำลังดีไม่ได้นูนเยอะเกินไป
ส่วนของขอบบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของไมค์ตัดเสียง ส่วนขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นโทนสีอ่อนปัดเงาครับจะโทนสีคนละแบบกับส่วนด้านล่าง ส่วนความหนาบางเบานั้นรุ่นนี้ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยแหละ
ในส่วนของขอบเครื่องฝั่งซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมที่รองรับการใช้งาน 2 ซิม และรองรับ Micro-SD ครับส่วนเรื่องปุ่ม เพิ่ม ลดเสียงนั้น แยกปุ่มกันและอยู่ในตำแหน่งกำลังดี ขอบเครื่องจะเห็นว่ามีการไล่สีแบบเดียวกับฝาหลัง
ฝาหลังการออกแบบเปลี่ยนมาใช้การวางกล้องมุมเครื่องพร้อมกับรูปทรงตัวเครื่องที่มีความเหลี่ยมมากขึ้น วางกล้องมุมเครื่องเรียงกันพร้อมมีความนูนพอประมาณ โลโก้วางแนวนอนแตกต่างกับตระกูล Reno ก่อนหน้าชัดเจนครับ สีที่เรารีวิวนั้นจะเป็น Auroral Blue มีการไล่สีสวยงามน้ำเงินไปฟ้าอมเขียวครับ มีการเล่นแสงแบบมุมเครื่องเป็นแฉกไปทางมุมกล้องวัสดุฝาหลังเป็นกระจกโค้งลงทั้ง 2 ด้านพร้อมกับมีการเคลือบเลเยอร์สีในมีสะท้อนสวยงามได้ตามภาพ
กล้องหลังมาพร้อมกับดีไซน์ที่เปลี่ยนไปจากรุ่น Reno ก่อนหน้าแบบเยอะมากครับจริงๆแอบชอบรุ่นเก่ามากกว่าในการซ่อนกล้องให้เรียบเนียนไปกับตัวเครื่องพร้อม O-dot แต่ในรุ่นนี้เปลี่ยนมาใช้กล้องแบบเดียวกับรุ่นพี่ Find X2 เลยทั้งตำแหน่งการวางและรูปทรงครับ กล้องหลังวางเรียง 4 ตัว พร้อมกับความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และระบบ PDAF และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และ กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Mono 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ส่วนไฟแฟลชนั้นวางในกรอบสี่เหลี่ยมเป็นโมดูลเดียวกันและมีความนูนนิดๆ
SPEC
- Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7
- หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (1080 x 2400 พิกเซล) Contrast Ration 2400000 : 1 ค่าสว่างสูงสุด 1200 nits อัตราส่วน 20:9 Corning Gorilla Glass 5
- CPU MediaTek Helio P95 12nm Octa Core
- GPU PowerVR GM 94446
- STORAGE 256 GB USF 2.1
- RAM 8 GB LPDDR4X
- กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และระบบ PDAF และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 119.9 องศา และ กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Mono 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 รองรับ Hybrid Zoom 5X Digital Zoom 20X
- กล้องหน้า 2 ตัว 44 ล้านพิกเซล f/2.4 + 2 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 4,025 mAh พร้อมชาร์จไว VOOC 4.0 30w
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C 2.0
- Bluetooth 5.0
- รองรับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. Hi-Res Audio
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพของตัวเครื่องนั้นมาพร้อมกับ Media Tek Helio P95 12nm octa-core + GPU PowerVR GM 94446 เป็นสเปคที่จะคนละแบบกับตัวนอกนะครับหลายๆคนอาจจะมีการสับสนกับรุ่นปกติ ในรุ่นที่ขายไทยนั้นจะเป็นตัว MTK P95 นะครับส่วนทางด้าน RAM นั้น มาให้ทั้งหมด 8GB LPDDR4X และในด้านความจุนั้นมาพร้อมกับ 256GB ทำคะแนนไปได้ 207623 คะแนน ในตัว Antutu และในตัว Androbench การอ่านเขียน UFS 2.1 ครับทำการอ่านเขียนไปได้ 497 MB/s และ 205 MB/s และในตัว Geekbench ทำได้ 399 / 1506 คะแนน ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยนั้นแน่นอนว่ารองรับ L1 ดูหนังในความละเอียดสูงสุดได้เลยครับรุ่นนี้
