บางที อาจเป็นภาวะที่ใกล้เคียงที่มนุษย์ทั่วไปสามารถเข้าใจ ในปัจจุบันมากที่สุดก็คือ
ภาวะ
ควอนตัม ซึ่งเป็นภววะที่มีตัวตนอยู่ในทั้ง 2 ที่พร้อมกัน หรือไม่มีเลย เป็นได้ทั้ง
ขาว และ ดำ ในเวลาเดียวกัน และไม่เป็นอะไรเลย
และหากสมองของคนที่เข้าสู่ ภาวะ นิพาน = สมองที่เข้าสู่ภาวะ ควอนตัม
ก็อาจหมายถึง พระพุทธเจ้า คือคนที่มีสมองฉลาดที่สุด ในโลกที่เคยเกิดมา
ปล.อ้างอิงจากความคิดที่ว่า
การทำสมาธิโดยไม่ให้จิต ไม่ไปปรุ่งแต่งสิ่งใด หรือ จิต เห็นจิต ของหลวงพ่อ ...ผมจำชื่อท่านไม่ได้ แต่พระดัง แถบอีสาน
ก็คล้ายกับ สภาวะนี้
คือ จิตที่ไม่เป็นขาวไม่เป็นดำ หรือ จิต ที่เป็นจิต
เมื่อเกิดการปรุงแต่งก็ให้มันปรุ่งแต่ง แต่อย่าเอาจิตนั้นไปจับว่า เป็นทุขก์ หรือสุข
คือ จิตเห็น จิต เพ่งพินิจด้วยจิตว่าง เห็น ความเกิดแห่งจิตแล้วความดับแห่งจิต
โดยไม่ยึด หรือปรุงมันเป็นอย่างอื่น
การทำสามธิของผม คือการพินิจจิต คือปล่อยให้จิตมันฟุ่งต้ามแต่อารมณ์ แห่งมัน
แล้วผมก็พิจารณ์มัน ไม่ว่าจิตมันจะปรุงให้เห็นภาพแห่งความสุขเพียงใด
ในขนะนั้นผมไม่มีความยินดี หรือสุขจากภาพที่จิตปรุงขึ้น ผมเห็นเพียง การเกิดแห่งจิต
แล้วซักพักก็ดับ ไป
ความทุขก์ก็เช่นกัน
ในสภาวะนั้นที่ผมสัมผัส ถ้สจะอธิบายให้คนทั่ไม่เคยปฎิบัติธรรมเข้าใจ ภาวะ ควอนตัม ผมว่าใกล้เคียง
แต่บางคนอาจะมองว่าเป็นการเพ้อเจอ
แต่ถ้าคุณลองฝึกสมาธิ ด้วยวิธีนี้อย่างผม
เราลองมาคุยกันอีกทีว่ามันไกล้เคียงหรือเปล่า
ที่ผมสรุป อย่างนั้น เพราะ สภาวะ เมื่อเข้าสมาธิ ในความรู้ของผม มันใกล้เคียง อยู่นะครับ หรือ ผมเข้าใจผิด
พิพาน คือ อัตตา หรืออนัตตา บางทีอาจไม่ใช้ทั้ง 2 แล้วคือ... และพระพุทธเจ้า คือคนที่ฉลาดที่สุดที่เคยเกิดมา
ภาวะ ควอนตัม ซึ่งเป็นภววะที่มีตัวตนอยู่ในทั้ง 2 ที่พร้อมกัน หรือไม่มีเลย เป็นได้ทั้ง
ขาว และ ดำ ในเวลาเดียวกัน และไม่เป็นอะไรเลย
และหากสมองของคนที่เข้าสู่ ภาวะ นิพาน = สมองที่เข้าสู่ภาวะ ควอนตัม
ก็อาจหมายถึง พระพุทธเจ้า คือคนที่มีสมองฉลาดที่สุด ในโลกที่เคยเกิดมา
ปล.อ้างอิงจากความคิดที่ว่า
การทำสมาธิโดยไม่ให้จิต ไม่ไปปรุ่งแต่งสิ่งใด หรือ จิต เห็นจิต ของหลวงพ่อ ...ผมจำชื่อท่านไม่ได้ แต่พระดัง แถบอีสาน
ก็คล้ายกับ สภาวะนี้
คือ จิตที่ไม่เป็นขาวไม่เป็นดำ หรือ จิต ที่เป็นจิต
เมื่อเกิดการปรุงแต่งก็ให้มันปรุ่งแต่ง แต่อย่าเอาจิตนั้นไปจับว่า เป็นทุขก์ หรือสุข
คือ จิตเห็น จิต เพ่งพินิจด้วยจิตว่าง เห็น ความเกิดแห่งจิตแล้วความดับแห่งจิต
โดยไม่ยึด หรือปรุงมันเป็นอย่างอื่น
การทำสามธิของผม คือการพินิจจิต คือปล่อยให้จิตมันฟุ่งต้ามแต่อารมณ์ แห่งมัน
แล้วผมก็พิจารณ์มัน ไม่ว่าจิตมันจะปรุงให้เห็นภาพแห่งความสุขเพียงใด
ในขนะนั้นผมไม่มีความยินดี หรือสุขจากภาพที่จิตปรุงขึ้น ผมเห็นเพียง การเกิดแห่งจิต
แล้วซักพักก็ดับ ไป
ความทุขก์ก็เช่นกัน
ในสภาวะนั้นที่ผมสัมผัส ถ้สจะอธิบายให้คนทั่ไม่เคยปฎิบัติธรรมเข้าใจ ภาวะ ควอนตัม ผมว่าใกล้เคียง
แต่บางคนอาจะมองว่าเป็นการเพ้อเจอ
แต่ถ้าคุณลองฝึกสมาธิ ด้วยวิธีนี้อย่างผม
เราลองมาคุยกันอีกทีว่ามันไกล้เคียงหรือเปล่า
ที่ผมสรุป อย่างนั้น เพราะ สภาวะ เมื่อเข้าสมาธิ ในความรู้ของผม มันใกล้เคียง อยู่นะครับ หรือ ผมเข้าใจผิด