ฉันและสามีแต่งงานกัน 26/12/62 ที่ผ่านมา ฉันเป็นแม่หม้ายค่ะ มีลูกชายอายุ 10 ขวบ ฉันและสามีอยู่กันคนละที่ หลังจากแต่งงานทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ระหว่างที่คบกันฉันมีปัญหาหนี้สินจำนวนมาก และได้บอกเล่าทั้งหมดก่อนจะคบหากัน ซึ่งเราทั้งคู่ เปิดใจและยอมรับกัน ฝ่ายชายทำสวนอยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ความรู้เพียง ม.6 ใช้ชีวิตเสเพลจนเสียคน แต่เรารับฟังแระรับรู้ปัญหาทั้งคู่ จึงตกลงกันว่า ฉันจะไปอยู่กับฝ่ายชาย ไปทำสวน ไปสร้างครอบครัวกัน ระหว่างที่คบกัน ทะเลาะกันบ่อยแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ยานปลายตลอด ทำให้จะเลิกก่อนทุกครั้ง จนกระทั่งวันที่เรารอคอยมาถึง ฝ่ายชายมาสู่ขอ (ไม่มีสินสอดใดๆ) เพื่อขอสมาพ่อแม่เรา ผีเห็นคนเห็น จากนั้น ก็ต่างแยกกันอยู่ ฉันใช้ชีวิตในเมืองหลวงรอลูกปิดเทอม จนกระทั่งวันที่ 18 ฝ่ายชายขับรถมารับฉัน ฉันตัดสินใจทิ้งบ้าน (หลักตกลงอยู่กับฝ่ายก็เลิกผ่อนชำระ เพราะมีปัญหาทางคดีอยู่ก่อนแล้ว เพื่อลด คชจ.เก็บไว้ไปทำทุนต่อตอนอยู่ด้วยกัน) ฉันลาออกจากงานได้ 5 เดือน ก่อนหน้านั้น แล้วมุ่งขายของออนไลน์ รายได้ พออยู่ประครองได้ เพื่อรอลูกปิดเทอมและย้ายไป ฉันดูแลแม่ของฉัน แต่แม่ยืนยันว่าจะไม่ไปอยู่ด้วย ฉันจึงติดต่อพี่สาวให้ช่วยดูแลแม่ต่อจากนั้น ฉันนำของใช้จำเป้นและสินค้าของฉันไปโดยการขนย้ายเพียง 1 รถกะบะเท่านั้น ฉันทิ้งทุกอย่างจริงๆ แล้วไปกับฝ่ายชายพร้อมลูกชาย ก่อนออกมาก็ล่ำลาแม่ แม่ฉันอวยพร แต่เมื่อเดินทางออกมาถึงช่วงนวนคร แม่ฉันโทรเข้ามา ถามด้วยน้ำเสียงโมโห "รวยนักใช่ไหม ทิ้งหมดทุกอย่าง" ทิ้งกู มีจำไว้ ต้องเป็นเหมือนกู
ฉันเปิดสปีคเกอร์โฟนในรถ ฝ่ายชายได้ยินทุกอย่าง หลังจากนั้น วางสาย ฉันหันไปถามเค้าว่า ป๊าาา จะไม่ทิ้งเค้าใช่ไหม เค้าไม่เหลืออะไรแล้วนะ เราจับมือกันขณะฝ่ายชายขับรถแล้วยืนยันว่า ไม่ทิ้งแน่นอน ฉันและลูกชายถึงบ้านฝ่ายชายอย่างปลอดภัย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวโควิด-19 น่ากลัวมาก ฉันจึงทำแมสผ้าขายออนไลน์ และออเดอร์ดีมากจนทำไม่ทัน และงานสวนฉันก็แทบไม่ได้เข้า ส่งลูกชายไปแทน ซึ่งงานนิดหน่อยไม่มาก จนถึงวัน ต้องพ่นยา ฉันไปช่วยสามี โดนมีแม่สามีแนะนำงานให้ฉัน ให้ลูกหยุดอยู่บ้าน