SYSTEM UI
ในตัวระบบนั้นเองจะเป็น Color OS ที่เราคุ้นเคยกันดีแต่พัฒนาขึ้นในหลายๆด้านการใช้งานครับ ทำงานบนพื้นฐาน Android 10 สวมทับด้วย Color OS 7.1 ตัวล่าสุดเลยแน่นอนว่าในการใช้งานหน้าตาอะไรดูดีขึ้นพอสมควรครับแต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของแบรนด์อยู่ ในแง่ของการใช้งานเร็วลื่นขึ้นตอบสนองต่อหน้าจอได้ดี ตัวเลขแอป การแจ้งเตือนอะไรต่างๆทำได้ดีครับและจะไม่มี App Drawer นะครับเป็นหน้าหลักเลยแอปรวมทั้งหมดจะอยู่ในหน้านี้
[SR] รีวิว OPPO RENO3 PRO กล้องหน้าคู่ 44MP ชาร์จไว VOOC 4.0 พร้อมกล้องหลัง 64MP !
OPPO Reno3 Pro เปิดตัวในประเทศไทยด้วยสเปคที่มาพร้อมกับ MTK P95 พร้อมกับกล้องหน้าคู่ครั้งแรกในโลกที่มาพร้อมกับความละเอียด 44MP ที่เยอะที่สุดในตอนนี้ จะมาพร้อมกับหน้าจอ ขนาด 6.4″ อัตราส่วน 20:9 และสัดส่วน 91.5% ครับเป็นหน้าจอปกติไม่ใช่หน้าจอโค้ง ส่วนเรื่องลำโพงก็ยังทำได้ดี ระบบเสียงรองรับ Hi-Res ด้วยเช่นกัน ส่วนงานออกแบบ ดีไซน์มีความบางเบามากขึ้นเยอะ แต่ที่รู้สึกแตกต่างกับก่อนๆ คืองานออกแบบเปลี่ยนไปทั้งหมดเลยสำหรับเจ้า OPPO Reno3 Pro ในครั้งนี้ครับ สำหรับ OPPO Reno3 Pro ในประเทศไทยเราเอามาให้ชมกันทั้ง 2 สีสวยงามแตกต่างกันไป และมาดูว่าในการใช้งานจริงนั้นจะเป็นยังไงกันบ้างสำหรับ รุ่นนี้ครับ
OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับใช้งาน CPU Mediatek Helio P95 12nm octa-core พร้อมกับการใช้งาน GPU PowerVR GM 94446 ร่วมกับ RAM 8GB LPDDR4X และใช้งาน UFS 2.1 ในความจุ 256GB ครับ ส่วนทางด้านหน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรูกล้องหน้าคู่ Dual Punch-Hole มาพร้อมกับขนาด 6.4″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 91.5% ใช้หน้าจอ Super AMOLED Display FHD+ ส่วนกล้องหล้งมาพร้อมกับกล้องหน้าคู่ 44MP พร้อมกับ 2MP ในการวัดระยะครับ ถือว่าเป็นกล้องหน้าที่เยอะที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้ ส่วนทางกล้องหลังนั้น ให้มา 4 ตัวพร้อมกับ ความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และระบบ PDAF และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และ ซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ซูมสูงสุดได้ 20 เท่า ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 120 องศา และ กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Mono 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และ ในเรื่องของแบตนั้นมาพร้อมกับ 30W VOOC Flash Charge 4 พร้อมแบตเตอรี่ใหญ่ขนาด 4,025 mAh ส่วนเรื่องของเสียงนั้นรองรับระบบเสียง รองรับ Hi-Res Audio ด้วยในการฟังผ่านหูฟัง
ราคา OPPO RENO3 PRO นั้นเปิดในประเทศไทยนั้นมา 3 สี AURORAL BLUE, สีดำ MIDNIGHT BLACK,และ สีขาว SKY WHITE พร้อมกับ ราคา 18,990 บาท และ SKY WHITE LIMITED EDITION ซึ่งจะวางขายในเร็วๆนี้
UNBOX
ตัวกล่องนั้นเป็นสีเขียวและมีเขียนชื่อรุ่นอะไรปกติครับซึ่งตัวกล่องข้างในนั้นจะเป็นสีขาวครับ อุปกรณ์ในกล่องนั้นให้มาครบทั้ง หูฟัง ที่ชาร์จ 30W VOOC Flash Charge 4.0 และ มีเคสใสแถมมาให้รวมถึงตัวฟิล์มของหน้าจอก็ติดมาให้แล้วเรียบร้อยครับผม
- ตัวเครื่อง OPPO Reno3 Pro
- สายชาร์จ USB-C
- หัวชาร์จ 30W VOOC Flash Charge 4.0
- หูฟัง Earbuds แบบ รู 3.5 มม.
