อันนี้คือความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ
Part 1
แรกเริ่มเดิมทีนะ ผมไม่ได้อยากออกไปทำงานต่างประเทศหรอก แต่ด้วยมันเป็นช่วงขาลงของชีวิตมั้งก็เลย เออลองดูหน่อยจะเป็นไรไป
--ขั้นแรกเลยนะ ต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเพื่อเอาไอ้ผลตรวจเนี่ยไปแนบกะใบสมัครนะจ๊ะ รายการตรวจที่เน้นเป็นพิเศษเลยก็ ตาครับตา ตาเอียง สายตาสั้น/ยาว ตาบอดสีอะไรงี้ (รวมๆคือตาต้องปกติ)
และผมก็นำไอ้เจ้าผลตรวจเนี่ยไปสมัครที่ กรมจัดหางานชลบุรี เขาจะให้ข้อสอบมาทำ เหมือนเป็นแบบสอบถามมากกว่า
-พอเสร็จปุ๊ปเราก็จะได้บัตรสอบมาไว้ในครอบครอง พร้อมกับแนวข้อสอบอักษรญี่ปุ่นที่พ่อแม่เราไม่เคยจะสอนจำนวน4แผ่น เป็นอักษรฮิรากานะ 2 แผ่น อักษรคาตะคานะ 2 แผ่น เสร็จแล้วก็ฝึกเขียนทุกวันพร้อมกับเตรียมร่างกายไว้ด้วย
-พอถึงวันสอบจริงครับ สิ่งที่ต้องเจอคือ คนมาสอบจำนวน 402 คน ไอ้เราก็ไปคนเดียวโดดๆเลย ไม่มีเพื่อนด้วย ก็นั่งสอบไป ข้อสอบชุดแรกคือ คณิตพื้นฐานครับ เรื่องเวลาในการสอบไอ้ผมก็ลืมไปละ
ขอบสอบชุดที่2 คือคณิตคิดเร็ว ชุดที่3 คือ ความรู้ทางด้านช่าง และชุดสุดท้ายชุดที่4 คือ สอบตัวอักษร ฮิรากานะ/คาตาคานะ แบบที่สุ่มมาแล้ว เราจะเจอตัวไหนไม่รู้ แต่ไม่เหมือนกันกันคนข้างๆแน่นอน
-พอสอบเสร็จประมาณเที่ยงๆ ก็กลับไปนอนรอลุ้นผลที่โรงแรม เออแปลกอย่างนึงนะโครงการนี้คือลุ้นตั้งแต่สอบเข้า จนจบหลักสูตร5555
-พอผลออกให้เราได้ดีใจแล้วก็เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมร่างกายให้พร้อมกันเลย เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเวลา 05.00 เราต้องไปตวรวจความสมบูรณ์ของร่างกาย ตรวจรอยสักและวิ่งทดสอบ สมรรถภาพร่างกาย ระยะทาง 3 กิโลเมตร หรือก็รอบสนาม 8 รอบ SITUP 35 ครั้ง PUSHUP 35 ครั้ง ร่างกายต้องเตรียมมาดีพอสมควร ตอนแรกผมก็มางว่าสนามเล็กนิดเดียวจะไปยากอะไร แต่พอเอาเข้าจริงเกือบไม่รอดเหมือนกัน แล้วก็มารอลุ้นผลต่อสรุปว่าผ่านนนนนน
-จนถึงขั้นตอนสุดท้ายของการสอบเข้า คือสัมภาษณ์ เรื่องที่เจ้าหน้าที่จะถามก็มีประมาณว่าเราจะไหวไหมงานหนักนะ ไปอยู่ไกลบ้านถ้าคนทางบ้านป่วยจะทำยังไง และเราอยากไปญี่ปุ่นเพื่ออะไร จนแล้วจนรอดผมก็ผ่านมาได้
วันแรกที่เข้าศูนย์ฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่น
บอกลาผมยามได้เลยสำหรับคนที่สนใจจะมาอยู่ในสถาบันนี้ วันแรกท่านจะได้รับการปฐมนิเทศ และการแนะนำตัวจากบุคลากรหลายๆท่าน บอกตามตรงว่า ผมจำไม่ได้ซักคน
วันที่ 2 ก็นั่งเซ็นเอกสารกันวนไปครับ เอกสารประวัติส่วนตัวเราเนี่ยแหล่ะ
เพื่อนร่วมห้องทั้งหมดในวันแรกคือ 48 ชีวิต ชายล้วน
ก็วันที่ 3 เริ่มเรียนแบบจริงจัง โดยเซนเซย์ ผู้ที่คอยสอนเราตลอด 3 เดือน
โดยพาทร์1 จะมี เซนเซย์อยู่ 5 ท่านที่จะคอยสอน ไทย 4 ญี่ปุ่น 1
เริ่มเลยครับ ทุกวันศุกร์จะมีการสอบนะจ๊ะ โดยศุกร์แรกประเดิมด้วย คิโซคุ(กฎระเบียบ) อันนี้เชื่อว่าทุกคนคงทำได้แบบง่ายๆ และวันจันทร์-พฤหัสไม่ต้องกลัวเหงานะ มีโคโตบะ(คำศัพท์)ให้สอบทุกวัน
ถ้าจำไม่ได้หรือเขียนผิดก็แค่คัดมาส่ง
ศุกร์ที่2 สอบเขียน ฮิรากานะ ไม่ยากนะแต่ผมตก5555 มีโอกาศให้สอบซ่อม 1 รอบ และรอบที่ 2 ผมผ่าน(รอดตัวไป)
ออลืมบอกบางทีนะวันจันทร์-พฤหัสก็มีอะไรนอกจากโคโตบะมาให้สอบด้วยนะ แต่มันก็อยู่ในบทเรียนนั่นแหล่ะ พวกลักษณะนาม ผันอะไรต่างๆนาๆ
อะ แล้วก็ระวังเรื่องการผันกริยาไว้ให้ดีด้วยนะครับ โดยเฉพาะ ฟุซึเค จะมาช่วง Test 6 คือการผันกริยารูปสุภาพ ให้เป็นรูปเป็นกันเอง พยายามอย่าตกเด็ดขาด ถ้าไม่อยากคัดจนมือแตก.
ศุกร์ที่ 3 การสอบTest (คือการสอบแบบนี้จะมีด้วยกัน 9 ครั้ง สัปดาห์ละครั้งทุกวันศุกร์ เรียกว่าการสอบTest คือการทดสอบความรู้ที่เราเรียนมาทั้งอาทิตย์) มีโอกาศให้สอบซ่อมได้ 2 ครั้ง
แต่หลังจาก Test 3ไปจะสอบซ่อมได้แค่ 1 รอบเท่านั้น เพราะงั้น Active ตัวเองด้วยนะจ๊ะ
และช่วงที่เรียนภาษาอยู่จะเป็นสามเดือนที่ เครียดมาก ทำงานไม่เครียดขนาดนี้ ยิ่งเข้าในห้องโฉะคุอินชิสึ(ห้องพักครู) กดดันมาก แต่ก็ไม่แปลกเพราะมันเป็นภาษาที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน
พูดถึงเรื่องความเป็นอยู่ ที่นี่ อาหารก็ .................( ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) แต่มันก็คืออาหารที่ทำให้เราอยู่รอดได้ในสามเดือนที่ผ่านมา
เวลานอนก็คนที่รู้ตัวว่านอนดิ้น ก็เลือกเตียงข้างล่างจะดีกว่าเนาะ เพราะเตียงบนบางเตียงก็ไม่มีที่กั้น เดี๋ยวจะตกเตียงเอา
มาที่นี่ทำให้หลายคนท้อ จนทิ้งตรงนี้ไปเลยก็มี ให้เราคิดนะครับว่า เรามาที่นี่เพื่ออะไร วันแรกนั้นใครมาส่ง พ่อ แม่ มาส่ง ท่านฝากความหวังไว้ที่เรา อย่างอื่นช่างมันไว้ก่อน ครอบครัวต้องสำคัญที่สุด
ตลกดีที่เวลาอ่านหนังสือผมชอบไปนั่งอ่านในห้องน้ำแล้วก็มองกลอนตามประตู นักกวีเยอะจริงๆที่นี่55555
1 ในคำกลอนนั้นผมจำมันมาใช้จนจบออกมาได้ก็คือ =จับจ้องที่เป้าหมาย ไม่ใช่ที่อุปสรรค= ในวันที่จบออกมา ก็ทำให้รู้ครับว่า เออ เราก็เก่งเหมือนกันนี่หว่า ผ่านมาได้ขนาดนี้
มิตรภาพในช่วงเวลา 3 เดือนมันมีค่าจริงๆ ได้เจอกับเพื่อน ต่างอายุต่างที่มา มั้วตั้วตั๋วเหลงไปหมด5555
*มีทั้งพวกหัวกระทิ โดอะแก๊ง
*พวกนักลงโทษ มาโดะแก๊ง
*พวกแร๊ปเปอร์จอมปั่น อุชิโระแก๊ง
รวมๆกันไว้เป็นก้อนๆเดียว เป็นห้องที่แปลก ห้องที่เซย์ญี่ปุ่นไม่ค่อยด่าแถมยังหัวเราะเฉย 5555
ถึงมันจะหนักแต่มันก็คุ้มค่าครับ
ออ แล้วก็ก่อนเรียนจบจะมีสอบวัดระดับความรู้หรือที่เรียกกันว่า โย่งคิว อันนี้ใช้วัดความเข้าใจของเราตลอด 3 เดือนเฉยๆไม่มีอะไร
สำหรับคนที่สนใจโครงการนี้ คุณจะได้มากกว่าภาษา คุณจะได้ประสบการณ์
ขอให้อดทนและผ่านมันไปให้ได้ ห้องผมมาด้วยกัน 48 คน หลายคนต้องออกไปเพราะภาระทางบ้าน และมีหลายคนที่สอบไม่ได้จริงๆ จนเหลือ Surviver อยู่แค่ 35 คน.
สู้ๆนะครับ ผ่านมันไปให้ได้.
ออ แล้วก็นะครับ ช่วงพักสามเดือน ไม่ต้องกลัวลืมภาษาญี่ปุ่นนะ เพราะเรามี การบ้านด้วยจ้าาาา อาทิตย์นึงส่งครั้งนึง ส่งทุกวันอาทิตย์
Part 2
พัก 3 เดือนจากพาร์ท 1 แล้วนะครับ ก็มาลุยก่อนบินอีก 1 เดือนเต็ม กับความกดดัน
เข้าเรื่องเลยครับ พาร์ท 2 จะเป็นรุ่นที่เตรียมบิน อาจจะไม่ได้เจอเพื่อนในพาร์ท 1 บางแค่คนเพราะเพื่อนแต่ละคนได้งานไม่พร้อมกัน ก็เลยอาจต้องเข้าพาร์ท 2 พร้อมรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง
เข้าวันแรกจะมีให้เราสอบ 4 คิว เหมือนกับตอนออกจากพาร์ท 1 คะแนนตัวนี้จะเป็นตัวเลือกที่นั่งให้เรา ว่าจะได้นั่งหน้า(กดดันฉห) ,กลาง ,หลัง ตามคะแนน คะแนนเยอะสุดอยู่หลังสุด
เรียนกับอาจารย์คนญี่ปุ่น 1 คน ไทย 1 คน คนคะแนนน้อยจะโดนจี้ถาม ถ้าไม่เข้าใจ เอาคำถามนั้น คำศัพท์คำนั้น จะกลายเป็นการบ้านของวันนั้นๆ
และการบ้านนะครับ ตรวจให้ดีๆ เพราะการบ้านผิดนิดเดียว เท่ากับว่าคุณทำงานเสีย (โดน) เรื่องการเรียนจะเน้นไปที่การพูดการฟัง เพื่อเตรียมให้เราฟังคนญี่ปุ่นรู้เรื่อง พูดกับเขาได้
รวมๆไม่มีอะไรมาก(นอกจากการบ้าน เยอะฉห) นอกนั้นก็ชิวๆไปเถอะครับ ทำใจสบายๆก่อนมาญี่ปุ่น
(นี่คือเซ็นเซคนญี่ปุ่นคนที่ตอนนี้หน้าจะกลับมาที่คาสึคาเบะแล้ว *มีความคิดถึง)
Part 3
คาสึคาเบะ
ลงเครื่องที่สนามบินนาริตะมา หนาวชิหาย(ผมมาหน้าหนาว) นั่งรถราวๆ 1 ชั่วโมงถึงศูนย์คาสึคาเบะ วันแรกจ้าเจ็ทแลค มานั่งฟังการแนะนำจากคนไทย(มีคนดูแลคนไทยมาพูดปลุกใจ) แล้วก็เก็บข้าวเก็บของ
วันที่2 ช่วงเช้านั่งฟังพิธีเปิด และช่วงบ่ายมีสอบนะคับ สอบแบ่งห้อง *ห้อง Aนั่งคุยกันเป็นส่วนใหญ่(การบ้านเยอะ) Bส่วนใหญ่เรียนไวยกรณ์ใหม่ๆ(การบ้านยังเยอะอยู่ ) Cส่วนใหญ่เรียนคันจิใหม่ (การบ้านค่อนข้างน้อย เหมือนจะน้อยสุดแล้ว)
Dเรียนเหมือนพาร์ทูที่ไทย แต่ ไม่กดดัน(การบ้านไม่เยอะ) Eเรียนน้อยส่วนมากจะโดน.......(การบ้านเยอะ

) ในวันที่สอบนะครับ เดชะบุญเจ็ทแล็คไม่หายจ้าปวดหัวจัดเลย ทำคะแนนตกไปอยู่ห้องC จ้า
การเรียนที่นี่เราจะโดนตัดออกจากโลกภายนอกจ้า โทรศัพท์โดนยึด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดนยึด แล้วเขาจะมีของแก้เหงาให้เราคือ เครื่องบันทึกเสียงครับ *เคล็ดลับครับ สำหรับใครชอบฟังเพลง (แอบฟัง) ให้คุณเอา Micro SD ที่มีเพลงที่คุณชอบ
ติดไว้ที่ตัวคูณ เพราะเครื่องบันทึกเสียงใส่Micro SD ได้จ้า หูฟังแอบได้แอบ * เรื่องเรียนไปเวลายาวนานมาก 1 เดือน กันข้าวช่วงแรก อร่อยมากกกกกกก แต่ช่วงหลังๆครับ ขนมปังทุกเช้าครับ เพราะเขาจะทำให้เราปรับตัว เพื่อการทำงาน ตอนเช้าเราอาจไม่กินข้าว
ไปๆมาๆเราโทรไปข้างนอกได้ โดย บัตรโทรศัพท์ที่เขาเอามาขายให้ 1000 เยน ใช้ได้ 1 ชั่วโมง 1คนซื้อได้แค่ 1 ใบ
ชีวิตจริง
ออกมาทำงาน ที่นี่คือชีวิตการทำงานที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณคิด เราจะมาเป็นมนูษย์ต่างด้าวในประเทศเขา อารมณ์ประมาณที่คนไทยมองต่างด้าวแหละ แต่จงจำไว้ว่า มีคนชอบย่อมมีคนชัง
คนหัวดอมีอยู่ทุกที่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป 3 ปีครับสู้ๆ
#B31-08
#บินB31-11
*บินรุ่นสุดท้ายก่อนโควิด😂😂😂*
อยากรู้ข้อมูลอื่นๆคอมเม้นถามไว้เลยจ้า
เผื่อมีผู้รู้มาตอบ
IM japan รีวิวโครงการส่งผู้ฝึกงานไปญี่ปุ่น
Part 1
แรกเริ่มเดิมทีนะ ผมไม่ได้อยากออกไปทำงานต่างประเทศหรอก แต่ด้วยมันเป็นช่วงขาลงของชีวิตมั้งก็เลย เออลองดูหน่อยจะเป็นไรไป
--ขั้นแรกเลยนะ ต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเพื่อเอาไอ้ผลตรวจเนี่ยไปแนบกะใบสมัครนะจ๊ะ รายการตรวจที่เน้นเป็นพิเศษเลยก็ ตาครับตา ตาเอียง สายตาสั้น/ยาว ตาบอดสีอะไรงี้ (รวมๆคือตาต้องปกติ)
และผมก็นำไอ้เจ้าผลตรวจเนี่ยไปสมัครที่ กรมจัดหางานชลบุรี เขาจะให้ข้อสอบมาทำ เหมือนเป็นแบบสอบถามมากกว่า
-พอเสร็จปุ๊ปเราก็จะได้บัตรสอบมาไว้ในครอบครอง พร้อมกับแนวข้อสอบอักษรญี่ปุ่นที่พ่อแม่เราไม่เคยจะสอนจำนวน4แผ่น เป็นอักษรฮิรากานะ 2 แผ่น อักษรคาตะคานะ 2 แผ่น เสร็จแล้วก็ฝึกเขียนทุกวันพร้อมกับเตรียมร่างกายไว้ด้วย
-พอถึงวันสอบจริงครับ สิ่งที่ต้องเจอคือ คนมาสอบจำนวน 402 คน ไอ้เราก็ไปคนเดียวโดดๆเลย ไม่มีเพื่อนด้วย ก็นั่งสอบไป ข้อสอบชุดแรกคือ คณิตพื้นฐานครับ เรื่องเวลาในการสอบไอ้ผมก็ลืมไปละ
ขอบสอบชุดที่2 คือคณิตคิดเร็ว ชุดที่3 คือ ความรู้ทางด้านช่าง และชุดสุดท้ายชุดที่4 คือ สอบตัวอักษร ฮิรากานะ/คาตาคานะ แบบที่สุ่มมาแล้ว เราจะเจอตัวไหนไม่รู้ แต่ไม่เหมือนกันกันคนข้างๆแน่นอน
-พอสอบเสร็จประมาณเที่ยงๆ ก็กลับไปนอนรอลุ้นผลที่โรงแรม เออแปลกอย่างนึงนะโครงการนี้คือลุ้นตั้งแต่สอบเข้า จนจบหลักสูตร5555
-พอผลออกให้เราได้ดีใจแล้วก็เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมร่างกายให้พร้อมกันเลย เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเวลา 05.00 เราต้องไปตวรวจความสมบูรณ์ของร่างกาย ตรวจรอยสักและวิ่งทดสอบ สมรรถภาพร่างกาย ระยะทาง 3 กิโลเมตร หรือก็รอบสนาม 8 รอบ SITUP 35 ครั้ง PUSHUP 35 ครั้ง ร่างกายต้องเตรียมมาดีพอสมควร ตอนแรกผมก็มางว่าสนามเล็กนิดเดียวจะไปยากอะไร แต่พอเอาเข้าจริงเกือบไม่รอดเหมือนกัน แล้วก็มารอลุ้นผลต่อสรุปว่าผ่านนนนนน
-จนถึงขั้นตอนสุดท้ายของการสอบเข้า คือสัมภาษณ์ เรื่องที่เจ้าหน้าที่จะถามก็มีประมาณว่าเราจะไหวไหมงานหนักนะ ไปอยู่ไกลบ้านถ้าคนทางบ้านป่วยจะทำยังไง และเราอยากไปญี่ปุ่นเพื่ออะไร จนแล้วจนรอดผมก็ผ่านมาได้