ก็ผ่านมาด้วยดีไม่มีอะไร ต่อมา ฉันก็ทำแมส ทั้งวัน/ทั้งคืน นอนเพียง 2-3 ชม./วัน เท่านั้น แรกๆ ฉันให้ฝ่ายชายขับรถส่งของให้ ช่วงบ่าย 3 โมง เพื่อให้ทันรอบการขนส่ง/วัน ช่วงนั้น ฉันก็ทำงานบ้านซักผ้า นั่งเล่น ตามสมควร บางวันก็ขอนอนบ้าง ซึ่งเรามองว่า ถ้าให้เค้าวิ่งส่งของให้ เค้าจะไม่โอเคไหม เลยบอกว่าขอนะ ให้ป๊าวันละ 100 บาท ไม่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ป๊าอยากทำอะไรก็ได้ ในช่วงแรกๆ ป๊าซื้อเหล้า/เบียร์มากิน แล้วช่วยงานเรามีความสุขมาก แต่พอ 4-5 วันต่อมา ป๊าเริ่มกิน/นอน เราคิดว่าป๊าอาจจะเหนื่อย เราก็บอกนะ ว่า ป๊า ช่วยตัดผ้าหน่อยนะ ถ้าว่างนะ เค้าจะไม่ใช้นะ จะรอป๊าถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ซึ่งเค้ามีอยู่นะ ตกลงกันแบบนี้ ผ่านมาอีก 2 วัน ก็ยังไม่ช่วยไม่ถามฉันว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ฉันจึงศึกษาเรื่องการเรียกรถเข้ารับสินค้า เพื่อลดปัญหานี้ก่อน สรุปทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ฉันส่งสินค้ามีรถมารับ และแม่ของฝ่ายชายถามฉันว่า รถมารับแพงไหม ฉันจึงตอบไปเล่นๆว่า ไม่เสียเงินค่ะ จ้างฝ่ายชายแพงกว่าอีก วันละ 100 แน่ะ นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหานี้ แม่ฝ่ายชายเรียกลูกชายไปตำหนิทันทีว่าไปเรียกเก็บเงินเค้าทำไม พอช่วงค่ำ สามีหน้าตาไม่พอใจ เรียกฉันมาคุยว่าคุยอะไรกับแม่ ฉันจึงบอกไป ว่าพูดเล่นอ่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปบอกให้ เพราะเสนอให้เอง เทอไม่ได้ขอ ก็เคลียร์ไป แต่ยังไม่จบ เช้ามาแม่ฝ่ายชายโทรตามลูกชายไปว่าต่อในสวน ซึ่งฉันยังไม่ได้ชี้แจงเลย พอฝ่ายชายกลับมาจากสวน ก็เริ่มไม่พอใจฉัน ผ่านมาอีก 2 วัน ฉันขายผลไม้ในสวน และแพ็คสินค้าส่งปกติ ฝ่ายชายมาช่วยอีกครั้งฉันรู้สึกดีแต่การพูดคถยเหมือนโดนแม่บังคับให้ทำ (ฉันยังไม่ได้เข้าไปคุยกับแม่สามี) จนวันรุ่งขึ้น ฉันต้องออกไปส่งของเอง จะออกไปซื้อของด้วย ก็เดินออกมาคุย สามีมีอาการซีเรียส และบอกว่า เทอต้องช่วยทำครัวด้วยนะ อ่าวเรายังไม่ว่างเลย อาหารเราก็ทำไม่อร่อย ประเด็นคือ ให้เราหาอาหารให้ลูกไม่ใช่ให้ลูกรอคนอื่นทำให้กิน (การทานอาหารที่นั้น คือ แยกครัวแล้ว แต่กลับไปกินข้าวที่บ้านพ่อ/แม่ตลอด) เราเลยตอบว่า