- เคสใส TPU
- คู่มือ พร้อม ที่จิ้มซิม
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้แล้ว
ตัวเคสถ้าเทียบกับ Reno รุ่นก่อนๆถือว่ามีความแตกต่างกันพอสมควรครับในรุ่นนี้เปลี่ยนมาใช้งานเคสใส TPU ธรรมดาไม่ได้มีการใช้เคสหนังแข็งอะไรแบบรุ่นก่อนแล้วครับ ตัวเคสสีใสปกติ พร้อมกับคลุมทั้งตัวเครื่องด้านหลังทั้งหมด ส่วนขอบเครื่องในส่วนหน้าจอนั้นทั้ง 4 มุมมีการนูนขึ้นมาปกป้องหน้าจอรวมถึงมีเว้าตรงขอบลำโพงด้านบน ความหนาของเคสกลางๆกำลังดีครับไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องหนักเกินไปและไม่ได้หนาเกินจำเป็นด้วยครับ ตัวเคสนั้นในเรื่องของตามขอบกล้องและหน้าจอสามารถครอบคลุมได้ทั้งหมดในส่วนของด้านหน้านั้นจะมีขอบเครื่องทั้ง 4 มุมโผล่ขึ้นมาทำให้ปกป้องได้ดีเวลาวางหน้าคว่ำครับ และช่วยในการตกกระแทกได้ดีเป็นเคสแถมที่ดีแต่ในเรื่องของงานออกแบบยังเป็นเรียบๆไม่ได้ใช้วัสดุพิเศษแบบรุ่นก่อนรวมถึง ตัวกล้องหลังนั้นตัวเคสไม่ได้คลุมมาเกินตัวเลนส์เท่าไรครับ เลยทำให้เวลาวางต้องระวังกันนิดหน่อยสำหรับตัวเคสที่แถมมาให้กับ Reno3 Pro รอบนี้ครับ
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ถือว่าเมื่อใช้งานสัมผัสดูแล้วอย่างแรกที่รู้สึกเลยก็คือความเบาและบางที่ทำได้ดีครับคือรู้สึกเลยว่ามันพกพาได้ง่าย เบากว่ารุ่นเดิมชัดเจนและมีความบางขึ้น อาจจะด้วยการใช้งานกล้องหน้าแบบเจาะรูทำให้ไม่ต้องมีระบบอะไรทำให้หนักเครื่องครับ ส่วนเรื่องรูปทรงและงานออกแบบในภาพรวมนั้นจับถนัดมือมีความโค้งมนในส่วนของขอบซ้ายขวาได้ดีครับ ตัวเครื่องจะออกแนวยาวๆและแคบเลยช่วยให้เวลาจับถือได้เยอะมากครับในการพกพาส่วนสีนั้นจะมี 3 สีหลักๆคือ สีในรีวิวสีฟ้า Auroral Blue, สีดำ Midnight Black,และ สีขาว Sky White ที่จะวางขายเร็วๆนี้ ครับ
หน้าจอในส่วนของรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรูคู่ Dual Punch-hole Display มาพร้อมกับขนาด 6.4″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 91.5% ใช้หน้าจอ Super AMOLED Display FHD+ ในเรื่องของความสว่างสามารถทำได้สูงสุดถึง 1200 NITS เลยทีเดียวพร้อมกับ Corning Gorilla Glass 5 แต่จริงๆแอบเสียดายหน้าจอเต็มๆแบบรุ่นก่อนเหมือนกัน
หน้าจอในส่วนของขอบด้านบนนั้นถือว่าบางเท่าๆกับขอบซ้าย ขวา จะเห็นว่าเป็นหน้าจอเจาะรูแบบคู่ Dual Punch- Hole ที่มีกล้องหน้า 2 ตัว และส่วนขอบด้านบนนั้นจะเป็นขอบลำโพง และพวกเซนเซอร์นั้นจะแฝงอยู่ตรงขอบๆครับ กล้องหน้าในรุ่นนี้ให้มาที่ 44 ล้านพิกเซล พร้อมกับ รูรับแสง f2.4 พร้อมกับอีกตัวคือ 2 ล้านพิกเซลสำหรับจับระยะ