วันแรกที่เข้าศูนย์ฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่น
บอกลาผมยามได้เลยสำหรับคนที่สนใจจะมาอยู่ในสถาบันนี้ วันแรกท่านจะได้รับการปฐมนิเทศ และการแนะนำตัวจากบุคลากรหลายๆท่าน บอกตามตรงว่า ผมจำไม่ได้ซักคน
วันที่ 2 ก็นั่งเซ็นเอกสารกันวนไปครับ เอกสารประวัติส่วนตัวเราเนี่ยแหล่ะ
เพื่อนร่วมห้องทั้งหมดในวันแรกคือ 48 ชีวิต ชายล้วน
ก็วันที่ 3 เริ่มเรียนแบบจริงจัง โดยเซนเซย์ ผู้ที่คอยสอนเราตลอด 3 เดือน
โดยพาทร์1 จะมี เซนเซย์อยู่ 5 ท่านที่จะคอยสอน ไทย 4 ญี่ปุ่น 1
เริ่มเลยครับ ทุกวันศุกร์จะมีการสอบนะจ๊ะ โดยศุกร์แรกประเดิมด้วย คิโซคุ(กฎระเบียบ) อันนี้เชื่อว่าทุกคนคงทำได้แบบง่ายๆ และวันจันทร์-พฤหัสไม่ต้องกลัวเหงานะ มีโคโตบะ(คำศัพท์)ให้สอบทุกวัน
ถ้าจำไม่ได้หรือเขียนผิดก็แค่คัดมาส่ง
ศุกร์ที่2 สอบเขียน ฮิรากานะ ไม่ยากนะแต่ผมตก5555 มีโอกาศให้สอบซ่อม 1 รอบ และรอบที่ 2 ผมผ่าน(รอดตัวไป)
ออลืมบอกบางทีนะวันจันทร์-พฤหัสก็มีอะไรนอกจากโคโตบะมาให้สอบด้วยนะ แต่มันก็อยู่ในบทเรียนนั่นแหล่ะ พวกลักษณะนาม ผันอะไรต่างๆนาๆ
อะ แล้วก็ระวังเรื่องการผันกริยาไว้ให้ดีด้วยนะครับ โดยเฉพาะ ฟุซึเค จะมาช่วง Test 6 คือการผันกริยารูปสุภาพ ให้เป็นรูปเป็นกันเอง พยายามอย่าตกเด็ดขาด ถ้าไม่อยากคัดจนมือแตก.
ศุกร์ที่ 3 การสอบTest (คือการสอบแบบนี้จะมีด้วยกัน 9 ครั้ง สัปดาห์ละครั้งทุกวันศุกร์ เรียกว่าการสอบTest คือการทดสอบความรู้ที่เราเรียนมาทั้งอาทิตย์) มีโอกาศให้สอบซ่อมได้ 2 ครั้ง
แต่หลังจาก Test 3ไปจะสอบซ่อมได้แค่ 1 รอบเท่านั้น เพราะงั้น Active ตัวเองด้วยนะจ๊ะ
และช่วงที่เรียนภาษาอยู่จะเป็นสามเดือนที่ เครียดมาก ทำงานไม่เครียดขนาดนี้ ยิ่งเข้าในห้องโฉะคุอินชิสึ(ห้องพักครู) กดดันมาก แต่ก็ไม่แปลกเพราะมันเป็นภาษาที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน
พูดถึงเรื่องความเป็นอยู่ ที่นี่ อาหารก็ .................( ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) แต่มันก็คืออาหารที่ทำให้เราอยู่รอดได้ในสามเดือนที่ผ่านมา
เวลานอนก็คนที่รู้ตัวว่านอนดิ้น ก็เลือกเตียงข้างล่างจะดีกว่าเนาะ เพราะเตียงบนบางเตียงก็ไม่มีที่กั้น เดี๋ยวจะตกเตียงเอา
