สวัสดีทุกคน เรา มาดามเจ (Mme. J) เอง วันนี้มาดามก็เอาผลงานการแต่งนิยายของมาดามมาลงซะที ถึงแม้ว่าจะนานไปซะหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าจะไม่มาซะทีเดียว เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในนิยายเรื่องนี้มาดามต้องขอบอกก่อนเลยนะว่าเป็นเรื่องแต่งผสมกับเรื่องจริงที่มาดามได้เก็บมาจากการสะสมประสบการณ์ตรงทั้งจากตัวเอง เพื่อนหรือคนรอบตัวมาดามทั้งนั้น ส่วนในเนื้อหาของนิยายที่ตอนแรกมาดามตั้งใจไว้ว่าจะเขียนให้ถึง24 บทเพื่อให้ผู้อ่านได้อ่านกันแบบตาแฉะกันไปเลย แต่ว่าก็ต้องมาตัดทอนลงจนเหลือประมาณแค่ 10 บทนี่แหละ เนื่องด้วยความไม่พร้อมทางด้านเวลา ซึ่งผู้อ่านก็อย่าห่วงไปเลยเพราะถ้ามาดามเขียนเสร็จในแต่ละตอนแล้ว มาดามก็จะเอาลงให้อ่านกันแบบวันต่อวันเลย ถ้าเขียนเสร็จทันในวันนั้น ๆ นะ แต่รับรองว่าจบเรื่อง ไม่มีค้างคาแน่นอน
เช่นนั้นถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มอ่านกันเลยดีกว่า...
บทนำ
คุณเคยเป็นกันไหมครับ เวลาที่ได้เจอใครสักคนที่เรียกได้ว่าเป็น โคตรคนของคนโคตรสมบูรณ์แบบ กำลังมายืนอยู่ตรงหน้า และถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักกันเลยก็ตามที แต่คนคนนั้นกลับทำให้เราลืมความสนใจจากสิ่งรอบข้างได้อย่างอัศจรรย์ประหนึ่งเหมือนเวลาของเราได้หยุดลง ณ ตรงนั้น และเหลือทิ้งไว้แค่เพียงโลกเล็กๆ ใบหนึ่งที่มีเพียง “เขา” กับ “เรา” แค่สองคน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บนเวทีงานกิจกรรมวันคริสต์มาสของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งที่ผมกำลังเรียนอยู่ ผู้คนมากมายกำลังจับจองที่นั่งและรอชมการแสดงสุดพิเศษจากเหล่าพี่ๆ นักเรียนชั้นม. ๖ ซึ่งปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีที่พิเศษและยิ่งใหญ่ก็ว่าได้ครับ เพราะเหล่าพี่ๆ ม.๖ ได้เชิญน้องๆ จากชั้นปีต่างๆ มาร่วมแสดงบนเวทีในงานวันนี้ด้วย โดยปกติแล้วในทุกๆ ปีที่ผ่านมา ผมจะเห็นแค่การแสดงที่มีเฉพาะพี่ ม.๖ เป็นคนแสดงเท่านั้น เลยทำให้ผมรู้สึกว่างานวันคริสต์มาสในปีนี้จะเป็นปีที่พิเศษกว่าปีอื่นๆ ที่ผ่านมาครับ
เว้นเสียแต่ว่า... ถ้าผมไม่มายืนอยู่หลังเวทีและรอแสดงในชุดการแสดงถัดไป
ใช่แล้วครับ ! ผมชื่อ นายธีรพัฒน์ เสถียรวิเศษวงศ์ หรือที่เพื่อนๆ ชอบเรียกว่า ดายล์ นักเรียนชั้นม.๕ เป็นหนึ่งในชุดนักแสดงของการแสดงของพี่ม.๖ ห้องคิง ที่ดูยังไงผมก็ควรที่จะดีใจใช่ไหมครับที่ได้ร่วมแสดงกับพี่ๆ หัวกะทิห้องต้นๆ ของโรงเรียน (ใช่ครับ ผมควรจะดีใจ) แต่เปล่าเลยครับ ถ้าไม่ใช่เพราะตัวบทในเรื่องที่ผมได้รับ คือ บทลูกหมู ทุกอย่างก็คงจะออกมาดีกว่านี้ และมันคงจะออกมาดีกว่านี้มาก ถ้าผมไม่ต้องมาใส่ชุดบ้าๆ พวกนี้เล่นละครต่อหน้านักเรียนทั้งโรงเรียน ผมยิ่งเป็นคนอายