เดินทางรอบโลกโดยที่ไม่ต้องออกจากงาน (ปัจุบันเดินทางมาแล้วกว่า30ประเทศทั่วโลก)

กย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผมเป็นลูกคนเดียว โตมาในครอบครัว ที่พ่อกับแม่เป็นอาจารย์ จึงมีหนังสืออยู่ในบ้านมากมาย  หนังสือต่างๆจึงเป็นเพื่อนที่ดีในยุคที่ของเล่นราคาแพง (30กว่าปีที่แล้ว)  จำได้ว่าหนังสือเล่มแรก ที่ผมอ่านจบตอนอายุ 7ขวบ นั้นมีชื่อว่า   “วิชัย จักรยานยนต์รอบโลก” เป็นเรื่องราวของพนักงานที่ทำงานโรงพิมพ์ ที่มีความฝันที่อยากจะเดินทางไปอเมริกา ทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงแค่เด็กวัดคนนึง ความพยายาม มุ่งมั่น เดินตามหาสปอนเซอร์ในการเดินทางด้วยตัวเอง จนได้รับจักรยาน ยี่ห้อยามาฮ่า และเงินจากพี่ๆน้องๆ พนักงานในโรงพิมพ์ ผมจำไม่ได้ว่าใช้เวลาเดินทางนานเท่าไร แต่เนื้อหาข้างในสนุกมากๆ เรียกได้ว่าอ่านแถบจะวางไม่ลง และคุณลุงก็ได้เดินทางไปถึงอเมริกาและได้เข้าพบกับ ประธานาธิปดีของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น คือ จอร์ท บุช (ผู้พ่อ) 
เรื่องราวจากหนังสือเล่มนั้นมันได้เข้าไปในจิตใต้สำนึกของเด็กวัยไม่ถึง10ขวบดีอย่างผมโดยไม่รู้ตัว จนวันนึงผมก็เริ่มตั้งเป้าหมายในการเดินทางเท่าที่ตัวเองจะมีทำได้  จึงนึกย้อนและได้คำตอบว่า แรงกระตุ้นเหล่านี้คงมาจากแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนั้นอย่างแน่นอน...
วันนี้ผมก็จะมาแชร์ประสบการณ์ในการเดินทางอีกครั้งของผมนะครับที่ได้มีโอกาสไปในค่าย Auschawitz ซึ่งเป็นค่ายกักกัน ชาวยิว ในสงครามโลกครั้งที่สอง  ซึ่งผมเคยเห็นตามนิตยสาร สารคดี ตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ไปดูของจริง 
โดยที่ผมเพิ่งเริ่มทำ Channel Youtube เพื่อบันทึกประสบการณ์ในการเดินทางของตัวเองไว้ตั้งแต่ 5-6 ประเทศให้หลังนี้เอง (ซึ่งเสียดายประเทศก่อนหน้านี้ไปมากว่า30ประเทศไม่ได้ทำ)


กลับมาค่าย AUSCHAWITZ ค่ายแห่งความตาย ที่ฆ่าคนกว่า 8,000 คนต่อวัน หรือ 6,000,000 คนในระยะเวลากว่า5ปี!! กันต่อดีกว่า 

ผมเดินทางไปในวันคริสมาสพอดี บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งตัวด้วยสีเขียวกับสีแดงเต็มไปหมด โดยเดินทางโดย Lufhansa ไปปรากที่แรก แล้วก็นั่งรถไฟไปฮังการี่ และมาจบที่โปแลนด์ (วันนี้ขอข้ามมาโปแลนด์เลยนะครับ)พอถึงโปแลนด์ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟ ก็ไปขึ้นรถที่จองไว้เดินทางไปค่ายกักกัน Auschawitz โดยทันที นั่งไปหลับไปสักพักก็ถึงบริเวณจุดจอดรถ หน้าค่ายกักกันพอดี ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่าค่ายกักกันชาวยิวแห่งนี้อยู่ที่เยอรมัน ไม่ใช่นะครับ มันอยู่ที่โปแลนด์ และมันไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงวอซอร์ แต่มันไปอยู่ในเมืองหลวงเก่าอย่าง krakow(หรือ คาคูฟ) นั่นเอง 
เหตุที่ฮิตเลอร์ เลือก Krakow เป็นจุดในการตั้งค่ายก็เพราะว่า Krakow เป็นเมืองหลวงเก่าจึงทำให้มีเส้นทางเดินรถไฟที่สะดวกอยู่แล้วเป็นทุนเดิม 
ละฮิตเลอร์เข้าบุก โปแลนด์เป็นประเทศแรกในสงครามโลกครั้งที่2 เพราะโปแลนด์เป็นเสมือนไข่แดงของยุโรป(เพราะภูมิประเทศอยู่ตรงกลางนั่นเอง) และเมืองที่บุกเมืองแรกก็คือกรุง Warsaw นั่นเอง จะเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ ที่กรุงวอร์ซอร์ ดันขึ้นต้นด้วยคำว่า War ที่แปลว่าสงครามซะด้วยสิ....น่าคิด
Auschawitz จริงๆแล้วมีที่เด่นๆมี2ที่นะครับ คือ Auschawitz1 / Auschawitz2 (Birkenau) สองที่นี้ฮิตมากซึ่งไม่ใช่มีที่เดียวเหมือนที่ทุกคนเข้าใจนะครับ 

ซึ่งสองที่นี้ห่างกัน3กิโลเมตร และเดินทางกว่า15นาที โดย Auschawitz 1 ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1940  เพื่อฆ่าชาวยิวให้ได้มากที่สุด โดยให้ชาวยิวเป็นคนสร้างค่าย Auschawitzนี้เสร็จภายในระยะเวลาไม่ถึง1ปี และตรงทางเข้าก็จะมีตัวหนังสือภาษาเยอรมัน ที่เขียนว่า “ARBEIT MACHT FREI” ที่แปลเป็นไทยว่า การทำงานจะนำคุณไปสู่อิสระภาพ เพื่อเป็นกุสโลบาย ให้นักโทษชาวยิวไม่แตกตื่นและเป็นระเบียบเมื่อเข้ามาสู่ค่ายกักกันแห่งนี้ โดยที่หารู้ไม่ว่านี่จะเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีมา...โดยที่ป้ายนี้สร้างโดยนักโทษชาวยิว และได้มีการกลับหัว ตัวอักษร “B” ในวรรคแรกไว้ เพื่อเป็น Signให้คนที่เข้ามาใหม่ได้รู้ว่าความหมายจริงๆของป้ายนี้มันมีอะไรที่กลับหัวกลับห้างอยู่นะ 

ที่ค่ายแห่งนี้จะมีตึกที่สร้างขึ้นเป็นหมายเลขต่างๆ ที่เป็นทั้งสำนักงานและเป็นคุกที่คุมขังชาวยิว เพื่อทำงานและเพื่อฆ่าทิ้ง 
โดยในแต่ละวัน จะมีการปลุกด้วยกระดิ่งในเวลาตี 4ของทุกวันเพื่อให้นักโทษตื่นมาเข้าแถว ภายใต้อากาศที่แสนหนาวเหน็บ ซึ่งบางช่วงหนาวติดลบกว่า-25องศากันเลยทีเดียว เมื่อมาเข้าแถวแล้วก็จะมีการเช็คหมายเลขของนักโทษที่ข้อมือ (ตอกไว้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในค่ายนี้) และจะมีคณะดนตรี Auschawitz Orchesta   บรรเลงเพลงเพื่อให้ทหารนับจำนวนได้ง่ายขึ้น  และส่งไปทำงานในโรงงานอุสาหกรรมต่างๆ โดยระหว่างวันก็จะมีอาหารให้เพียงแค่ซุปถ้วยเล็กๆ กับเศษขนมปังเพียงเท่านั้น และถ้าใครทำงานไม่ไหว ก็จะถูกยิงทิ้งทันที ก่อนที่จะกลับมานอนในเวลา 4ทุ่มของทุกวัน เป็นอย่างนี้วนไป 

โดยในขณะที่ผมเดินดูในแต่ละบ้านก็จะมีการจัดเรียงข้าวของเครื่องใช้ ของจริงจาก นักโทษชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าที่นักโทษได้ขนมาและเขียนชื่อตัวเองไว้ เพราะคิดว่าตัวเองเพียงแค่ถูกจับมาเป็นแรงงานเชลยศึกจึงขนของที่จำเป็นไส่กระเป๋าเท่าที่ได้เข้ามาคนละ1ใบเท่านั้น และก็เห็นพวกข้าวของเครื่องใช้ต่างๆซึ่งเยอะมากๆ อีกทั้งยังมีกองขาปลอมสำหรับคนที่พิการอีกเพียบเลย (ซึ่งคนที่พิการจะถูกฆ่าทิ้งโดยทันทีตั้งแต่เข้ามาในค่ายและจะเอาไว้เฉพาะผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์เท่านั้น เพื่อใช้เป็นแรงงาน)  