งั้นป๊าเอาแก๊สไปเติมให้เค้าซิ จะได้ทอดหมู/ทอดไข่ให้ลูกกิน แต่ไม่ว่าฉันตอบอะไร เหมือนไม่ถูกใจเลย จนรามมามี่การขายของของฉะนรายได้ ได้เท่าไร ต้องบอกด้วย ที่ผ่านมาฉันบอกตลอด แต่ไม่เคยสนใจ พอจะทะเลาะกันจะเอาข้อมูล มันไม่ใช่นะ เราไม่มีอารมอธิบาย เราเงียบ แล้วนิ่งไม่ตอบ แล้วถามกลับไปนะว่า ป๊าาาา เค้าถามจริงๆ การที่เค้ากับลูกมาอยู่กับป๊าาา ป๊าาาอึดอัดมากเหร๋อ ฝ่ายชายเงียบ เราก็ถามต่อว่า ถ้างั้น เค้ากับลุกออกไปเช่าบ้านอยู่ก็ได้นะ (มันเป็นการพูดแบบไม่คิดจริง) ฝ่ายชายตอบมาว่า ก็ตามใจ จากนั้น เราก็พาลูกออกไปหาซื้อขนม กลับมาสามีก็ไม่อยุ่แล้ว เราว่า อาการมันไม่ดีแร่ะ เลยเดินไปคุยกับแม่สามี
ฉันคุยเรื่องแรก คือ
1. เรื่องเงิน 100 บาท สามีไม่ได้เรียกนะคะ หนูให้เอง
2. แล้วพูดคุยอธิบายไป ว่าหนูไม่โอเคเลยนะ ถ้าได้เงินแล้วดื่มเหล้า/เบียร์แบบนี้ อยากให้ดูแลสุขภาพ ต้องจ่ายมากกว่านี้ก็ได้นะถ้าป๊าจะดื่มแบรนด์ เราอยากสร้างครอบครัว เก็บเงินเก็บทองนะ ลูกเข้า รร. ก็ต้องใช้เงิน เงินก็น้อยแทบไม่มี จะให้ขอเงินแม่ตลอดก็ไม่ได้นะ
3. เรื่องลูกชาย ตอนเราทำงาน เราทำงานออฟฟิต เราเลี้ยงคนเดียวตลอด เลิกงานก็มาอยู่ บ. ปิดเทอม/ไม่สบาย ก็มาทำงานด้วยกัน ฉันเลี้ยงลูกด้วยมือถือ จนเพื่อนๆ ร่วมงานชมว่า เลี้ยงลูกดีนะ เงียบมาก นึกว่าไม่มีเด็ก จนก่อนออกจากงาน เราก็ยังใช้ชีวิตแบบนี้ พอมาอยู่ที่สวนเราก็หวังให้เค้าช่วยสอนถ่ายทอดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงให้ แต่กลับเหมือนว่า ไม่พอใจ หงุดหงิดใส่ จนมาบอกเรา เราเลยตัดปัญหาที่ทำให้สามีไม่สบายใจ โดยการยึดโทรศัพท์ของลูก และที่บ้านไม่มีทีวีดู มีคอม เปิดดูทีวีออนไลน์ได้ ลูกเกิดเหงา ก็ถามว่า พ่อครับ ขอดูหนังได้ไหมครับ พ่ออาจจะตอบกลับแบบเล่นๆ แต่ลูกตกใจนะ พ่อตอบว่า ไม่ได้!! ลูกก็เงียบ สักพัก พ่อก็ถามว่า ทำไมไม่เปิด!!! ลูกจึงได้เปิด (ทั้งหมดนี้ คือเรื่องที่นั่งคุยกับแม่สามี)
เมื่อแม่สามีฟังแล้ว ตอบเราว่า แม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไงนะ เดี๋ยวแม่จะเรียกมาคุยพร้อมกันนะ จากนั้น เราก็ขอตัวออกมาเก็บผลไม้ เพราะมีออเดอร์มา จากนั้น สามีก็กลับมา
