สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 52
มาให้กำลังใจ จขกท.ค่ะ โชคดีที่แต่งงานจดทะเบียนสมรสกันนะคะ
ขอมาแชร์ข้อมูลของเราขณะนี้ให้อ่านกันสำหรับบางคนที่มีปัญหาแตกต่างกันออกไปนะคะ
สำหรับเราเอง ไม่ได้จดทะเบียนอะไรเลยค่ะ แต่อยู่กินกันมา 24 จะเข้า 25 ปีแล้ว เริ่มจากสมับวัยรุ่น สร้างตัวกัน ลำบากกันมาจากศูนย์ จนมีบริษัท มีบ้าน ที่ดิน รถรา อย่างทุกวันนี้ แถมไม่มีลูกด้วยกันด้วย เราทำบริษัทก็ให้เค้าเป็นกรรมการลงนามคนเดียวค่ะ เพราะว่าเอกสารด้านการเงินเราเป็นคนทำทั้งหมด (เค้ามีหน้าที่เซ็นต์เท่านั้น..ต่างคนต่างไว้ใจกันมาตลอด) ที่ผ่านมาทราบว่าสามีติดเที่ยว ก็ทำใจมานานพอสมควร แต่ก็เห็นว่าป้องกันและบอกตรงๆคือรักมากน่ะค่ะ แกล้งปิดหูปิดตามตัวเองมาตลอดในระยะ 2-3 ปี เพราะว่าเค้าเองก็ยังดูแลเราดีไม่ได้บกพร่อง แค่ผู้ชายติดเที่ยว แต่สุดท้ายปีที่ผ่านมาสามีไปติดหมอนวดแบบติดหนักมาก เป็นตัวเป็นตนจนมีการเลี้ยงดูส่งเสียหมอนวดพร้อมๆกันถึง 2 คน โอนเงินให้เป็นก้อนทีละหลักหมื่น กลางวันไม่ทำงาน อ้างไปหาลูกค้า ปล่อยให้เราทำงานบริหารอยู่ที่ออฟฟิศแทนทุกอย่าง เพราะคือต้องออกไปเจอกันกันหมอนวด อยู่คลุกกันที่คอนโดบ้าง ตามม่านรูดบ้าง สลับวันกันไป (มีหมอนวด 2 คนน่ะค่ะ) พอเราทราบเรื่อง คือบอกตรงๆว่า "ฟ้าถล่มทลายเลยค่ะ" เหมือนโดนตบหน้ารัวๆๆๆๆจนชา เหมือนโดนอะไรบีบรัดคอจนหายใจไม่ออก.. เสียใจ เสียสติ เสียสุขภาพจิตมาก ตอนนั้นคือชีวิตเป๋..มากค่ะ
พอจับได้ เค้าก็ยืนกรานว่าขอโอกาสแก้ตัว (อาจจะไม่ได้เพราะรักหรอกนะคะ แต่เพราะว่าเราเป็นทุกอย่างในชีวิตเค้าเกี่ยวกับเงินทองและงาน เราดูแลมาตลอด เค้าอาจจะพูกผันและมีภาระร่วมกันที่แยกไม่ออก หรือไม่เค้าก็อาจจะคิดว่าถ้าเลิกกับเราไป ชีวิตการทำงาน หน้าตาในสังคม และบริษัทเค้าอาจจะพังไปด้วย) เค้าก็ยอมเซ็นต์มอบอำนาจเอกสารเปล่าๆมาให้หลายชุดนะคะ บอกว่าจะเอาไรก็เอาไปเลย แต่ขอให้อยู่กับเค้าต่อ ให้โอกาสเค้าต่อ แต่เราไม่วางใจหรอกค่ะ เค้าทำกับเรามาได้ขนาดนี้ เราก็เขียนระบุไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ยังไม่นำมาใช้ทั้งหมด เพราะว่าโฉนดต่างๆเอกสารทรัพย์สินทุกอย่างอยู่ที่เราค่ะ อีกอย่างคือเราก็ไม่ใช่คนโลภ ความจริงก็สร้างด้วยกันมา