มาที่นี่ทำให้หลายคนท้อ จนทิ้งตรงนี้ไปเลยก็มี ให้เราคิดนะครับว่า เรามาที่นี่เพื่ออะไร วันแรกนั้นใครมาส่ง พ่อ แม่ มาส่ง ท่านฝากความหวังไว้ที่เรา อย่างอื่นช่างมันไว้ก่อน ครอบครัวต้องสำคัญที่สุด
ตลกดีที่เวลาอ่านหนังสือผมชอบไปนั่งอ่านในห้องน้ำแล้วก็มองกลอนตามประตู นักกวีเยอะจริงๆที่นี่55555
1 ในคำกลอนนั้นผมจำมันมาใช้จนจบออกมาได้ก็คือ =จับจ้องที่เป้าหมาย ไม่ใช่ที่อุปสรรค= ในวันที่จบออกมา ก็ทำให้รู้ครับว่า เออ เราก็เก่งเหมือนกันนี่หว่า ผ่านมาได้ขนาดนี้
มิตรภาพในช่วงเวลา 3 เดือนมันมีค่าจริงๆ ได้เจอกับเพื่อน ต่างอายุต่างที่มา มั้วตั้วตั๋วเหลงไปหมด5555
*มีทั้งพวกหัวกระทิ โดอะแก๊ง
*พวกนักลงโทษ มาโดะแก๊ง
*พวกแร๊ปเปอร์จอมปั่น อุชิโระแก๊ง
รวมๆกันไว้เป็นก้อนๆเดียว เป็นห้องที่แปลก ห้องที่เซย์ญี่ปุ่นไม่ค่อยด่าแถมยังหัวเราะเฉย 5555
ถึงมันจะหนักแต่มันก็คุ้มค่าครับ
ออ แล้วก็ก่อนเรียนจบจะมีสอบวัดระดับความรู้หรือที่เรียกกันว่า โย่งคิว อันนี้ใช้วัดความเข้าใจของเราตลอด 3 เดือนเฉยๆไม่มีอะไร
สำหรับคนที่สนใจโครงการนี้ คุณจะได้มากกว่าภาษา คุณจะได้ประสบการณ์
ขอให้อดทนและผ่านมันไปให้ได้ ห้องผมมาด้วยกัน 48 คน หลายคนต้องออกไปเพราะภาระทางบ้าน และมีหลายคนที่สอบไม่ได้จริงๆ จนเหลือ Surviver อยู่แค่ 35 คน.
สู้ๆนะครับ ผ่านมันไปให้ได้.
ออ แล้วก็นะครับ ช่วงพักสามเดือน ไม่ต้องกลัวลืมภาษาญี่ปุ่นนะ เพราะเรามี การบ้านด้วยจ้าาาา อาทิตย์นึงส่งครั้งนึง ส่งทุกวันอาทิตย์
Part 2
พัก 3 เดือนจากพาร์ท 1 แล้วนะครับ ก็มาลุยก่อนบินอีก 1 เดือนเต็ม กับความกดดัน
เข้าเรื่องเลยครับ พาร์ท 2 จะเป็นรุ่นที่เตรียมบิน อาจจะไม่ได้เจอเพื่อนในพาร์ท 1 บางแค่คนเพราะเพื่อนแต่ละคนได้งานไม่พร้อมกัน ก็เลยอาจต้องเข้าพาร์ท 2 พร้อมรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง
เข้าวันแรกจะมีให้เราสอบ 4 คิว เหมือนกับตอนออกจากพาร์ท 1 คะแนนตัวนี้จะเป็นตัวเลือกที่นั่งให้เรา ว่าจะได้นั่งหน้า(กดดันฉห) ,กลาง ,หลัง ตามคะแนน คะแนนเยอะสุดอยู่หลังสุด
เรียนกับอาจารย์คนญี่ปุ่น 1 คน ไทย 1 คน คนคะแนนน้อยจะโดนจี้ถาม ถ้าไม่เข้าใจ เอาคำถามนั้น คำศัพท์คำนั้น จะกลายเป็นการบ้านของวันนั้นๆ