หลังจากนั้น ฉันกลับเข้าบ้าน สิ่งที่เราได้รับต่อจากนั้น คือ สามีเกรี้ยวกราดใส่ ทำวางของเสียงดัง รยมทั้งคุยกับหมาแบบดีใจ ดีใจจังเลยมันจะไปแล้ว (เอ้า!!! มองหน้าลูก ป่ะ งั้นเก็บของกัน) ระหว่างนั้น สามีมาเปิดห้องและตะคอกใส่ว่า ไหน!!! ยึดโทรสับอะไร!! ใครยึด โทรสับอยู่ไหน (เรา งง ซิ ไหนบอกจะเรียกไปคุย สายตาที่มองออกไป แม่สามียืนอยู่ข้างหลังไกลๆ) มองดูลูกชายตะคอกใส่เรากับลูก) เราก็บอกว่าอยู่ในกระเป๋า เก็บแล้ว จากนั้น ฝ่ายชายเดินออกไปพร้อมสบถคำต่างๆ เราเลยตะโกนออกไปว่า เออ...ไม่ต้องไล่มาก ไม่อยู่ก็ได้ จากนั้น มองหน้าลูก เตรียมความพร้อม เพราะที่บ้านสามีเลี้ยงบางแก้ว ที่ดุเวลาปล่อย เราจะต้องอยู่แต่ในห้อง แต่คืนนั้น เราตัดสินใจ กัดก็กัดซิ หอบจักร/กระเป๋าเสื้อผ้า/และงานจำเป็นใส่รถมอเตอร์ไซด์ของเราที่ขนขึ้นกะบะไปด้วย และตัดสินใจจะกลับไปที่ที่จากมา เวลานั้นประมาณเกือบ 2 ทุ่ม ฉันขี่มอไซด์ออกมา มีหมาไล่ตลอดทาง มากันเสื้อแขนสั้น/กางเกงขาสั้น ทั้ง 2 คนแม่ลูก เราแวะปั้มหาอาหาร น้ำดื่ม/เติมน้ำมัน ปัสสาวะ ให้พร้อมเดินทาง และเดินทางต่อประมาณ 100 กิโลเมตร จอดรถในปั้ม (อ่อ วันนั้นคือ วันที่ 28 มีนาคม 63) ประมาณ 23.30 น. ฉันจอดรถพัก และรู้สึกง่วงนอน จะเอาไงดี ถนนเงียบ จะไปต่ออย่างไง เข้ากทม หมวกกันน๊อคก็ไม่มี สับสันไปหมด พิกัดตอนนั้น ไปต่อ 400 กิโล ถ้ากลับไป 100 กิโล ถามลูกว่าตัดสินใจอย่างไร ลูกตอบว่าตามใจแม่ ฉันเลยตัดสินใจไปต่อ พอออกมา ถนนมืดมาก ฉันขับรถวนไปมาหลายรอบ จึงตัดสินพาลูกเข้าพักที่ห้องพักริมทาง แต่ทางการสั่งปิดห้ามเปิดบริการ โอ้ยยยย ฉันสงสารลูกมากแล้วฉันก็ง่วงด้วย สุดท้าย ฉันตัดสินใจ กลับไปที่เดิม ที่บ้านฝ่ายชาย ระหว่างทาง ลูกชายซ้อนท้ายหลับ เราจอดข้างทางที่ศาลาริมทาง บางจุดหญ้ารกมาก กลัวงูสัตว์มีพิษ บางจุดสะอาดแต่พอจอด เจ้าถิ่นวิ่งกรูกันมา (หมา) ต้องไปต่อ สุดท้าย กลับไปถึงประมาณ ตี 2 ฝ่ายชายไม่ต้อนรับ พร้อมของทุกชิ้นของฉันถูกกองไว้หน้าบ้าน หมาก็จ้องจะกัด ตอนมาฉันมีเต้นท์มาด้วย จึงกางเต้นท์ให้ลูกนอนก่อน แล้วบอกลูกว่า ขอเข้าไปคุยกับพ่อก่อนนะ แต่สุดท้าย เค้าไม่คุยด้วย ทำให้ฉันกับลูกต้องดิ้นรนต่อจนตอนนี้ ฉันกลับไม่ได้ ฉันออกมาจากที่นั้นแล้ว ฉันตกงาน ฉันเคลียดมาก ฉันมีชีวิตคู่เพียง 10 วันเท่านั้น และเคลียดถึงขนาดติดต่อกรมสุขภาพจิต ทำแบบ ประเมินโรคซึมเศร้า ได้ 25 คะแนน ถือว่า เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง แชทไป 1 วัน ตอบ 3 แชท โทรคุยก็สายหลุด วันนี้ผ่านมาเกือบ 1 เดือนแล้ว ฉันพร้อมที่จะระบาย อยากได้รับการช่วยเหลือจริงๆ ฉันและลูกไปต่ออย่างไรกับโควิด 19 ตกงาน ไร้บ้าน 😭😭 ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะคะ
เรารักกันมาก กว่าจะแต่งงานกัน แต่ชีวิตคู่แค่ 10 วัน มันไวไปสำหรับฉัน ฉันเป็นแม่หม้ายมาก่อน และหวังกับความรักครั้งนี้มาก อยากมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ แายุก็มากแล้ว หางานก็ยากขึ้นค่ะ ลุกก็ยังไม่มีที่เรียนต่อ คชจ. แรกเข้าก็ไม่มี แมสที่ทำขายตอนนี้ก็ขายไม่ออก ทำอะไรขายก็โดนขายตัดราคา ฉันต้องเริ่มใหม่อีกกี่ครั้งฉันอยากเข้มแข็งกว่านี้
คนที่อดทนฝ่าฟันปัญหากันมาจนผ่านการแต่งงาน หลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพียง 10 กลับโดนขับไล่ออกจากบ้าน ฉันเคว้งควรทำอย่างไร
ฉันเปิดสปีคเกอร์โฟนในรถ ฝ่ายชายได้ยินทุกอย่าง หลังจากนั้น วางสาย ฉันหันไปถามเค้าว่า ป๊าาา จะไม่ทิ้งเค้าใช่ไหม เค้าไม่เหลืออะไรแล้วนะ เราจับมือกันขณะฝ่ายชายขับรถแล้วยืนยันว่า ไม่ทิ้งแน่นอน ฉันและลูกชายถึงบ้านฝ่ายชายอย่างปลอดภัย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวโควิด-19 น่ากลัวมาก ฉันจึงทำแมสผ้าขายออนไลน์ และออเดอร์ดีมากจนทำไม่ทัน และงานสวนฉันก็แทบไม่ได้เข้า ส่งลูกชายไปแทน ซึ่งงานนิดหน่อยไม่มาก จนถึงวัน ต้องพ่นยา ฉันไปช่วยสามี โดนมีแม่สามีแนะนำงานให้ฉัน ให้ลูกหยุดอยู่บ้าน ก็ผ่านมาด้วยดีไม่มีอะไร ต่อมา ฉันก็ทำแมส ทั้งวัน/ทั้งคืน นอนเพียง 2-3 ชม./วัน เท่านั้น แรกๆ ฉันให้ฝ่ายชายขับรถส่งของให้ ช่วงบ่าย 3 โมง เพื่อให้ทันรอบการขนส่ง/วัน ช่วงนั้น ฉันก็ทำงานบ้านซักผ้า นั่งเล่น ตามสมควร บางวันก็ขอนอนบ้าง ซึ่งเรามองว่า ถ้าให้เค้าวิ่งส่งของให้ เค้าจะไม่โอเคไหม เลยบอกว่าขอนะ ให้ป๊าวันละ 100 บาท ไม่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ป๊าอยากทำอะไรก็ได้ ในช่วงแรกๆ ป๊าซื้อเหล้า/เบียร์มากิน แล้วช่วยงานเรามีความสุขมาก แต่พอ 4-5 วันต่อมา ป๊าเริ่มกิน/นอน เราคิดว่าป๊าอาจจะเหนื่อย เราก็บอกนะ ว่า ป๊า ช่วยตัดผ้าหน่อยนะ ถ้าว่างนะ เค้าจะไม่ใช้นะ จะรอป๊าถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ซึ่งเค้ามีอยู่นะ ตกลงกันแบบนี้ ผ่านมาอีก 2 วัน ก็ยังไม่ช่วยไม่ถามฉันว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ฉันจึงศึกษาเรื่องการเรียกรถเข้ารับสินค้า เพื่อลดปัญหานี้ก่อน สรุปทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ฉันส่งสินค้ามีรถมารับ และแม่ของฝ่ายชายถามฉันว่า รถมารับแพงไหม ฉันจึงตอบไปเล่นๆว่า ไม่เสียเงินค่ะ จ้างฝ่ายชายแพงกว่าอีก วันละ 100 แน่ะ นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหานี้ แม่ฝ่ายชายเรียกลูกชายไปตำหนิทันทีว่าไปเรียกเก็บเงินเค้าทำไม พอช่วงค่ำ สามีหน้าตาไม่พอใจ เรียกฉันมาคุยว่าคุยอะไรกับแม่ ฉันจึงบอกไป ว่าพูดเล่นอ่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปบอกให้ เพราะเสนอให้เอง เทอไม่ได้ขอ ก็เคลียร์ไป แต่ยังไม่จบ เช้ามาแม่ฝ่ายชายโทรตามลูกชายไปว่าต่อในสวน ซึ่งฉันยังไม่ได้ชี้แจงเลย พอฝ่ายชายกลับมาจากสวน ก็เริ่มไม่พอใจฉัน ผ่านมาอีก 2 วัน ฉันขายผลไม้ในสวน และแพ็คสินค้าส่งปกติ ฝ่ายชายมาช่วยอีกครั้งฉันรู้สึกดีแต่การพูดคถยเหมือนโดนแม่บังคับให้ทำ (ฉันยังไม่ได้เข้าไปคุยกับแม่สามี) จนวันรุ่งขึ้น ฉันต้องออกไปส่งของเอง จะออกไปซื้อของด้วย ก็เดินออกมาคุย สามีมีอาการซีเรียส และบอกว่า เทอต้องช่วยทำครัวด้วยนะ อ่าวเรายังไม่ว่างเลย อาหารเราก็ทำไม่อร่อย ประเด็นคือ ให้เราหาอาหารให้ลูกไม่ใช่ให้ลูกรอคนอื่นทำให้กิน (การทานอาหารที่นั้น คือ แยกครัวแล้ว แต่กลับไปกินข้าวที่บ้านพ่อ/แม่ตลอด) เราเลยตอบว่า งั้นป๊าเอาแก๊สไปเติมให้เค้าซิ จะได้ทอดหมู/ทอดไข่ให้ลูกกิน แต่ไม่ว่าฉันตอบอะไร เหมือนไม่ถูกใจเลย จนรามมามี่การขายของของฉะนรายได้ ได้เท่าไร ต้องบอกด้วย ที่ผ่านมาฉันบอกตลอด แต่ไม่เคยสนใจ พอจะทะเลาะกันจะเอาข้อมูล มันไม่ใช่นะ เราไม่มีอารมอธิบาย เราเงียบ แล้วนิ่งไม่ตอบ แล้วถามกลับไปนะว่า ป๊าาาา เค้าถามจริงๆ การที่เค้ากับลูกมาอยู่กับป๊าาา ป๊าาาอึดอัดมากเหร๋อ ฝ่ายชายเงียบ เราก็ถามต่อว่า ถ้างั้น เค้ากับลุกออกไปเช่าบ้านอยู่ก็ได้นะ (มันเป็นการพูดแบบไม่คิดจริง) ฝ่ายชายตอบมาว่า ก็ตามใจ จากนั้น เราก็พาลูกออกไปหาซื้อขนม กลับมาสามีก็ไม่อยุ่แล้ว เราว่า อาการมันไม่ดีแร่ะ เลยเดินไปคุยกับแม่สามี
ฉันคุยเรื่องแรก คือ
