สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
บอกเลยว่าพูดไปก็ไม่เข้าหัวคนพวกนี้(ส่วนใหญ่)หรอกครับ
เพราะมันจะมีข้ออ้างเสมอ
-สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน หากินยาก จะมีเงินเก็บได้ไง
-ไม่มีภาระเหมือนเขาไม่รู้หรอกเลยมาพูดได้
-เงินของเขาแต่ไปหนักหัวคนอื่น(อันนี้ผมโคตรเกลียดเลย พูดแบบมักง่าย พอเดือดร้อนจะเป็นจะตายขึ้นใครสุดท้ายใครช่วย เงินภาษีของคนอื่นไง)
เยอะแยะครับ คือคนพวกนี้มีปัญหาตั้งแต่มายเซ็ทแล้ว คิดอย่างเดียวว่าได้เงินมาแล้วจะทำยังไงให้ใช้ให้หมดไป ผมเคยเจอคนใกล้ตัว ตั้งแต่ยังสาวเรียกว่า มีน้อยใช้น้อยมีมากใช้มาก บางทีได้เงินมาสองสามพัน ก็ตะบี้ตะบันต้องใช้ให้หมดวันนั้นเลย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ คนพวกนี้มีจริงๆครับ
เพราะมันจะมีข้ออ้างเสมอ
-สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน หากินยาก จะมีเงินเก็บได้ไง
-ไม่มีภาระเหมือนเขาไม่รู้หรอกเลยมาพูดได้
-เงินของเขาแต่ไปหนักหัวคนอื่น(อันนี้ผมโคตรเกลียดเลย พูดแบบมักง่าย พอเดือดร้อนจะเป็นจะตายขึ้นใครสุดท้ายใครช่วย เงินภาษีของคนอื่นไง)
เยอะแยะครับ คือคนพวกนี้มีปัญหาตั้งแต่มายเซ็ทแล้ว คิดอย่างเดียวว่าได้เงินมาแล้วจะทำยังไงให้ใช้ให้หมดไป ผมเคยเจอคนใกล้ตัว ตั้งแต่ยังสาวเรียกว่า มีน้อยใช้น้อยมีมากใช้มาก บางทีได้เงินมาสองสามพัน ก็ตะบี้ตะบันต้องใช้ให้หมดวันนั้นเลย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ คนพวกนี้มีจริงๆครับ
ความคิดเห็นที่ 8
เดี๋ยวก็จะมีคนเข้ามาถากถางจขกท.อีกว่าพื้นฐานชีวิตคนไม่เท่ากัน อันนี้คืองงมาก เห็นหลายกระทู้แล้ว พอมีคนแนะนำเรื่องเก็บเงินทีไรต้องมีคนมาดิ้นทุกที ไม่เข้าใจ เก็บเงินจะน้อยจะมากก็ควรเก็บ มันไม่ใช่เรื่องของคนรวย แต่เป็นเรื่องของคนที่มีวินัย จะอ้างว่าภาระเยอะ มีลูกต้องเลี้ยง มีรถต้องผ่อน แล้วสร้างภาระขึ้นมาทำไมถ้ารู้ว่าตัวเองไม่พร้อม และตราบใดที่ยังซื้อของฟุ่มเฟือย เครื่องสำอาง รถ ชาไข่มุก เหล้า เสื้อผ้าใหม่ ฯลฯ แล้วอ้างความจนทำให้เก็บเงินไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ และเรื่องเก็บเงินนี่บางทีก็เป็นเรื่องของจิตสำนึกนะ บางคนเราอุตส่าห์แนะนำแทบตาย กลับฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พอถึงเวลาก็มาบ่นว่าไม่มีเงิน
ความคิดเห็นที่ 46
เราเกิดมาครอบครัวแรงงานก่อสร้างที่ต้องเร่ร่อนไปทั่ว
เกิดมาฝาบ้านเป็นสังกะสี พื้นไม้อัด4แผ่น/1ครอบครัว คนโสดเอาไป2แผ่นพอ พร้อมย้ายถิ่นทุกเวลา