เราเองก็ยุติธรรมค่ะ อยู่กันมานานมากในเรื่องอื่นเค้าก็มีมุมดีๆ แต่เวลาที่ผ่านไปช่วง 2 เดือนของเราหลังจากที่จับได้ มันคือ "ตกนรกทั้งเป็นค่ะ" หลับตาก็ยังเห็นภาพบาดใจ มองดูเงินทองที่เอาเข้าบัญชีสามีทุกเดือนๆละเป็นแสนๆแล้วเห็นการโอนออกรัวๆแบบแทบจจะทุกอาทิตย์ไปยังชื่อของหมอนวดพวกนั้น หมอนวดพวกนั้นก็พยายามป่วน พยายามตามสามีเรากลับไปเลี้ยงดูส่งเสียงต่อ แล้วก็พยายามทำทุกวิถีทางให้เราเสียใจ เสียศูนย์มากๆ ไลน์มาเล่าว่าที่ผ่านมา วันๆเค้ามีความสุขเค้าทำอะไรกันบ้าง สามีเราพาไปเดินห้างชอปปิ้ง ทานอาหารร้านหรูๆ ซื้อแหวนให้ พาไปทำหน้า พาไปเสริมความงามสารพัด พาไปดูคอนโดที่กำลังก่อสร้างใหม่ ฯลฯ
เวลางานว่างๆ แว่บเข้ามาในความคิดตลอดค่ะ ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบๆก็รับสภาพแบบนั้นได้ยาก ทุกอย่างที่เค้าทำเหมือนคือเจ็บมากค่ะ แต่ถ้าเราเลิกแบบหุนหัน ไปตัวเปล่าๆเลย ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ.. ก็เลยตัดสินใจแล้วว่าเราจะเดินหน้าทำให้ยุติธรรมสำหรับชีวิตเรายังไงได้บ้าง ก็เลยปรึกษาเพื่อน และเริ่มปรึกษาทนายค่ะ ทุกคนบอกว่าเราสามารถฟ้องศาลได้ แม้จะไม่ได้จดทะเบียน แต่ตอนนี้ให้ดำเนินการแบบเงียบๆ ระหว่างนี้ก็ถือว่าดูใจสามีไปด้วย เหมือนให้โอกาสเค้ากลายๆ เพราะว่าเค้าสัญญาว่าจะเลิกกับหมอนวด 2 คนนั้นให้เด็ดขาด แต่ถ้าสุดท้ายเค้าทำไม่ได้ เราก็จะจัดการแบบให้จบแบบทีเดียว ไม่ต้องมาค้างคาทั้งเรื่องภาระหนี้สิน ทรัพย์สิน เงินทองทุกอย่างต่อกันอีกเลย..แล้วเราจะไปอยู่ ตปท.กับเพื่อนซักพัก พอจิตใจแข็งแรง ค่อยคิดต่อว่าจะกลับเมืองไทย หรือจะอยู่ ตปท.ต่อดี
ทนายที่สนิทบอกว่า ต่อให้ไม่จดทะเบียน แต่มีการอยู่ร่วมกันมานานมากเป็นสิบๆปี สร้างธุรกิจมาด้วยกันแม้จะไม่ได้เป็นกรรมการลงนาม ก็สามารถฟ้องศาลแบ่งทรัพย์สินกันได้ และฟ้องชู้ด้วย แล้วถ้าหาหลักฐานการค้าประเวณีของหมอนวดมาเพิ่มได้ (ผู้หญิงที่แผนเราเลี้ยงดู ก็ยังไปทำงานบางวันในร้านสปา ร้านนวด / พวกสปาเพื่อสุขภาพแบบแอบแฝงน่ะค่ะ มันจะนวดแค่ 1 ชม. แล้วที่เหลือจะเป็นการมีเซ็กซ์แบบแล้วแต่ตกลงกันด้วยนะคะ) ผู้หญิงพวกนั้นก็ยิ่งผิดแบบ 2 เด้งเลยค่ะ เราแค่พยายามเก็บเอาหลักฐานการอยู่กินกันมากนานมาเป็นใช้ในชั้นศาล ถึงแม้ว่าอาจจะต้องมีการสืบพยาน บุคคลแวดล้อมเพิ่มเติม ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ปัญหาค่ะ อาจจะเหนื่อยใจหน่อยที่ต้องเดินทางไปพูดคุยกับทนายเรื่องเดิมซ้ำๆที่มันกระทบจิตใจ แต่ในวันนึงมันสำเร็จแน่นอนค่ะ ทนายเค้ารับค่ำมั่นแบบนั้น
