มิตรรัก นักแฟนตาซี : EP 41 เทียบเคสบุนเดส, กัลโช่, ลีกดัทช์ กับไทม์ไลน์พรีเมียร์ ที่คาดว่ากลับมาเตะ!

ยังคงอยู่ในช่วงล็อคดาวน์กันในทุกประเทศใหญ่ๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นส่วนของประชาชนทั่วไป หรือในแวดวงฟุตบอล ซึ่งอย่างหลัง หลายประเทศเริ่มมีการขยับขยาย และเห็นทิศทางต่อไปกันบ้างแล้ว

กัลโช่ เซเรีย อา ที่ยูเวนตุส กับลาซิโอ แต้มเบียดสูสี เป็นลีกล่าสุดที่ขยับตัว จะกลับมาเตะ

ใน EP นี้ เราเลยจะมาสรุปเคสกันหน่อย ถึงสิ่งที่บุนเดสลีก้า, กัลโช่ เซเรีย อา และเอเรดิวิซี่ ลีกดัทช์ เลือกทำ ซึ่งอาจจะเป็นแบบอย่างต่อลีกอื่น ก่อนที่เราจะว่ากันในส่วนของพรีเมียร์ลีกอีกหน เพราะสื่อเขาก็เริ่มวางไทม์ไลน์ออกมาแล้ว ว่าหากฟุตบอลเมืองผู้ดีจะกลับมาเตะ เมื่อไหร่จะทำอะไรบ้าง

การตัดสินใจของลีกใหญ่

เป็นข่าวออกมารัวๆ เมื่อช่วงไม่ถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงการกำหนดทิศทางเป็นเรื่องเป็นราวของหลายลีกใหญ่ โดยเป้าหมายหลักคือพยายามขจัดความคาราคาซังของซีซัน 2019/20 เพราะปล่อยเวลาให้นานไป ก็ยิ่งหาทางจบฤดูกาลยาก และส่งผลกระทบไปถึงซีซันหน้าแน่นอน

“บุนเดสลีก้า” เยอรมัน และ “กัลโช่ เซเรีย อา” อิตาลี ออกมาตรการไปในทิศทางเดียวกัน คือทางลีกได้กำหนดไทม์ไลน์ในการกลับมาเตะออกมา ทั้งระยะเวลากลับมาซ้อม, ระยะเวลาการเตะให้จบ, มาตรการป้องกันระหว่างเล่น รวมถึงมาตรการตรวจเชื้อผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกฝ่ายมั่นใจ และไม่เพิ่มภาระให้ประเทศตนเอง

บุนเดสลีก้า ถือเป็นลีกใหญ่แรกที่ออกมาตรการกลับมาเตะชัดเจน และน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี

บุนเดสลีก้าเป็นลีกที่ขยับตัวก่อน เพราะเริ่มมีการให้นักเตะกลับมาซ้อมแบบ “Social Distancing” ก่อนหน้านี้แล้ว เลยขยับออกกำหนดการกลับมาเตะ 9 พ.ค. ถึงปลายเดือน มิ.ย. โดยเป็นการแข่งขันแบบปิดสนาม จำกัดผู้เกี่ยวข้องในวันแข่ง และมีมาตรการเข้มข้นในการทดสอบการติดเชื้อ รวมถึงการปฏิบัตตัวของนักเตะแต่ละคน

เช่นเดียวกับเซเรีย อา อิตาลี ที่ออกแผนคล้ายกัน แต่จะกลับมาเตะช้าหน่อย ประมาณปลายเดือน พ.ค. หรือต้นเดือน มิ.ย. เพื่อให้ซีซันจบประมาณต้นเดือน ส.ค. ซึ่งแม้จะช้า แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้แมทช์ที่เหลือถึง 12-13 แมทช์ ค้างเติ่งอยู่

กัลโช่ เซเรีย อา วางแผนจะกลับมาเตะเช่นกัน โดยรูปแบบปิดสนาม จำกัดผู้เกี่ยวข้อง

อีกข้อที่น่าสนใจ คือทั้ง 2 ลีกใหญ่ วางมาตรการของตัวเองให้กลับมาเตะ แม้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ กำหนดการห้ามไม่ให้จัดกิจกรรมที่มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก ถึงเดือน ก.ย. หรือ ต.ค. นู่น