ป1-6 ย้าย ร.ร. 13ครั้ง11แห่ง (( ถ้าใครจะเอาข้อพื้นฐานคนเราไม่เท่ากัน ให้อ่าน ของเราก่อน))
ตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่า เราต้องมีบ้าน เราต้องมีเงิน เราต้องไม่นอนสังกะไปแบบนี้ ตลอดชีวิต
ม.ต้นไม่ได้เรียน ต้น จบ.ป6 ก็ไปรับจ้างเป็นกรรมกร หิ้วถังปูน ให้ช่าง ก่อฉาบ. เวลาว่าง( ตอนไหนว่ะ ?? เอาน่า มันต้องว่างสิ) รับจ้าง ซักกาวเกงให้ช่างสี ซักมือนะ อย่าคิดจะได้ซักเครื่อง เกงช่างสีมันเลอะมาก และช่างสี ส่วนมากจะเป็น ชาย หนุ่ม ส่วนมากจะขี้เกียจซักเอง
สิ่งที่เห็นจนชินตาและ เฮ้อกะชีวิตคือ บรรดา ลุงๆป้าๆ
พอเลิกงานกลับแคมป์ จะมาเซ็นเหล้า (( ส่วนมากร้านค้า จะแทบผูกขาดกับเมีย ผรม. เพราะทุนเยอะ))
เมา ตีกัน เวลาเงินเดือนออก ออกทุกๆ15วัน หักลบกลบเหล้าแล้ว เหลือไม่กี่บาท จากนั้นก็ มาเซ็นเหล้าต่อ วนลูปไป
เราค่อนข้างโชคดี ตรงที่ พ่อแม่ไม่มีใครกินเหล้า
แต่เงินก็ไม่เหลือนะ เพราะเลี้ยงลูก2คน เรากับน้องห่างกัน 3ปีกว่า.
พออายุ 15 ได้มาเป็นสาวรำวง เอ้ย!!
ออกจากงานก่อสร้าง แล้วไปทำงานเป็น มาร์คกี้
ที่นั่นมีห้องฟรี น้ำไฟฟรี จ่ายแค่ค่าข้าว ได้ทิป อย่างน้อย 50-100 บาท (เงินเดือน3000฿)
เราก็เก็บเล็กผสมน้อย จนอายุ17 เพื่อนชวนมาทำร้านอาหารญี่ปุ่นที่ ศรีราชา. (ญาติเพื่อน ทำงานอยู่นั่น)
เราเลยลาออก จากการเป็นมาร์คกี้
ย้ายตัวเองไปศรีราชา ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่า ศรีราชาอยู่ส่วนไหนของโลก
เราก็เก็บ ใช้ทิปเป็นค่าข้าว ค่าเดินทาง เงินเดือน 3000 จ่ายค่าห้อง หารกับเพื่อน จนมีเงินเก็บ 1 ก้อน ไม่มากไม่น้อย.
จนอายุ 18 เพื่อนชวนไปเรียน กศน จบ ม.ต้น และ ต่อ ปวช. ก็ส่งตัวเองเรียน
เวลากลางวัน ส อ แอบเอา ใบปลิว ไปสอดตามคอนโด
ที่มีคนญี่ปุ่น อยู่คนเดียว (( ไม่เกี่ยวกับ คนที่มาเป็นครอบครัวหรือ พักโรงแรม )). ก็ทำรายได้ดีงาม
ในงาน ทำความสะอาด เก็บผ้าไปซักให้ กวาดถู เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ถ้าใครไม่มีเครื่องซักผ้า เราก็เอา ผ้าลูกค้า ไปให้ ร้าน ซักรีดจัดการ โดยที่เรา เพิ่มค่าจ้าง
(( คนพวกนี้ ที่มาโสดๆ (โสดเฉพาะตอนมาไทย) เงินเบี้ยเลี้ยงมีเยอะพอจึงจ่ายแบบ 😝))
รายได้ดีงาม ตอนเย็นก็ไปเสริฟอาหารต่อ
เหนื่อย แต่ เวลาเห็นยอดเงินใน บช แล้วมัน ชื่นจาย
อายุ 24 มีเงินเก็บ พอจนสร้างบ้านได้ ในเมื่อพ่อแม่เป็นช่างก่อสร้าง พ่อกับแม่ 2 คนช่วยกันสร้าง จ้างแค่ช่วงที่ต้องใช้แรงเยอะ นอกนั้น 2คนก็ช่วยกัน บ้านหลังแรก ที่ทนแดด ทนฝน ได้ เล็กๆน่ารักๆ งบ4แสน ระยะสร้าง9เดือน!!