ตอนนี้เราก็กำลังดำเนินเอกสารอยู่ค่ะ ที่ดินที่ปลอดภาระ รถที่ปลอดภาระ และบ้าน(มีผ่อนแบงค์อยู่อีกไม่มากประมาณ2ล้านกว่าๆ) ตอนนี้เป็นชื่อเราเรียบร้อย ส่วนบริษัท เราก็ไปทำเรื่องเป็นกรรมการลงนามเพิ่มอีกคนไว้แล้วค่ะ ตอนนี้เข้มแข็งขึ้นเยอะแล้วด้วย แม้ว่าในทุกวันนี้สามีจะพยายามทำตัวดีขึ้นให้เห็นแล้วบ้าง แต่เราก็ไม่วางใจค่ะ ยังไงก็ตาม เราคิดแค่ว่า ยังไงก็ฟ้องเพื่อแบ่งส่วนที่เหลือทุกอย่างให้ยุติธรรมก่อน ถ้าชีวิตคู่จะยังพอไปต่อด้วยกันได้ค่อยว่าอีกทีค่ะ
หมายเหตุ : แก้ไขคำผิดน่ะค่ะ
ขอมาแชร์ข้อมูลของเราขณะนี้ให้อ่านกันสำหรับบางคนที่มีปัญหาแตกต่างกันออกไปนะคะ
สำหรับเราเอง ไม่ได้จดทะเบียนอะไรเลยค่ะ แต่อยู่กินกันมา 24 จะเข้า 25 ปีแล้ว เริ่มจากสมับวัยรุ่น สร้างตัวกัน ลำบากกันมาจากศูนย์ จนมีบริษัท มีบ้าน ที่ดิน รถรา อย่างทุกวันนี้ แถมไม่มีลูกด้วยกันด้วย เราทำบริษัทก็ให้เค้าเป็นกรรมการลงนามคนเดียวค่ะ เพราะว่าเอกสารด้านการเงินเราเป็นคนทำทั้งหมด (เค้ามีหน้าที่เซ็นต์เท่านั้น..ต่างคนต่างไว้ใจกันมาตลอด) ที่ผ่านมาทราบว่าสามีติดเที่ยว ก็ทำใจมานานพอสมควร แต่ก็เห็นว่าป้องกันและบอกตรงๆคือรักมากน่ะค่ะ แกล้งปิดหูปิดตามตัวเองมาตลอดในระยะ 2-3 ปี เพราะว่าเค้าเองก็ยังดูแลเราดีไม่ได้บกพร่อง แค่ผู้ชายติดเที่ยว แต่สุดท้ายปีที่ผ่านมาสามีไปติดหมอนวดแบบติดหนักมาก เป็นตัวเป็นตนจนมีการเลี้ยงดูส่งเสียหมอนวดพร้อมๆกันถึง 2 คน โอนเงินให้เป็นก้อนทีละหลักหมื่น กลางวันไม่ทำงาน อ้างไปหาลูกค้า ปล่อยให้เราทำงานบริหารอยู่ที่ออฟฟิศแทนทุกอย่าง เพราะคือต้องออกไปเจอกันกันหมอนวด อยู่คลุกกันที่คอนโดบ้าง ตามม่านรูดบ้าง สลับวันกันไป (มีหมอนวด 2 คนน่ะค่ะ) พอเราทราบเรื่อง คือบอกตรงๆว่า "ฟ้าถล่มทลายเลยค่ะ" เหมือนโดนตบหน้ารัวๆๆๆๆจนชา เหมือนโดนอะไรบีบรัดคอจนหายใจไม่ออก.. เสียใจ เสียสติ เสียสุขภาพจิตมาก ตอนนั้นคือชีวิตเป๋..มากค่ะ