ในขณะที่ผมเดินเข้าไปในแต่ละตึกและได้อ่านเรื่องราวก็เกิดความเศร้าจากเรื่องราวที่ได้เห็นได้รับรู้เป็นอย่างมาก อย่างเช่นตึกหมายเลข 11 ที่ใช้ไว้ขังใครก็ตามที่ให้การช่วยเหลือชาวยิว จะถูกนำมาขังไว้ที่ตึกหมายเลข11แห่งนี้ และจะมีจุดยิงเป้าที่อยู่ด้านข้างระหว่างตึกหมายเลข 10 และหมายเลข11 โดยในขณะที่มีนักโทษมาถูกยิงเป้าก็จะมีการเปิดหน้าต่างเพื่อให้นักโทษที่อยู่ข้างในได้เห็นอนาคตตัวเองจากหน้าต่างข้างใน (โหดแท้) และเขาไม่ได้จับมายิงเป้าแค่คนที่ช่วยเหลือนะครับ เขานำมายิงเป้าทั้งครอบครัวเลยโดยที่ด้านในตึก 11 ชั้นใต้ดินจะเป็นห้องทรมาณนักโทษ โดยมีอยู่ห้องนึง เป็นห้องขนาดไม่เกิน 1เมตร x 1เมตร ผนังปิดทึบทั้งสี่ด้าน และมีช่องเล็กๆให้คลานเข้าไปจากด้านล่าง ห้องนี้ใช้ขังนักโทษถึงสี่คน โดยการให้ยืนอยู่ในนั้นจนตาย...
ซึ่งผมก็เห็นนักศึกษาชาวยิวที่มา ทัศนศึกษา พวกเขาก็ใช้ธงชาติ อิสราเอลห่ม ตัวและสวดมนต์ให้กับบรรพบุรุษของพวกเขาที่โทษทารุณกรรมจากสงครามในครั้งนั้นอีกด้วย บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาเลยก็มีและยังมีห้องที่ขังบาทหลวงที่ให้การช่วยเหลือชาวยิว โดยการไม่ให้ข้าวให้น้ำจนตายเช่นเดียวกัน 

และผมยังได้อ่านข้อมูลบางอันในค่ายแห่งนี้ด้วยว่า หากนักโทษคนไหนเป็นฝาแฝดจะส่งไปทดลองทางวิทยาศาสตร์ทันที โดยการให้นักโทษฝาแฟดสองคน ฉีดยาแต่ละชนิดเข้าไปและดูปฎิกริยาตอบสองที่แตกต่างกัน 

และไฮไลท์อีกที่นึงก็คือห้องรมแก็สพิษ ซึ่งเป็นห้องที่ทหารนาซี ออกอุบายให้นักโทษนาซีว่าจะให้เข้าไปอาบน้ำ โดยที่จะมีน้ำปล่อยออกมาจากด้านบน ซึ่งแทนที่จะเป็นน้ำแต่กลายเป็นก๊าสพิษ ผมก็เห็นร่องรอยของความทรมาณของนักโทษที่ใช้เล็บขูดกับผนังด้วยความทรมาณจนสิ้นใจ และหลังจากนั้นทหารนาซีจะขังนักโทษเหล่านี้ไว้ครึ่งชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเหลือลอดจากห้องรมแก็สพิษแห่งนี้แล้ว จึงนำร่างออกมาเผาทำลาย  
โดยที่ถ้าใครที่มีรอยสักก็จะถูกคัดออกมาเพื่อไปทำเป็นข้าวของเครื่องใช้ให้กับ เหล่าภรรยา ของทหารในกองทัพ 

โดยค่าย Auschawitz 1 จริงๆแล้ว สามารถฆ่าชาวยิวได้เพียงแค่วันละไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ฮิตเลอร์จึงมองหาค่ายกักกันใหม่ ที่ใหญ่กว่าเดิมและสามารถฆ่าชาวยิวได้มากกว่าเดิม จึงได้เป็นโรงเลี้ยงม้าที่อยู่ไกลออกไป3กิโลเมตรและเป็นที่โล่งกว้าง จึงได้สร้าง Auschawitz2 (Birkenau) ขึ้นที่นี่และสามารถฆ่าชาวยิวได้กว่า 8,000 คนต่อวัน!! โดยการรมแก็สพิษ  ภาพรถไฟที่ขนนักโทษชาวยิวมาคัดแยกที่ทุกคนเคยเห็นก็คือที่นี่นั่นเอง Auschawitz2 (Birkenau) ที่นี่จะเป็นจุดที่ขนนักโทษมาจากทั่วยุโรป เพื่อมาคัดแยกที่นี่ โดยที่ จะมีนายแพทย์ทหาร ชาวนาซี เป็นผู้คัดแยก ที่เพียงแค่เขากระดิกนิ้วโป้งไปทางซ้ายหรือทางขวาก็สามารถพิพากษาคนได้ในทันที ซึ่งการคัดแยกก็จะ เลือกคนที่มี่ร่างกายที่แข็งแรงไว้ทำงาน ส่วนใครก็ตามที่อ่อนแอร์หรือพิการก็จะถูกส่งเข้าห้องรมแก็สทันทีตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ปัจุบันก็ยังมีขบวนรถไฟที่บริจาคโดยครอบครัวชาวยิว ฮังการี่ ที่เคยประมูลรถไฟขบวนนี้ได้ มอบให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อเป็นอนุสรให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา โดยที่ผมจะเห็นคนนำดอกไม้ไปวางไว้ด้วย 