หลังจากสบายใจเรื่องบ้านแล้ว จากนี้ก็เป็นชีวิตของเรา
ทำงาน เก็บเงิน สักพัก เริ่มรู้สึกว่า เราไม่อยากกลับไปอยู่บ้านนอก เพราะอยู่ ศรีราชา 10 ปี มีแต่เพื่อนดีๆ
เราจัดการเงินเป็น3 ส่วน
ส่วนที่1 ค่าใช้จ่าย ค่าห้องอาหาร และ อื่นๆ
ส่วนที่ 2 คิดว่าซะ เงินนั้นทิ้งไป คือเงินส่วนที่ ให้พ่อแม่
ส่วนที่3 อนาคตในวัยชรา ที่ต้องอยู่ได้โดยไม่ต้องคิดถึง
การเลี้ยงดูจากลูกหลาน
ปัจจุบัน มีบ้านปลอดภาระ มีเงินเก็บ1ส่วน
และ เปลี่ยนจาก 3ส่วน เป็น4ส่วน
1 ค่าใช้จ่ายค่ากิน
2 เงินทิ้งเหมือนเดิม คือ ให้พ่อแม่
3 เงินอนาคต ยามชรา
4 เงินเที่ยว ตามใจฉัน ทั้งในและนอกประเทศ
( ในเมื่อไร้ภาระเรื่องบ้าน เราก็ เอาเงินนั้นมาเติมเต็มชีวิตวัย ที่ไม่ได้ใช้ในช่วงวัยรุ่น
ปัจจุบัน ทำงานพาร์ทไทม์ เพราะมีลูกด้วย ลูกเพิ่ง8 ขวบ จึงทำเต็ม และ ประจำไม่ได้
เราไม่ได้ มารีวิวชีวิต แค่อยากมาบอกว่า ความฝันคืออะไร แล้วเราจะจัดการ จัดสรรเงิน อย่างไร
เกิดมาฝาบ้านเป็นสังกะสี พื้นไม้อัด4แผ่น/1ครอบครัว คนโสดเอาไป2แผ่นพอ พร้อมย้ายถิ่นทุกเวลา
ป1-6 ย้าย ร.ร. 13ครั้ง11แห่ง (( ถ้าใครจะเอาข้อพื้นฐานคนเราไม่เท่ากัน ให้อ่าน ของเราก่อน))
ตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่า เราต้องมีบ้าน เราต้องมีเงิน เราต้องไม่นอนสังกะไปแบบนี้ ตลอดชีวิต
ม.ต้นไม่ได้เรียน ต้น จบ.ป6 ก็ไปรับจ้างเป็นกรรมกร หิ้วถังปูน ให้ช่าง ก่อฉาบ. เวลาว่าง( ตอนไหนว่ะ ?? เอาน่า มันต้องว่างสิ) รับจ้าง ซักกาวเกงให้ช่างสี ซักมือนะ อย่าคิดจะได้ซักเครื่อง เกงช่างสีมันเลอะมาก และช่างสี ส่วนมากจะเป็น ชาย หนุ่ม ส่วนมากจะขี้เกียจซักเอง
สิ่งที่เห็นจนชินตาและ เฮ้อกะชีวิตคือ บรรดา ลุงๆป้าๆ
พอเลิกงานกลับแคมป์ จะมาเซ็นเหล้า (( ส่วนมากร้านค้า จะแทบผูกขาดกับเมีย ผรม. เพราะทุนเยอะ))
เมา ตีกัน เวลาเงินเดือนออก ออกทุกๆ15วัน หักลบกลบเหล้าแล้ว เหลือไม่กี่บาท จากนั้นก็ มาเซ็นเหล้าต่อ วนลูปไป
เราค่อนข้างโชคดี ตรงที่ พ่อแม่ไม่มีใครกินเหล้า
แต่เงินก็ไม่เหลือนะ เพราะเลี้ยงลูก2คน เรากับน้องห่างกัน 3ปีกว่า.
พออายุ 15 ได้มาเป็นสาวรำวง เอ้ย!!
ออกจากงานก่อสร้าง แล้วไปทำงานเป็น มาร์คกี้
ที่นั่นมีห้องฟรี น้ำไฟฟรี จ่ายแค่ค่าข้าว ได้ทิป อย่างน้อย 50-100 บาท (เงินเดือน3000฿)
เราก็เก็บเล็กผสมน้อย จนอายุ17 เพื่อนชวนมาทำร้านอาหารญี่ปุ่นที่ ศรีราชา. (ญาติเพื่อน ทำงานอยู่นั่น)
เราเลยลาออก จากการเป็นมาร์คกี้
ย้ายตัวเองไปศรีราชา ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่า ศรีราชาอยู่ส่วนไหนของโลก
เราก็เก็บ ใช้ทิปเป็นค่าข้าว ค่าเดินทาง เงินเดือน 3000 จ่ายค่าห้อง หารกับเพื่อน จนมีเงินเก็บ 1 ก้อน ไม่มากไม่น้อย.