1. เรื่องเงิน 100 บาท สามีไม่ได้เรียกนะคะ หนูให้เอง
2. แล้วพูดคุยอธิบายไป ว่าหนูไม่โอเคเลยนะ ถ้าได้เงินแล้วดื่มเหล้า/เบียร์แบบนี้ อยากให้ดูแลสุขภาพ ต้องจ่ายมากกว่านี้ก็ได้นะถ้าป๊าจะดื่มแบรนด์ เราอยากสร้างครอบครัว เก็บเงินเก็บทองนะ ลูกเข้า รร. ก็ต้องใช้เงิน เงินก็น้อยแทบไม่มี จะให้ขอเงินแม่ตลอดก็ไม่ได้นะ
3. เรื่องลูกชาย ตอนเราทำงาน เราทำงานออฟฟิต เราเลี้ยงคนเดียวตลอด เลิกงานก็มาอยู่ บ. ปิดเทอม/ไม่สบาย ก็มาทำงานด้วยกัน ฉันเลี้ยงลูกด้วยมือถือ จนเพื่อนๆ ร่วมงานชมว่า เลี้ยงลูกดีนะ เงียบมาก นึกว่าไม่มีเด็ก จนก่อนออกจากงาน เราก็ยังใช้ชีวิตแบบนี้ พอมาอยู่ที่สวนเราก็หวังให้เค้าช่วยสอนถ่ายทอดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงให้ แต่กลับเหมือนว่า ไม่พอใจ หงุดหงิดใส่ จนมาบอกเรา เราเลยตัดปัญหาที่ทำให้สามีไม่สบายใจ โดยการยึดโทรศัพท์ของลูก และที่บ้านไม่มีทีวีดู มีคอม เปิดดูทีวีออนไลน์ได้ ลูกเกิดเหงา ก็ถามว่า พ่อครับ ขอดูหนังได้ไหมครับ พ่ออาจจะตอบกลับแบบเล่นๆ แต่ลูกตกใจนะ พ่อตอบว่า ไม่ได้!! ลูกก็เงียบ สักพัก พ่อก็ถามว่า ทำไมไม่เปิด!!! ลูกจึงได้เปิด (ทั้งหมดนี้ คือเรื่องที่นั่งคุยกับแม่สามี)
เมื่อแม่สามีฟังแล้ว ตอบเราว่า แม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไงนะ เดี๋ยวแม่จะเรียกมาคุยพร้อมกันนะ จากนั้น เราก็ขอตัวออกมาเก็บผลไม้ เพราะมีออเดอร์มา จากนั้น สามีก็กลับมา
หลังจากนั้น ฉันกลับเข้าบ้าน สิ่งที่เราได้รับต่อจากนั้น คือ สามีเกรี้ยวกราดใส่ ทำวางของเสียงดัง รยมทั้งคุยกับหมาแบบดีใจ ดีใจจังเลยมันจะไปแล้ว (เอ้า!!! มองหน้าลูก ป่ะ งั้นเก็บของกัน) ระหว่างนั้น สามีมาเปิดห้องและตะคอกใส่ว่า ไหน!!! ยึดโทรสับอะไร!! ใครยึด โทรสับอยู่ไหน (เรา งง ซิ ไหนบอกจะเรียกไปคุย สายตาที่มองออกไป แม่สามียืนอยู่ข้างหลังไกลๆ) มองดูลูกชายตะคอกใส่เรากับลูก) เราก็บอกว่าอยู่ในกระเป๋า เก็บแล้ว จากนั้น ฝ่ายชายเดินออกไปพร้อมสบถคำต่างๆ เราเลยตะโกนออกไปว่า เออ...