ชาวยิวจริงๆแล้วเป็นชนชาติที่ได้รับการยอมรับว่ามีความฉลาดค้าขายเก่ง และได้เป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสในชีวิตที่ดีในสังคมของประเทศต่างๆ แต่พวกเขากลับไม่มีประเทศเป็นของตนเอง 

โดยที่ฮิตเลอร์มองว่ามันเป็นการเอาเปรียบเจ้าของประเทศ และเปรียบชาวยิวเป็นดั่งหนู หรือสิ่งที่เป็นปรสิทที่มาสิงอยู่ตามประเทศต่างๆ ถึงกับทำโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คนในประเทศ เกลียดชาวยิวกันเลยทีเดียว อย่างเช่นทำโปสเตอร์ออกมาแป๊ะไว้ในสถานที่ราชการ และทำสื่อการเรียนการสอน ให้เด็กในประเทศเกลียดชังชาวยิว แม้กระทั่งเกมส์ก็ยังมีเกมส์ที่มีคนยิวเป็นตัวโกงก็มีให้เห็น

ทุกคนคงจะเกิดการตั้งคำถามว่าทำไม “ฮิตเลอร์” ถึงได้เกลียดชาวยิวได้ขนาดนั้น ซึ่งก็มีนักวิชาการหลากหลายท่าน วิเคราะห์ถึงสาเหตุต่างๆมากมายอย่างเช่น ในวัยเด็ก แม่ของฮิตเลอร์ เคยเป็นแม่บ้านให้กับครอบครัวชาวยิว ที่เคร่งคัดในสไตล์ของเจ้าของธุรกิจ ซึ่งฮิตเลอร์ก็ต้องทนเห็นแม่ของตัวเองถูกกระทำโดยครอบครัวชาวยิวมาตั้งแต่เด็ก อิตเลอร์เคยแอบชอบหญิงชาวยิวมาก่อน และถูกแย่งคนที่เขารักไปจากเขาโดยชาวยิวด้วยกันชาวยิวได้ควบคุมเศรษฐกิจทั่วยุโรปในเวลานั้น เพียงแค่ 3 เหตุผลคงเพียงพอที่จะทำให้ความเกลียดชังชาวยิวเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาได้อย่างที่ไม่เคยมีใครได้คาดคิดมาก่อนอย่างแน่นอนจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง ฮิตเลอร์และกองทัพนาซี เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งทีสองให้กับสหภาพโซเวียด และฮิตเลอร์ได้ฆ่าตัวตาย  จนทุกอย่างคลี่คลาย  ปัจบันชาวยิวที่หลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่สอง ในครั้งนั้นก็ได้สร้างลูกสร้างหลานขึ้น และได้กลายเป็นกลุ่มคนที่ฉลาดและมีอิทธิพลต่อโลก มากมาย แม้ทุกอย่างจะสิ้นสุดลงแต่การเหยียดเชื้อชาติก็ยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆไม่จบสิ้นไป  บ้านเรายังดีที่ความเกลียดชังประเภทนี้อยู่ไกลตัวเมืองไทยยิ่งนัก ถึงมีก็แค่เล็กๆน้อยๆ ไม่รุนแรงเท่าต่างประเทศ ที่แค่เดินออกจากบ้านสีผิวก็เป็นตัวบ่งชี้ ให้ใครบางคนตัดสินเราได้ด้วยคำว่าสีผิวแบบนี้ต้องเป็นเหมือนกันหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าบทความครั้งนี้ผมเชื่อว่ามีเรื่องราวจากค่าย Auschawitz มากมายบน Internet แต่ครั้งนี้ผมแค่อยากบันทึกไว้ว่าก่อนที่ผมเคยรับรู้มาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ จนมาได้เห็นจริงๆกับตาตัวเอง ผมมีความคิดและความรู้สึกกับมันอย่างไร 

ติดตามและกด Subscribe ได้ที่ www.youtube.com/lamkatankTV
https://www.youtube.com/watch?v=yPOJJ8oycFs&t=34s
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่