จนอายุ 18 เพื่อนชวนไปเรียน กศน จบ ม.ต้น และ ต่อ ปวช. ก็ส่งตัวเองเรียน
เวลากลางวัน ส อ แอบเอา ใบปลิว ไปสอดตามคอนโด
ที่มีคนญี่ปุ่น อยู่คนเดียว (( ไม่เกี่ยวกับ คนที่มาเป็นครอบครัวหรือ พักโรงแรม )). ก็ทำรายได้ดีงาม
ในงาน ทำความสะอาด เก็บผ้าไปซักให้ กวาดถู เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ถ้าใครไม่มีเครื่องซักผ้า เราก็เอา ผ้าลูกค้า ไปให้ ร้าน ซักรีดจัดการ โดยที่เรา เพิ่มค่าจ้าง
(( คนพวกนี้ ที่มาโสดๆ (โสดเฉพาะตอนมาไทย) เงินเบี้ยเลี้ยงมีเยอะพอจึงจ่ายแบบ 😝))
รายได้ดีงาม ตอนเย็นก็ไปเสริฟอาหารต่อ
เหนื่อย แต่ เวลาเห็นยอดเงินใน บช แล้วมัน ชื่นจาย
อายุ 24 มีเงินเก็บ พอจนสร้างบ้านได้ ในเมื่อพ่อแม่เป็นช่างก่อสร้าง พ่อกับแม่ 2 คนช่วยกันสร้าง จ้างแค่ช่วงที่ต้องใช้แรงเยอะ นอกนั้น 2คนก็ช่วยกัน บ้านหลังแรก ที่ทนแดด ทนฝน ได้ เล็กๆน่ารักๆ งบ4แสน ระยะสร้าง9เดือน!!
หลังจากสบายใจเรื่องบ้านแล้ว จากนี้ก็เป็นชีวิตของเรา
ทำงาน เก็บเงิน สักพัก เริ่มรู้สึกว่า เราไม่อยากกลับไปอยู่บ้านนอก เพราะอยู่ ศรีราชา 10 ปี มีแต่เพื่อนดีๆ
เราจัดการเงินเป็น3 ส่วน
ส่วนที่1 ค่าใช้จ่าย ค่าห้องอาหาร และ อื่นๆ
ส่วนที่ 2 คิดว่าซะ เงินนั้นทิ้งไป คือเงินส่วนที่ ให้พ่อแม่
ส่วนที่3 อนาคตในวัยชรา ที่ต้องอยู่ได้โดยไม่ต้องคิดถึง
การเลี้ยงดูจากลูกหลาน
ปัจจุบัน มีบ้านปลอดภาระ มีเงินเก็บ1ส่วน
และ เปลี่ยนจาก 3ส่วน เป็น4ส่วน
1 ค่าใช้จ่ายค่ากิน
2 เงินทิ้งเหมือนเดิม คือ ให้พ่อแม่
3 เงินอนาคต ยามชรา
4 เงินเที่ยว ตามใจฉัน ทั้งในและนอกประเทศ
( ในเมื่อไร้ภาระเรื่องบ้าน เราก็ เอาเงินนั้นมาเติมเต็มชีวิตวัย ที่ไม่ได้ใช้ในช่วงวัยรุ่น
ปัจจุบัน ทำงานพาร์ทไทม์ เพราะมีลูกด้วย ลูกเพิ่ง8 ขวบ จึงทำเต็ม และ ประจำไม่ได้
เราไม่ได้ มารีวิวชีวิต แค่อยากมาบอกว่า ความฝันคืออะไร แล้วเราจะจัดการ จัดสรรเงิน อย่างไร
แสดงความคิดเห็น
ทำยังไงถึงจะพ้นความยากจน จะเล่าให้ฟังครับ
เห็นคนที่พอตกงานปุ๊บแค่ 1 เดือนไม่มีอะไรเลยสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีค่าเช่าบ้าน ไม่มีค่านมลูก คือไม่มีสำรองเลยในชีวิตที่จะรองรับวิกฤติได้แม้แต่เดือนเดียว เข้าใจนะว่าความห่างของรายได้ ความยากจนสะสม ภาระต่างๆในครอบครัว มันทำให้หลายคนไม่มีโอกาสได้เก็บเงิน ข้าวของแพงขึ้นรายได้ไล่ไม่ทันวันหนึ่งหาได้ 300-500 แค่กินใช้ก็หมดแล้ว เข้าใจและเคยผ่านมาหมดแล้วเรื่องพวกนี้