ไม่ต้องไล่มาก ไม่อยู่ก็ได้ จากนั้น มองหน้าลูก เตรียมความพร้อม เพราะที่บ้านสามีเลี้ยงบางแก้ว ที่ดุเวลาปล่อย เราจะต้องอยู่แต่ในห้อง แต่คืนนั้น เราตัดสินใจ กัดก็กัดซิ หอบจักร/กระเป๋าเสื้อผ้า/และงานจำเป็นใส่รถมอเตอร์ไซด์ของเราที่ขนขึ้นกะบะไปด้วย และตัดสินใจจะกลับไปที่ที่จากมา เวลานั้นประมาณเกือบ 2 ทุ่ม ฉันขี่มอไซด์ออกมา มีหมาไล่ตลอดทาง มากันเสื้อแขนสั้น/กางเกงขาสั้น ทั้ง 2 คนแม่ลูก เราแวะปั้มหาอาหาร น้ำดื่ม/เติมน้ำมัน ปัสสาวะ ให้พร้อมเดินทาง และเดินทางต่อประมาณ 100 กิโลเมตร จอดรถในปั้ม (อ่อ วันนั้นคือ วันที่ 28 มีนาคม 63) ประมาณ 23.30 น. ฉันจอดรถพัก และรู้สึกง่วงนอน จะเอาไงดี ถนนเงียบ จะไปต่ออย่างไง เข้ากทม หมวกกันน๊อคก็ไม่มี สับสันไปหมด พิกัดตอนนั้น ไปต่อ 400 กิโล ถ้ากลับไป 100 กิโล ถามลูกว่าตัดสินใจอย่างไร ลูกตอบว่าตามใจแม่ ฉันเลยตัดสินใจไปต่อ พอออกมา ถนนมืดมาก ฉันขับรถวนไปมาหลายรอบ จึงตัดสินพาลูกเข้าพักที่ห้องพักริมทาง แต่ทางการสั่งปิดห้ามเปิดบริการ โอ้ยยยย ฉันสงสารลูกมากแล้วฉันก็ง่วงด้วย สุดท้าย ฉันตัดสินใจ กลับไปที่เดิม ที่บ้านฝ่ายชาย ระหว่างทาง ลูกชายซ้อนท้ายหลับ เราจอดข้างทางที่ศาลาริมทาง บางจุดหญ้ารกมาก กลัวงูสัตว์มีพิษ บางจุดสะอาดแต่พอจอด เจ้าถิ่นวิ่งกรูกันมา (หมา) ต้องไปต่อ สุดท้าย กลับไปถึงประมาณ ตี 2 ฝ่ายชายไม่ต้อนรับ พร้อมของทุกชิ้นของฉันถูกกองไว้หน้าบ้าน หมาก็จ้องจะกัด ตอนมาฉันมีเต้นท์มาด้วย จึงกางเต้นท์ให้ลูกนอนก่อน แล้วบอกลูกว่า ขอเข้าไปคุยกับพ่อก่อนนะ แต่สุดท้าย เค้าไม่คุยด้วย ทำให้ฉันกับลูกต้องดิ้นรนต่อจนตอนนี้ ฉันกลับไม่ได้ ฉันออกมาจากที่นั้นแล้ว ฉันตกงาน ฉันเคลียดมาก ฉันมีชีวิตคู่เพียง 10 วันเท่านั้น และเคลียดถึงขนาดติดต่อกรมสุขภาพจิต ทำแบบ ประเมินโรคซึมเศร้า ได้ 25 คะแนน ถือว่า เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง แชทไป 1 วัน ตอบ 3 แชท โทรคุยก็สายหลุด วันนี้ผ่านมาเกือบ 1 เดือนแล้ว ฉันพร้อมที่จะระบาย อยากได้รับการช่วยเหลือจริงๆ ฉันและลูกไปต่ออย่างไรกับโควิด 19 ตกงาน ไร้บ้าน 😭😭 ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะคะ
เรารักกันมาก กว่าจะแต่งงานกัน แต่ชีวิตคู่แค่ 10 วัน มันไวไปสำหรับฉัน ฉันเป็นแม่หม้ายมาก่อน และหวังกับความรักครั้งนี้มาก อยากมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ แายุก็มากแล้ว หางานก็ยากขึ้นค่ะ ลุกก็ยังไม่มีที่เรียนต่อ คชจ. แรกเข้าก็ไม่มี แมสที่ทำขายตอนนี้ก็ขายไม่ออก ทำอะไรขายก็โดนขายตัดราคา ฉันต้องเริ่มใหม่อีกกี่ครั้งฉันอยากเข้มแข็งกว่านี้