หน้าจอในส่วนข้างล่างนั้นขอบส่วนสีดำนั้นมีความบางพอสมควรครับและสามารถใช้งานการควบคุมแบบเต็มหน้าจอ หรือ จะเป็นแบบปุ่มปกติได้ ส่วนขอบหน้าจอๆรอบๆนั้นถือว่าบางพอสมควรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆถือว่าใกล้เคียงกัน
ในส่วนขอบเครื่องในด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของรู 3.5 มม. และ รูไมค์ รวมถึงให้ USB-C มา และตัวลำโพงหลักนั้นจะอยู่ในส่วนด้านขวาของเครื่องตามภาพครับ ในรุ่นนี้จะเป็นลำโพงตัวหลักนั้นจะเป็นส่วนขอบขอบด้านล่าง
ส่วนขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม Power ที่มีการขีดเส้นสีเขียวมาให้ครับตำแหน่งอยู่เยื้องไปทางข้างบนครับเป็นตำแหน่งที่พอดีเวลาถือ ส่วนขอบเครื่องไล่สีตามเฉดสีของเครื่องและฝาหลังน้ำเงินเข้มไปฟ้าอ่อนๆครับผม จะเห็นว่ากล้องหลังนั้นนูนนิดหน่อยจะไม่ได้นูนเยอะมากเท่าตัว Find X2 5G ครับตัวนี้เลยทำให้รวมๆกำลังดีไม่ได้นูนเยอะเกินไป
ส่วนของขอบบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของไมค์ตัดเสียง ส่วนขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นโทนสีอ่อนปัดเงาครับจะโทนสีคนละแบบกับส่วนด้านล่าง ส่วนความหนาบางเบานั้นรุ่นนี้ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยแหละ
ในส่วนของขอบเครื่องฝั่งซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมที่รองรับการใช้งาน 2 ซิม และรองรับ Micro-SD ครับส่วนเรื่องปุ่ม เพิ่ม ลดเสียงนั้น แยกปุ่มกันและอยู่ในตำแหน่งกำลังดี ขอบเครื่องจะเห็นว่ามีการไล่สีแบบเดียวกับฝาหลัง
ฝาหลังการออกแบบเปลี่ยนมาใช้การวางกล้องมุมเครื่องพร้อมกับรูปทรงตัวเครื่องที่มีความเหลี่ยมมากขึ้น วางกล้องมุมเครื่องเรียงกันพร้อมมีความนูนพอประมาณ โลโก้วางแนวนอนแตกต่างกับตระกูล Reno ก่อนหน้าชัดเจนครับ สีที่เรารีวิวนั้นจะเป็น Auroral Blue มีการไล่สีสวยงามน้ำเงินไปฟ้าอมเขียวครับ มีการเล่นแสงแบบมุมเครื่องเป็นแฉกไปทางมุมกล้องวัสดุฝาหลังเป็นกระจกโค้งลงทั้ง 2 ด้านพร้อมกับมีการเคลือบเลเยอร์สีในมีสะท้อนสวยงามได้ตามภาพ
กล้องหลังมาพร้อมกับดีไซน์ที่เปลี่ยนไปจากรุ่น Reno ก่อนหน้าแบบเยอะมากครับจริงๆแอบชอบรุ่นเก่ามากกว่าในการซ่อนกล้องให้เรียบเนียนไปกับตัวเครื่องพร้อม O-dot แต่ในรุ่นนี้เปลี่ยนมาใช้กล้องแบบเดียวกับรุ่นพี่ Find X2 เลยทั้งตำแหน่งการวางและรูปทรงครับ กล้องหลังวางเรียง 4 ตัว พร้อมกับความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และระบบ PDAF และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และ กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Mono 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ส่วนไฟแฟลชนั้นวางในกรอบสี่เหลี่ยมเป็นโมดูลเดียวกันและมีความนูนนิดๆ