จริงๆการเก็บเงินมันเหมือนกับความภูมิใจ ความชื่นใจ ความดีใจอย่างหนึ่งของคนเรา แค่เราเห็นเงินที่เราเก็บในบัญชีเราก็รู้สึกดีรู้สึกอุ่นใจ ต้องเริ่มเก็บทีละน้อยครับ ค่อยๆก่อขึ้นสะสมขึ้น(เหมือนความรัก เอ๊ะ..เกี่ยวไหม เกี่ยวสิ ความรักก็ต้องสร้างต้องดูแลกันเหมือนกัน ความรักจึงจะเหนียวแน่น รักกันมากขึ้นๆ55)
เข้าเรื่องต่อ... อย่าใช้ก่อนแล้วค่อยเก็บมันจะเป็น #เบี้ยหัวแตก มันจะกลายเป็นเศษเงินไป มันจะเก็บไม่ได้ ต้องเก็บเลยเดือนนี้ฉันได้มาหมื่นนึงฉันจะเก็บ 2,000จะไม่ใช่เงินตรงนี้ มีรายได้พิเศษทางอื่นก็จะเก็บอีก ตรงไหนหาเงินได้เพิ่มทำแล้วเก็บอีก ขยันๆรับรองครับไม่นานมีเป็นเงินก้อนแน่นอนครับ พอมันเป็นก้อนแล้วมันก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราเริ่มมีกำลังใจในการเก็บเงิน ไม่เชื่อลองดูสิแค่คุณเห็นเงินในบัญชีคุณเพิ่มขึ้นๆ คุณจะมีกำลังใจในการใช้ชีวิต รู้สึกมีความมั่นคงในชีวิต อารมณ์ก็จะดี ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็จะดี
หลังจากวิกฤติครั้งนี้อยากให้ทุกคนตั้งสติใหม่ เจียดเงินแบ่งเงินใช้จ่ายให้ดี เราต้องบอกทุกคนในครอบครัวว่ากินให้น้อยลงใช้ให้น้อยลงนะ(ไว้มีเยอะๆอยากใช้อะไรก็ค่อยใช้ อันนั้นไม่ว่ากันให้รางวัลตัวเองบ้าง) แต่ถ้าเรายังไม่มีมากนัก อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อ ห้าง,ร้านสะดวกซื้อ,ของออนไลน์ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อ เราจะใช้เท่านี้ เราจะเหลือเท่านี้ แล้วเอาเงินที่เก็บออมนั้นไปลงทุนให้งอกเงยด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะค้าขายเล็กน้อยๆ ซื้อหุ้นดีๆเก็บไว้ยาวๆ ลงทุนอสังหาทำบ้านเช่าหอพักเล็กๆไว้สักหน่อยไหมเก็บกินได้ตลอดชีวิต หรือแม้แต่ฝากประจำธนาคารก็ปลอดภัย
ที่พูดมาไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ เคยทำและทำมานานแล้ว เกือบ20ปีหรือย้อนไปนานกว่านั่น ไม่ว่าจะหาได้เยอะเท่าไหร่ แต่ก็ใช้น้อย เก็บออม,ประหยัดจนสามารถตั้งตัวขึ้นมาได้ ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรแค่พออยู่ได้จนตายโดยไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก เพราะทำแบบนี้มายาวนาน ไม่ว่าจะหาได้ร้อย,พัน,หมื่น...แสน...ฯก็ใช้เท่าเดิม อย่างมากก็กินดีขึ้นหน่อย คนเรากินไม่ได้มากหรอกครับ กินได้แค่นั้นแหละมื้อหนึ่งไม่กี่บาท กินมากก็สุขภาพแย่โรคภัยมาเยอะ
กลุ่มคนที่รู้จักเก็บออมจึงไม่เดือดร้อนมากนัก เมื่อเจอวิกฤติทุกครั้ง ยังรับแรงกระแทกได้
ฝากไว้ให้คิด เก็บก่อนใช้ ใช้ให้น้อยลง ใช้เท่าที่จำเป็น แล้วคุณจะรอดครับ
( บันทึกไว้30เมย.2563/2020)