พอจับได้ เค้าก็ยืนกรานว่าขอโอกาสแก้ตัว (อาจจะไม่ได้เพราะรักหรอกนะคะ แต่เพราะว่าเราเป็นทุกอย่างในชีวิตเค้าเกี่ยวกับเงินทองและงาน เราดูแลมาตลอด เค้าอาจจะพูกผันและมีภาระร่วมกันที่แยกไม่ออก หรือไม่เค้าก็อาจจะคิดว่าถ้าเลิกกับเราไป ชีวิตการทำงาน หน้าตาในสังคม และบริษัทเค้าอาจจะพังไปด้วย) เค้าก็ยอมเซ็นต์มอบอำนาจเอกสารเปล่าๆมาให้หลายชุดนะคะ บอกว่าจะเอาไรก็เอาไปเลย แต่ขอให้อยู่กับเค้าต่อ ให้โอกาสเค้าต่อ แต่เราไม่วางใจหรอกค่ะ เค้าทำกับเรามาได้ขนาดนี้ เราก็เขียนระบุไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ยังไม่นำมาใช้ทั้งหมด เพราะว่าโฉนดต่างๆเอกสารทรัพย์สินทุกอย่างอยู่ที่เราค่ะ อีกอย่างคือเราก็ไม่ใช่คนโลภ ความจริงก็สร้างด้วยกันมา เราเองก็ยุติธรรมค่ะ อยู่กันมานานมากในเรื่องอื่นเค้าก็มีมุมดีๆ แต่เวลาที่ผ่านไปช่วง 2 เดือนของเราหลังจากที่จับได้ มันคือ "ตกนรกทั้งเป็นค่ะ" หลับตาก็ยังเห็นภาพบาดใจ มองดูเงินทองที่เอาเข้าบัญชีสามีทุกเดือนๆละเป็นแสนๆแล้วเห็นการโอนออกรัวๆแบบแทบจจะทุกอาทิตย์ไปยังชื่อของหมอนวดพวกนั้น หมอนวดพวกนั้นก็พยายามป่วน พยายามตามสามีเรากลับไปเลี้ยงดูส่งเสียงต่อ แล้วก็พยายามทำทุกวิถีทางให้เราเสียใจ เสียศูนย์มากๆ ไลน์มาเล่าว่าที่ผ่านมา วันๆเค้ามีความสุขเค้าทำอะไรกันบ้าง สามีเราพาไปเดินห้างชอปปิ้ง ทานอาหารร้านหรูๆ ซื้อแหวนให้ พาไปทำหน้า พาไปเสริมความงามสารพัด พาไปดูคอนโดที่กำลังก่อสร้างใหม่ ฯลฯ
เวลางานว่างๆ แว่บเข้ามาในความคิดตลอดค่ะ ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบๆก็รับสภาพแบบนั้นได้ยาก ทุกอย่างที่เค้าทำเหมือนคือเจ็บมากค่ะ แต่ถ้าเราเลิกแบบหุนหัน ไปตัวเปล่าๆเลย ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ.. ก็เลยตัดสินใจแล้วว่าเราจะเดินหน้าทำให้ยุติธรรมสำหรับชีวิตเรายังไงได้บ้าง ก็เลยปรึกษาเพื่อน และเริ่มปรึกษาทนายค่ะ ทุกคนบอกว่าเราสามารถฟ้องศาลได้ แม้จะไม่ได้จดทะเบียน แต่ตอนนี้ให้ดำเนินการแบบเงียบๆ ระหว่างนี้ก็ถือว่าดูใจสามีไปด้วย เหมือนให้โอกาสเค้ากลายๆ เพราะว่าเค้าสัญญาว่าจะเลิกกับหมอนวด 2 คนนั้นให้เด็ดขาด แต่ถ้าสุดท้ายเค้าทำไม่ได้ เราก็จะจัดการแบบให้จบแบบทีเดียว ไม่ต้องมาค้างคาทั้งเรื่องภาระหนี้สิน ทรัพย์สิน เงินทองทุกอย่างต่อกันอีกเลย..แล้วเราจะไปอยู่ ตปท.กับเพื่อนซักพัก พอจิตใจแข็งแรง ค่อยคิดต่อว่าจะกลับเมืองไทย หรือจะอยู่ ตปท.ต่อดี