กลับกันหากมองไปที่ “เอเรดิวิซี่” ลีกของฮอลแลนด์ ที่แม้จะเหลือการแข่งขันอีกประมาณ 9 นัด แต่ตัดสินใจ “ยกเลิก” ซีซัน 2019/20 ไปเรียบร้อย โดยไม่มีการมอบแชมป์ และไม่มีทีมขึ้นชั้น-ตกชั้น แต่ยังคงให้สิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลยุโรปซีซันหน้า ตามอันดับล่าสุด

อาแหยกซ์ และเอแซด อัลค์มา ซึ่งแต้มเท่ากันอยู่หัวตาราง ได้สิทธิ์ไปเตะ UCL

ซึ่งการตัดสินใจของสมาคมบอลดัทช์ ถือเป็นมุมมองต่อปัญหาที่แตกต่างกับอิตาลี และเยอรมันแบบสุดขั้ว ทั้งที่สถานการณ์ติดเชื้อไม่ได้แย่กว่า และรัฐบาลก็ประกาศไม่ให้จัดงานที่รวมผู้คนไม่ต่างช่วงกัน (เยอรมันประกาศไว้ไกลกว่าฮอลแลนด์ด้วยซ้ำ)

ซึ่งการตัดสินใจแบบนี้ของเอเรดิวิซี่ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย โดยเฉพาะความไม่พอใจของทีมที่เสียผลประโยชน์ เช่น “คัมบูร์” ทีมจ่าฝูงในลีกรอง ที่โกยแต้มจนนอนมาเลื่อนชั้นแน่ๆ แต่กลับสูญเปล่า เล่นเอาโกรธจนควันออกหู ออกมาสัมภาษณ์ดุดัน

“เฮงค์ เด ยอง” กุนซือคัมบูร์ ออกมาจวกการยกเลิก ว่าน่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์

ซึ่งนอกเหนือจากคัมบูร์แล้ว ทีมอันดับ 2 ลีกรองอย่าง “เด กราฟส์ชับ” ที่ทำแต้มเหนือโซนเพลย์ออฟ 7 คะแนน ก็รู้สึกว่าไม่แฟร์เช่นกัน จนประธานสโมสรของพวกเขา เตรียมหารือกับประธานคนอื่น เพื่อกำหนดข้อเรียกร้องต่อไป

หรือ “อูเทรชท์” ทีมอันดับ 6 ซึ่งยังมีโอกาสดีลุ้นไปเล่นยูโรป้า ลีก เพราะนอกจากตามหลังทีมอันดับ 5 (ที่ได้โควตายูโรป้า) แค่แต้มเดียว แต่มีนัดตกค้าง 1 นัดในมือ และมีประตูได้-เสียมากกว่า 13 ลูก พวกเขายังมีนัดชิงฟุตบอลถ้วยกับเฟเยนอร์ด รออยู่ด้วย ยกเลิกแบบนี้ ถือว่าทุกอย่างกลายเป็นศูนย์

อูเทรชท์ กลายเป็นทีมที่น่าเห็นใจที่สุด จากการประกาศยกเลิกของเอเรดิวิซี่

ยังไม่รวมถึงอารมณ์ร่วมของนักเตะหลายราย อย่าง “ฮาคิม ซิเย็ค” จอมทัพของอาแหยกซ์ ที่นำจ่าฝูงเบียดกับเอแซด อัลค์มา ด้วยแต้มเท่ากัน และนำแค่จากประตูได้-เสีย ก็ออกมาบอกว่าอยากลุ้นคว้าแชมป์ด้วยการลงเล่นมากกว่า ยิ่งเป็นซีซันสุดท้ายของเขากับยอดทีมดัทช์ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมเชลซี ซีซันหน้า

