เล่าและแชร์ประสบการณ์ตรวจ COVID-19 ที่ประเทศสิงคโปร์ค่ะ

สวัสดีค่ะทุกคน
ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ
จขกท. ทำงานอาศัยอยู่ที่สิงคโปร์ได้โดยรวมหลายปีแล้วค่ะ 
เคยย้ายออกไปทำงานประเทศอื่นอยู่ช่วงนึง แล้วเพิ่งกลับมาสิงคโปร์ได้ครึ่งปีกว่าๆ ค่ะ
วันนี้จะมาแบ่งปันประสบการณ์ตรวจไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่เกิดขึ้นกับเราสดๆร้อนๆเมื่อสองวันที่ผ่านมาค่ะ

*ก่อนอื่นต้องขอแจ้งก่อนว่าเราไม่ได้ออกไปไหนเกินกว่า 2 ชั่วโมงเลยค่ะ
เพราะอย่างที่บางท่านอาจจะทราบว่า ที่สิงคโปร์ตอนนี้ยังอยู่ในสภาวะ Circuit Breaker
ซึ่งเหมือนล็อกดาวน์ 24/7 ค่ะ ไม่ได้กำหนดช่วงเวลาแบบประเทศไทย
การเข้าซุปเปอร์ก็จะจำกัดจำนวนคนโดยกำหนดตามหมายเลขคู่-คี่บนบัตรประจำตัวประชาชน (IC) เท่านั้น
เราเลยออกบ้านเพื่อซื้อกับข้าวเพียงแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้งค่ะ

*รูปประกอบจะมีไม่มากนะคะ เพราะเขาห้ามถ่ายรูปค่ะ
เลยจะมีแต่รูปที่เราส่งให้ครอบครัวหรือแฟนเฉยๆ

เราจะย้อนเล่าเป็นฉากๆ ตามวันที่นะคะ (ยาวนิดนึงนะคะ)


- วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม

เราเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ มีปวดหัวเล็กน้อย น้ำมูกไหลนิดนึง
ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง เพราะเดี๋ยวฝนตกบ้าง ร้อนบ้าง
และเรามีเครียดๆจากงานมาเกือบเดือน (เพราะ WFH งานเลยหนักขึ้นเป็นเท่าตัว)
วันนั้นเลยตัดสินใจนอนพักเอาโดยที่ไม่ได้ทานยาใด ๆ ค่ะ

- วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม

นอนเล่นอยู่ในห้อง แต่รู้สึกตัวร้อนผิดปกติ คอเริ่มแห้งๆเจ็บๆ จมูกคัด
เหงื่อเริ่มออกแม้อากาศดี ท้องฟ้าครึ้ม
เราเลยลองเปิดแอร์ดู แต่ยังรู้สึกอุ่นๆ อยู่ดี
เลยลองตรวจอุณหภูมิตัวเองด้วยเทอร์โมมิเตอร์แบบยิงหัวน่ะค่ะ
วัดได้แค่ 35.8 (ปกติเราเป็นพวกอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว) 
แต่คืนนั้นเราตัดสินใจกินยาแก้หวัดเพื่อที่จะได้นอนเต็มที่ค่ะ

- วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม

รู้สึกตัวร้อนขึ้นมาก แต่วันนั้นแดดออกเกือบทั้งวันพอดี
เลยมโนไปเอง (อีกแล้ว) ว่าเป็นเพราะอากาศ
น้ำมูกไหลเล็กน้อย คอเจ็บมาก
วันนั้นเลยนอนพักผ่อนเล็กน้อยและออกมาซื้อกับข้าวตอนเย็นค่ะ
ปกติก่อนเข้าห้าง จะพวกเครื่องแสกนอุณหภูมิใช่มั้ยคะ
เราเลยยืนแสกนอุณหภูมิแล้วก็กรอกข้อมูลเช็กอินในเว็บไซต์รัฐบาลเพื่อที่จะเข้าห้าง
ละเงยหน้ามาเราก็เห็นอุณหภูมิบนจอแสดงตัวเลข 37.8
ยามก็มองหน้าค่ะ เราก็มองยามกลับ (สายตาสื่อกันแบบ ตาย*าละ 5555555)
แต่เค้าก็ให้เขาตามปกติค่ะ เย็นวันนั้นเราเลยแวะซื้อเจลลดไข้มาด้วย
จากนั้นยินยาหวัดและเข้านอนเร็วตามที่วางแผนไว้ค่ะ

- วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม

นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็รู้สึกปวดหัวหนักมากค่ะ
นั่งในห้องแอร์เหงื่อยังออก (แต่ไม่มาก)
เลยคิดไปเอง (อีกแล้ว) ว่านอนไม่พอ
เพราะยาหวัดนั้นแรงพอสมควร ปกติจะทำให้เราหลับได้ 9-10 ชั่วโมงเลยค่ะ
แต่วันนั้นเราตื่นเช้าเพราะต้องเคลียร์งาน
เลยบอกเพื่อนร่วมงานว่าวันนี้จะออกตรงเวลา เพราะรู้สึกไม่ค่อยดี
และเราก็แจ้งผู้จัดการล่วงหน้าไว้เลยค่ะว่ารู้สึกไม่ค่อยดี
วันอังคารอาจจะต้องไปคลีนิค ผู้จัดการก็สนับสนุนให้ไปค่ะ
เราเลยออกงาน (เกือบ) ตรงเวลาแล้วก็กินยาลดไข้ เข้านอน

- วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม

เช้ามาเราไม่รู้สึกร้อนแล้วค่ะ แต่คอยังเจ็บ
ใช้ที่วัดอุณหภูมิก็วัดได้แค่ 36.2 
เลยสบายใจขึ้นมากว่า เออ ไม่มีไข้แล้ว แต่จะไปหาหมอตรวจคอดู
เราเลยโทรหาคลินิคประจำและนัดเวลากับหมอค่ะ

ตกบ่ายพอไปถึงคลินิคแล้ว
พยาบาลวัดอุณหภูมิเราได้ถึง 37.6
ในใจเราก็แบบ เรือหายแล้ว  เม่าตาสว่าง
เพราะต้องขอยอมรับเลยค่ะว่าถ้ารู้ว่ามีไข้ หรือมีอาการที่ตรงกับ COVID-19 
เราจะยังไม่อยากมาหาหมอ เพราะมีงานต้องสะสางเยอะมากกกกก
และตั้งแต่โรคนี้ระบาด คลินิคโรงพยาบาลทุกแห่งจะต้องให้ MC ผู้ป่วยเป็นเวลา 5 วันค่ะ
ถ้ามีอาการเข้าข่ายโควิด จะได้รับจดหมายสั่งอยู่บ้าน (Stay Home Notice / SHN) ด้วย
เราเลยรู้ตัวเลยค่ะว่าซวยแน่นอน
*อย่าเอาเราเป็นแบบอย่างนะคะ หากท่านไหนมีอาการผิดปกติให้รีบไปตรวจเลยค่ะ พอดีเราคิดสั้น+กังวลเรื่องงานมากเกินไป*

พยาบาลเลยจดรายละเอียดข้อมูลอุณหภูมิและข้อมูลส่วนตัว / ประกัน / ทำแบบสอบถามว่าเราเคยพบปะ ูดคุย นัดเจอกับ confirmed cases บ้างไหม / เดินทางไปต่างประเทศภายใน 14 วันที่ผ่านมาไหม / ได้เดินทางไปยังจุดต่างๆ ที่มีผู้ติดเชื้อไหม

หลังจากนั้นไม่นาน พยาบาลได้เชิญเราเขาไปรอในห้องตรวจค่ะ
ต้องขออธิบายว่า คลีนิคนี้มีห้องตรวจสองห้อง ซ้ายและขวา
ปกติเวลาเรามาตรวจเราจะได้เข้าห้องซ้าย ซึ่งจะมีคุณหมอผู้ตรวจ
แต่เนื่องจากสถานการณ์นี้เขาเลยน่าจะแยกให้ผู้ป่วยอยู่ห้องขวา และหมออยู่ห้องซ้ายค่ะ
เราเข้าไปนั่งรอและพยายาลก็บอกว่าเดี๋ยวคุณหมอจะเรียก 
นั่งรอได้สักพักใหญ่ๆ คุณหมอก็โทรเข้าโทรศัพท์มือถือเราค่ะ (เก๋มาก)
หมอเลยสอบถามอาการ ช่วงเวลาที่มีอาการ และคำถามเกี่ยวกับการเดินทางเหมือนกับในแบบสอบถามค่ะ

หลังจากคุณหมอพิจารณาสักพักใหญ่ๆ ก็ได้เดินเข้ามาในห้องเรา วัดความดัน/อุณหภูมิ/ช่องคอ ค่ะ
จากนั้นหมอบอกกับเราว่า จะส่งเราไปศูนย์กักกันโรคค่ะ
เราแบบ "HUH??????" เต่าเอือม
คุณหมอเลยรีบอธิบายว่าจะให้เราไปตรวจน้ำมูก และ ช่องคอ (Swab test)
เนื่องจากเรามีอาการที่เข้าข่ายแล้ว 3 อาการ (ไข้/เจ็บคอ/น้ำมูก)
และเป็นมา 5 วันแล้ว แม้ไข้จะไม่ได้สูงมากแต่ไปตรวจไว้ก่อนจะดีกว่า
เราถามคุณหมอว่าเจาะเลือดไม่ได้เหรอ คุณหมอบอกว่าเขายังไม่รองรับการเจาะเลือดค่ะ
เรานั่งอึ้งอยู่ก็เออๆ ออๆไปค่ะ หมอเลยบอกว่าจะให้พยาบาลเขียน referral letter ให้แล้วก็ไปที่ศูนย์ทันที
ห้ามแวะที่ไหนเด็ดขาด และต้องอยู่ในห้อง 5 วัน
เราเลยถามหมอว่าถ้าตรวจเสร็จแล้ว แวะซื้อกับข้าวไม่ได้เลยเหรอคะ
หมอเลยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับข่าวที่มีคุณลุงแวะกินข้าวก่อนกลับบ้านหลังจากได้รับ SHN แล้วก็ถูกปรับไป $10,000 ตามระเบียบ
เม่าโศกเม่าโศกเม่าโศก

เราเลยขำแห้งไปแล้วก็นั่งรอจดหมายค่ะ พอได้จดหมายกับยาลดไข้และแก้เจ็บคอตามมาตรฐานแล้ว 
จึงรีบเรียกแท็กซี่มุ่งไปยัง NCID ค่ะ (National Centre for Infectious Diseases (NCID))



จากนั้นไม่นานก็ถึงที่หมายค่ะ เสียค่ารถไปประมาณ $10 เท่านั้น (?)
จากนั้นเราก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ค่ะ ว่ามาทำ swab test 
เขาจะชี้บอกทางค่ะว่าให้เข้าประตูไหน
เราก็เดินตามลูกศรไป จนเจอทางเข้าหนึ่ง
ข้างๆทางเราเห็นเขากั้นทางไว้ แล้วก็มีกลุ่มแรงงานต่างชาติโดนกักกันอยู่ค่ะ
เยอะพอสมควร ใส่ชุดคนป่วย ใส่หน้ากาก
นั่งดูทีวี กินข้าวกัน
คือดูก็รู้น่ะค่ะว่าคนพวกนั้นติดแน่นอน 
ไอ่เราก็ไม่มั่นใจว่าใช่ทางเข้านั้นมั้ย ยืนมองนานๆก็โดนตำรวจจ้อง
เลยโทรคุยรายงานอาการกับแฟนก่อนนิดนึง จากนั้นเลยเดินเข้าไปถามพี่ตำรวจค่ะ
ว่าทางเข้าอยู่ตรง สรุปอยู่เยื้องๆ กับเขตกักกันค่ะ เราเลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินไป

จากนั้นพี่ยามหน้าประตูก็นำทางเราไปต่อแถวเข้าโซนตรวจค่ะ



เรายื่นจดหมายให้ พวกพี่ๆผู้ช่วยก็จะกรูเข้ามาวัดไข้บ้าง ถามข้อมูลบ้าง วัดระดับออกซิเจนแล้วก็วัดความดันพร้อมกันหมดเลยค่ะ