และการบ้านนะครับ ตรวจให้ดีๆ เพราะการบ้านผิดนิดเดียว เท่ากับว่าคุณทำงานเสีย (โดน) เรื่องการเรียนจะเน้นไปที่การพูดการฟัง เพื่อเตรียมให้เราฟังคนญี่ปุ่นรู้เรื่อง พูดกับเขาได้
รวมๆไม่มีอะไรมาก(นอกจากการบ้าน เยอะฉห) นอกนั้นก็ชิวๆไปเถอะครับ ทำใจสบายๆก่อนมาญี่ปุ่น
(นี่คือเซ็นเซคนญี่ปุ่นคนที่ตอนนี้หน้าจะกลับมาที่คาสึคาเบะแล้ว *มีความคิดถึง)
Part 3
คาสึคาเบะ
ลงเครื่องที่สนามบินนาริตะมา หนาวชิหาย(ผมมาหน้าหนาว) นั่งรถราวๆ 1 ชั่วโมงถึงศูนย์คาสึคาเบะ วันแรกจ้าเจ็ทแลค มานั่งฟังการแนะนำจากคนไทย(มีคนดูแลคนไทยมาพูดปลุกใจ) แล้วก็เก็บข้าวเก็บของ
วันที่2 ช่วงเช้านั่งฟังพิธีเปิด และช่วงบ่ายมีสอบนะคับ สอบแบ่งห้อง *ห้อง Aนั่งคุยกันเป็นส่วนใหญ่(การบ้านเยอะ) Bส่วนใหญ่เรียนไวยกรณ์ใหม่ๆ(การบ้านยังเยอะอยู่ ) Cส่วนใหญ่เรียนคันจิใหม่ (การบ้านค่อนข้างน้อย เหมือนจะน้อยสุดแล้ว)
Dเรียนเหมือนพาร์ทูที่ไทย แต่ ไม่กดดัน(การบ้านไม่เยอะ) Eเรียนน้อยส่วนมากจะโดน.......(การบ้านเยอะ
การเรียนที่นี่เราจะโดนตัดออกจากโลกภายนอกจ้า โทรศัพท์โดนยึด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดนยึด แล้วเขาจะมีของแก้เหงาให้เราคือ เครื่องบันทึกเสียงครับ *เคล็ดลับครับ สำหรับใครชอบฟังเพลง (แอบฟัง) ให้คุณเอา Micro SD ที่มีเพลงที่คุณชอบ
ติดไว้ที่ตัวคูณ เพราะเครื่องบันทึกเสียงใส่Micro SD ได้จ้า หูฟังแอบได้แอบ * เรื่องเรียนไปเวลายาวนานมาก 1 เดือน กันข้าวช่วงแรก อร่อยมากกกกกกก แต่ช่วงหลังๆครับ ขนมปังทุกเช้าครับ เพราะเขาจะทำให้เราปรับตัว เพื่อการทำงาน ตอนเช้าเราอาจไม่กินข้าว
ไปๆมาๆเราโทรไปข้างนอกได้ โดย บัตรโทรศัพท์ที่เขาเอามาขายให้ 1000 เยน ใช้ได้ 1 ชั่วโมง 1คนซื้อได้แค่ 1 ใบ
ชีวิตจริง
ออกมาทำงาน ที่นี่คือชีวิตการทำงานที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณคิด เราจะมาเป็นมนูษย์ต่างด้าวในประเทศเขา อารมณ์ประมาณที่คนไทยมองต่างด้าวแหละ แต่จงจำไว้ว่า มีคนชอบย่อมมีคนชัง
คนหัวดอมีอยู่ทุกที่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป 3 ปีครับสู้ๆ
#B31-08
#บินB31-11
*บินรุ่นสุดท้ายก่อนโควิด😂😂😂*
อยากรู้ข้อมูลอื่นๆคอมเม้นถามไว้เลยจ้า
เผื่อมีผู้รู้มาตอบ