กรณีศึกษาจากลีกใหญ่

แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของทุกลีก คืออยากให้สถานการณ์กลับมาปกติโดยเร็ว ไม่ว่าจะเรื่องการระบาด, ความปลอดภัย หรือการเดินหน้าต่อของฟุตบอล แต่ในเมื่อมันยังไม่เห็นหนทางกลับมาได้ 100% แบบนั้น การหาทางเดินหน้าจึงจำเป็น

ด้วยสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะปลอดภัย 100% เมื่อไหร่ การตัดสินใจจึงมีส่วนสำคัญ

ก่อนนี้ เราจะเห็นทุกลีกมุ่งเป้าหวังจะกลับไปเตะ แต่ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ดังนั้น การตัดสินใจที่ดูแข็งแรง และมีประสิทธิภาพของลีกเมืองเบียร์ จึงเป็นใบเบิกทางที่น่าสนใจ แม้สถานการณ์โดยรวมของผู้ติดเชื้อในประเทศยังไม่ถึงกับดีนัก

วิธีการซ้อมแบบ Social Distancing และการกำหนดมาตรฐานการตรวจเชื้อของผู้เกี่ยวข้องก่อนแต่ละแมทช์จะเริ่ม ทำให้ชาติอื่นได้เห็นแนวทาง และประเมินงบประมาณ กับชุดตรวจเชื้อ ให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งอิตาลี และสเปน ก็พิจารณาในมาตรฐานแบบเดียวกัน

ภาพตัวอย่างน่ารักๆ ของบุนเดสลีก้า กับไอเดียการทดแทนการขาดหายของผู้ชมในสนาม

กลับกันหากหันไปมองลีกดัทช์ ซึ่งแม้จะดูเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทุกสิ่ง ด้วยการประกาศยกเลิก แต่ปัญหาในเรื่องความยุติธรรม กลับถูกตั้งคำถามขึ้นอย่างชัดเจน จนเริ่มเป็นเสียงด้านลบที่กลบด้านบวกไปจนหมด

จุดที่ลีกดัทช์บริหารได้ไม่ดี จุดแรกคือการตัดสินใจ ที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับผลโหวต ถึงผลโหวตให้มีการขึ้นชั้น-ตกชั้น จะมากกว่าอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ โดยอ้างเหตุผล ปัดทางเลือกที่จะเพิ่มทีมเข้ามาในลีก (มีเลื่อนชั้น แต่ไม่มีตกชั้น) แค่ว่ากลัวโปรแกรมซีซันหน้า แน่นเกินไป

เอดีโอ เดน ฮาก ที่มี “อลัน พาร์ดิว” คุมทีมอยู่ จะรอดตกชั้นจากการยกเลิกแข่งต่อ

เพราะหากมองไปที่ท้ายตาราง 2 อันดับสุดท้าย ซึ่งโอกาสรอดริบหรี่ อย่างเดน ฮาก และวาลไวค์ อยู่ห่างโซนเพลย์ออฟหนีตกชั้นถึง 7 และ 11 แต้มตามลำดับ กลับโชคดีได้เล่นลีกสูงสุดต่อ กลับกันคัมบูร์ที่โกยแต้มนำโซนเพลย์ออฟในลีกล่าง อยู่ถึง 11 แต้ม กลับโชคร้ายไม่ได้เลื่อนชั้น ซะอย่างนั้น

อีกจุดคือการตัดสินใจเรื่องตัดจบ ทั้งๆ ที่ยังมี 4 ทีมที่แข่งน้อยกว่าทีมอื่นอยู่ 1 นัด แล้วดันมีทีมอย่างอูเทรชท์ ที่นัดตกค้างนั้นอาจมีผลต่ออันดับชัดเจน ตรงนี้ก็ไม่เคลียร์

ซึ่งหากประเทศอื่นจะเลือกวิธีการตัดจบแบบนี้อีก ควรจะต้องระมัดระวังรายละเอียดตรงนี้ให้ดี มิเช่นนั้นการอ้างว่าเพื่อส่วนรวม อาจจะกลายเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักไม่เพียงพอ หากมันขัดต่อความยุติธรรมขึ้นมา

(ขออนุญาตไปต่อกันที่คอมเมนท์นะฮะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่