ทนายที่สนิทบอกว่า ต่อให้ไม่จดทะเบียน แต่มีการอยู่ร่วมกันมานานมากเป็นสิบๆปี สร้างธุรกิจมาด้วยกันแม้จะไม่ได้เป็นกรรมการลงนาม ก็สามารถฟ้องศาลแบ่งทรัพย์สินกันได้ และฟ้องชู้ด้วย แล้วถ้าหาหลักฐานการค้าประเวณีของหมอนวดมาเพิ่มได้ (ผู้หญิงที่แผนเราเลี้ยงดู ก็ยังไปทำงานบางวันในร้านสปา ร้านนวด / พวกสปาเพื่อสุขภาพแบบแอบแฝงน่ะค่ะ มันจะนวดแค่ 1 ชม. แล้วที่เหลือจะเป็นการมีเซ็กซ์แบบแล้วแต่ตกลงกันด้วยนะคะ) ผู้หญิงพวกนั้นก็ยิ่งผิดแบบ 2 เด้งเลยค่ะ เราแค่พยายามเก็บเอาหลักฐานการอยู่กินกันมากนานมาเป็นใช้ในชั้นศาล ถึงแม้ว่าอาจจะต้องมีการสืบพยาน บุคคลแวดล้อมเพิ่มเติม ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ปัญหาค่ะ อาจจะเหนื่อยใจหน่อยที่ต้องเดินทางไปพูดคุยกับทนายเรื่องเดิมซ้ำๆที่มันกระทบจิตใจ แต่ในวันนึงมันสำเร็จแน่นอนค่ะ ทนายเค้ารับค่ำมั่นแบบนั้น
ตอนนี้เราก็กำลังดำเนินเอกสารอยู่ค่ะ ที่ดินที่ปลอดภาระ รถที่ปลอดภาระ และบ้าน(มีผ่อนแบงค์อยู่อีกไม่มากประมาณ2ล้านกว่าๆ) ตอนนี้เป็นชื่อเราเรียบร้อย ส่วนบริษัท เราก็ไปทำเรื่องเป็นกรรมการลงนามเพิ่มอีกคนไว้แล้วค่ะ ตอนนี้เข้มแข็งขึ้นเยอะแล้วด้วย แม้ว่าในทุกวันนี้สามีจะพยายามทำตัวดีขึ้นให้เห็นแล้วบ้าง แต่เราก็ไม่วางใจค่ะ ยังไงก็ตาม เราคิดแค่ว่า ยังไงก็ฟ้องเพื่อแบ่งส่วนที่เหลือทุกอย่างให้ยุติธรรมก่อน ถ้าชีวิตคู่จะยังพอไปต่อด้วยกันได้ค่อยว่าอีกทีค่ะ
หมายเหตุ : แก้ไขคำผิดน่ะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
บทเรียนชีวิตที่ไม่มีใครอยากเจอ เมื่อต้องขึ้นศาลไปฟ้องชู้
เมื่อฟ้องเรียบร้อยก็มาถึงศาลนัดไกล่เกลี่ยรอบแรก เราส่งทนายไปก่อนค่ะ ทางนั้นก็มีแค่สามีเราที่มากับทนาย ทางชู้ไม่มาค่ะ สรุปได้ว่าทางชู้เขาสู้มา โดยยื่นว่าเขาไม่รู้ว่าสามีเรามีครอบครัวแล้ว ซึ่งเราก็มีหลักฐานหักกับข้อนี้ เนื่องจากเรามีการคุยกับชู้ทั้งทาง sms ที่ชู้ส่งมาขอคุยกับเราเรื่องสามี และ คอลคุยตอนที่หมายศาลไปถึงค่ะ ส่วนสามีเรายื่นเสนอเงินค่าเสียหายมา ให้จบทั้ง 2 คดี ซึ่งเราปฎิเสธค่ะ ศาลจึงนัดไกล่เกลี่ยอีกรอบโดยให้เราที่เป็นภรรยาไปด้วย พร้อมทั้งฝั่งนั้นก็ให้ชู้และสามีมาด้วยค่ะ