จากนั้นเขาจะนำเราไปนั่งที่โต๊ะเหมือนโต๊ะทำข้อสอบ มีกระดาษแบบสอบถามและน้ำ 1 ขวดวางไว้
แต่ละโต๊ะจะห่างกัน 1 เมตร (ทั้งข้างหน้าและด้านข้าง) เพราะเหมือนพื้นที่ไม่พอ
หมอ พยาบาล และอาสาสมัครเดินกันให้วุ่นเลยค่ะ
เราก็เลยนั่งทำแบบสอบถามที่เขาให้ไว้บนโต๊ะแล้วก็รอเจ้าหน้าที่ค่ะ

นั่งๆอยู่ คนข้างๆก็โดนเรียกเข้าแอดมิทค่ะ 
หน้าเราตอนนั้นคือ เต่าเอือมเต่าเอือมเต่าเอือม (มันจะมาติดก็ตอนนั่งรอนี่แหละวะ)
พอคนนั้นลุกปุ๊บก็จะมีเจ้าหน้าที่รีบตรงเข้ามาทำความสะอาดที่นั่งทันทีค่ะ

นั่งเหวออยู่สักพักก็มีคุณหมอเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องมอนิเตอร์ใหญ่ๆ
ถามรายละเอียดส่วนตัว ส่วนมากจะเป็นคำถามเกี่ยวกับการเดินทางค่ะและที่พักอาศัยค่ะ
(อยู่บ้านแบบไหน คอนโดมีกี่คน แชร์ยูนิตกับใครบ้าง แต่ละคนอายุเท่าไหร่ ประกอบอาชีพอะไร เป็นต้น)
โดนถามบ่อยมาก แต่ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรนะคะ เพราะเข้าใจว่ามันมีผลมากๆ
จากนั้นอีกประมาณ 15 นาทีคุณหมอคนเดิมก็เดินมาหาอีกครั้งค่ะ มากับอุปกรณ์เก็บน้ำมูก
เขาก็อธิบายค่ะ ว่าจะทำอะไรบ้าง เราต้องทำอะไรบ้าง
เนื่องจากจขกทโดนเก็บน้ำมูกบ่อยๆเลยค่อนข้างชิน อีกทั้งยังรู้สึกว่าที่นี่เบามือกว่าที่ไทยอีก 
คุณหมอเลยเก็บจากคอ 1 ครั้ง แล้วก็จากรูจมูกสองข้างค่ะ

จากนั้นเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อแสกนปอดค่ะ



จากนั้นออกมานั่งรออีกครั้งค่ะ 
และเนื่องจากเวลาที่เราไปตรวจนั้นเป็นช่วงบ่าย
เขาเลยมีแจกอาหารให้กับพวกเราค่ะ
มีให้เลือกระหว่างข้าวกับโจ๊ก
จขกท.เลือกข้าวมาค่ะ



ตอนแรกนึกว่าข้าวผัด สรุปเป็นข้าวมันไก่ที่คลุกมาให้แล้ว เพี้ยนหัวเราะ


รสชาติก็จืดๆมันๆค่ะ เหมือนออกหวานนิดนึงน่าจะเป็นเพราะแครอท แต่เขาให้ค่ะ ห้ามบ่น เพี้ยนหลงรัก
ก่อนกินก็เช็คกับเจ้าหน้าที่ว่ากินได้เลยใช่ไหม ถอดหน้ากากได้ใช่ไหม
พี่พยาบาลก็บอกว่าได้ ตามสบายเลย แต่รีบกินรีบใส่หน้ากากเหมือนเดิมเพื่อความปลอดภัยของตัวเองนะ
เราก็เลยก้มหน้ากินข้าวดื่มน้ำไปค่ะ เพราะหิวมาก และปริมาณก็เยอะมากเช่นกัน จุกเลยทีเดียว
ไม่นานคุณหมอก็เดินมาค่ะ ก็ชวนคุยนู่นนี่ให้ผ่อนคลาย จากนั้นคุณหมอก็เปิดดูผลเอกซเรย์ปอด
หมอแจ้งว่าปอดเราปกติค่ะ หลังจากนี้เรากลับบ้านได้ ทางโรงพยาบาลจะออกจดหมายรับรองแพทย์ให้อีกครั้งพร้อมกับ จดหมาย SHN
คุณแจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับ SHN ว่าต้องอยู่ในห้องเท่านั้น ถ้าต้องออกไปที่ common area ในบ้านต้องใส่หน้ากาก 
ต้องมอนิเตอร์อาการตัวเองตลอด 5 วันนี้ สั่งอาหารได้แต่ต้องให้เขาวางไว้ที่ประตูเท่านั้นแล้วออกไปเอา
เราก็ตอบโอเคไปค่ะ เพราะโชคดีที่คอนโดห้องเช่าเรามีห้องน้ำในตัว อย่างมากแค่เดินไปที่ครัวเพื่อทำกับข้าวนิดนึงกับออกไปเอาเดลิเวอรี่ค่ะ