SPEC
- Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7
- หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (1080 x 2400 พิกเซล) Contrast Ration 2400000 : 1 ค่าสว่างสูงสุด 1200 nits อัตราส่วน 20:9 Corning Gorilla Glass 5
- CPU MediaTek Helio P95 12nm Octa Core
- GPU PowerVR GM 94446
- STORAGE 256 GB USF 2.1
- RAM 8 GB LPDDR4X
- กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และระบบ PDAF และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 119.9 องศา และ กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Mono 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 รองรับ Hybrid Zoom 5X Digital Zoom 20X
- กล้องหน้า 2 ตัว 44 ล้านพิกเซล f/2.4 + 2 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 4,025 mAh พร้อมชาร์จไว VOOC 4.0 30w
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C 2.0
- Bluetooth 5.0
- รองรับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. Hi-Res Audio
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพของตัวเครื่องนั้นมาพร้อมกับ Media Tek Helio P95 12nm octa-core + GPU PowerVR GM 94446 เป็นสเปคที่จะคนละแบบกับตัวนอกนะครับหลายๆคนอาจจะมีการสับสนกับรุ่นปกติ ในรุ่นที่ขายไทยนั้นจะเป็นตัว MTK P95 นะครับส่วนทางด้าน RAM นั้น มาให้ทั้งหมด 8GB LPDDR4X และในด้านความจุนั้นมาพร้อมกับ 256GB ทำคะแนนไปได้ 207623 คะแนน ในตัว Antutu และในตัว Androbench การอ่านเขียน UFS 2.1 ครับทำการอ่านเขียนไปได้ 497 MB/s และ 205 MB/s และในตัว Geekbench ทำได้ 399 / 1506 คะแนน ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยนั้นแน่นอนว่ารองรับ L1 ดูหนังในความละเอียดสูงสุดได้เลยครับรุ่นนี้
SYSTEM UI
ในตัวระบบนั้นเองจะเป็น Color OS ที่เราคุ้นเคยกันดีแต่พัฒนาขึ้นในหลายๆด้านการใช้งานครับ ทำงานบนพื้นฐาน Android 10 สวมทับด้วย Color OS 7.1 ตัวล่าสุดเลยแน่นอนว่าในการใช้งานหน้าตาอะไรดูดีขึ้นพอสมควรครับแต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของแบรนด์อยู่ ในแง่ของการใช้งานเร็วลื่นขึ้นตอบสนองต่อหน้าจอได้ดี ตัวเลขแอป การแจ้งเตือนอะไรต่างๆทำได้ดีครับและจะไม่มี App Drawer นะครับเป็นหน้าหลักเลยแอปรวมทั้งหมดจะอยู่ในหน้านี้
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้