นัดไกล่เกลี่ย รอบที่ 2 เรามาถึงศาลตามเวลานัดหมาย แต่ทางชู้ไม่ยอมมาค่ะ ให้สามีเรามาคนเดียว ทางสามีมากับทนาย 2 คนทั้งเรื่องฟ้องชู้ และ ฟ้องหย่า ศาลให้เราแยกห้องคุยก่อนในทีแรก เขาคุยกับทางสามีเราก่อนค่ะ และมาคุยกับเราว่าทางนั้นเขายอมรับและจะชดเชยค่าเสียหายให้ทั้ง 2 คดี ให้เราเสนอไป เมื่อเราเสนอไปแล้ว ศาลก็ไปคุยกับทางสามีเรา และเรียกเราไปคุยรวมกันอีกครั้ง ครั้งแรกที่คุยรวมกัน เราก็ยังตกลงกันไม่ได้ค่ะ เพราะทางสามีไม่ยอมจ่ายตามที่เราเสนอไป ศาลจึงแยกคุยอีกรอบ ถามถึงสถานะการเงินของเราและสามี ความรับผิดชอบที่ต้องมีร่วมกัน ทรัพย์สินต่างๆ และใครเป็นคนรับผิดชอบอยู่ในตอนนี้ ไม่ต้องกลัวนะคะ ศาลท่านจะรับฟังเราและช่วยเราแน่นอนค่ะ จากนั้นก็เรียกเรากับสามีไปคุยกันแค่ 2 คน โดยให้ทนายนั่งรออยู่ด้านนอก เพราะอาจจะคุยกันง่ายขึ้น ในตอนนั้นเราก็ไม่ได้โกรธสามีแล้วนะคะ เราคุยด้วยเหตุผล ว่าอะไรเป็นอะไร เขาต้องรับผิดชอบอะไรในฐานะสามีบ้าง ถ้าเขาเลือกจะเดินจากไปแบบนี้ ก็ไม่ควรทิ้งภาระทั้งหมดมาที่เราคนเดียว และสรุปจบตรงตามที่เรารับได้ อาจจะไม่ได้เท่าที่เสนอไปในตอนแรก แต่ถือว่าโอเคแล้วในความคิดเราค่ะ เมื่อตกลงกันได้ ศาลก็ให้เราเซ็นยินยอมถอนฟ้องชู้ และเซ็นเอกสาร เมื่อสามีเราจ่ายครบตามที่ตกลง ถึงไปเซ็นใบหย่าได้ค่ะ เรื่องของเราจบในขั้นไกล่เกลี่ยซึ่งส่วนใหญ่ถ้าหลักฐานเพียงพอและตกลงค่าเสียหายกันได้ก็จะจบในขั้นนี้เลยค่ะ
ตอนนี้เรื่องจบแล้วเราหย่ากันเรียบร้อย และเราก็ขอให้เขาโชคดีกับสิ่งที่เขาเลือก อย่างน้อยตอนมีกันเขาก็คือความสุขของเราค่ะ ชีวิตเราดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ มีความสุข ยิ้มได้ในทุกๆวัน ไม่ร้องไห้ฟูมฟายแล้ว ถ้าใครเจอเรื่องราวแบบเราก็ขอส่งกำลังใจให้นะคะ มีสติกับสื่งที่เจอ เราคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเจ็บปวดมากๆในชีวิต และคงไม่มีใครอยากเจอแน่นอน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้เพื่อตัวเราเองนะคะ ส่วนเราโชคดีมากที่มีพ่อแม่ท่านคอยอยู่ข้างเราเสมอ อย่างน้อยใครไม่รักเรา แต่พ่อแม่ก็รักเราที่สุดค่ะ วันนี้อย่าลืมยิ้มเยอะๆนะคะ