การที่คนอยู่บนรถเมล์ที่แออัด นี้น่ากลัวกว่า ไปต่อแถวรับข้าว ที่ฮือฮาช่วงเดือนก่อน
หรือ แม้นกระทั้งน่ากลัวกว่าการเข้าใช้สถานที่ที่รัฐอนุญาตให้เปิดในเดือนนี้เสียอีก
แต่ไม่มีผู้บริหารใดพูดถึง หรือ เพราะว่าไม่ได้มองถึงระดับปฏิบัติการ มองแบบจากบนลงล่างอย่างเดียว
จริงๆ ถ้าคุมการบริหารรถไม่ให้คนแน่นไม่ได้ ควรหาวิธีลดจำนวนคนในการใช้รถสาธารณะ เพื่อลดโอกาศการใกล้ชิดกันให้มากที่สุด
ไม่งั้นกลไก เว้นระยะห่างจะใช้ไม่ได้ผล และ เพิ่มโอกาสการติดเชื้อแบบโดนที่เกือบทั้งคันรถ !
เช่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ราชการรัฐวิสาหกิจ ให้เปิดทำการวัน เสาร์ อาทิตย์ และ เลือกมา อีกสองวัน ใน วัน จันทร์ ถึง ศุกร์
คือ ราชการรัฐวิสาหกิจจะทำงาน 4 วัน จากเดิม 5 วัน โดย ทำเพิ่มวันละ 1.5 ชม โดยประมาณ เพื่อชดเชย 1 วันที่หายไป
สิ่งที่ได้คือ
1.วันเสาร อาทิตย์ เอกชนไม่ทำงานโดยส่วนใหญ่ ดังนั้นมีแต่ราชการรัฐวิสาหกิจมาทำ รถเมล์คนจะใช้น้อยลงเทียบกับวัน จ - ศ
2.แบ่งราชการรัฐวิสาหกิจ เป็น 5 กลุ่ม แต่ละหน่วยงานเลือกวันทำงาน 2 วัน จาก 5 วัน
ตย. จ-อ อ-พ พ-พฤ พ-ศ ศ-จ หากแบ่งได้สมดุลย์ นั้นหมายถึง วัน จ - ศ
จะมีคนไปทำงาน = พนักงานเอกชน + 40% ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ
แต่หากโดยรัฐคง Work from home ประมาณ ครึ่งนึงของแต่ละหน่วยงาน จะได้
คนไปทำงานในวัน จ-ศ = พนักงานเอกชน + 20% ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ เท่านั้น คล้ายกับวันหยุดนักขัตฤกษ์นั้นเอง
ถ้ารัฐคุมความแออัดบนรถเมล์ไม่ได้ กลไกเว้นระยะห่าง ก็จะใช้ไม่ได้ผลเลย
หรือ แม้นกระทั้งน่ากลัวกว่าการเข้าใช้สถานที่ที่รัฐอนุญาตให้เปิดในเดือนนี้เสียอีก
แต่ไม่มีผู้บริหารใดพูดถึง หรือ เพราะว่าไม่ได้มองถึงระดับปฏิบัติการ มองแบบจากบนลงล่างอย่างเดียว
จริงๆ ถ้าคุมการบริหารรถไม่ให้คนแน่นไม่ได้ ควรหาวิธีลดจำนวนคนในการใช้รถสาธารณะ เพื่อลดโอกาศการใกล้ชิดกันให้มากที่สุด
ไม่งั้นกลไก เว้นระยะห่างจะใช้ไม่ได้ผล และ เพิ่มโอกาสการติดเชื้อแบบโดนที่เกือบทั้งคันรถ !
เช่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้