คุณหมอแจ้งว่า 

หากเราติดเชื้อ ทางโรงพยาบาลจะโทรหาเราภายใน 24 ชั่วโมงจากนี้ (ซึ่งก็คือภายใน วันพุธที่ 6 พฤษภาคม ไม่เกิน บ่าย3)
แต่หากเราไม่ติด เราจะได้รับ SMS แจ้งผล ภายใน 2-3 วัน ค่ะ

จากนั้นคุณหมอก็จะให้ใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลและจดหมายอยู่บ้านค่ะ


จากนั้นเราเลยตรงดิ่งกลับบ้าน
แจ้งครอบครัว แฟน ที่ทำงานและฝ่ายบุคคลถึงสถานการณ์ต่างๆ 
ทุกคนลุ้นมากค่ะ แต่ก็พยายามปลอบให้เราไม่เครียด นอนพักผ่อน ไข้จะได้หาย
คืนนั้นเราเลยกินยาที่หมอสั่งแล้วหลับไปค่ะ

- เช้าวันพุธที่ 6 พฤษภาคม

ที่บ้านกระหน่ำโทรมาตั้งแต่หกโมงเช้าค่ะ แต่พอดีตั้งโหมดห้ามรบกวนไว้เลยไม่ได้รับสายใดๆทั้งสิ้น
พ่อแม่ panic มากจนโทรไปหาคนนู้นคนนี้ เล่นใหญ่รุนแรงมาก 5555
เราก็รู้สึกกังวลอยู่นะคะ แต่แกล้งติดตลกไปจะได้ไม่เครียดกัน

จากนั้นไม่ถึง 30 นาที ก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาค่ะ
จู่ๆเหงื่อก็ออกเหมือนเปิดสวิตช์ เม่านอนไม่หลับ 
ใจเต้นรัวยิ่งกว่าตอนเจออปป้าหรือประกาศผลสมัครงานอีกค่ะ5555555555
เลยรับสายด้วยความคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นไปรษณีย์ก็ (แต่ก็ไม่ได้สั่งอะไรออนไลน์)
ก็ฮัลโหลไปค่ะ
เสียงปลายสายเป็นเสียงผู้หญิง ในใจก็คิดว่าเสียงเหมือนคุณหมอที่คลินิคเมื่อวานเลยน้าาาาาาา

หมอก็บอกว่า "ขอคุยกับคุณ (ชื่อจขกท) ค่ะ"
"พูดอยู่ค่ะ....... เพี้ยนสะอื้น"

"เป็นไงบ้าง อันนี้หมอ H จากคลินิคเองนะ"

"สะ..สบายดีค่ะ" น้ำตาเกือบไหลแล้วค่ะ5555

"โอเค พอดีหมอไป tracing มา..."

แล้วคุณหมอก็หยุดสักพักค่ะ
ในใจเราคือแบบ เกมแล้ว กูเกมแล้ว
ถ้าหมอทำ tracing คือแสดงว่าต้องไปเช็คประวัติเดินทาง เข้าออก นู่นนี่นั่น ในใจคือแพ็คกระเป๋าเตรียมขึ้นรถแล้วค่ะ

แล้วจู่ๆหมอก็ต่อประโยคค่ะ ว่า

---- ต่อ คห. 1 นะคะ  ----
- มีแก้คำผิดค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่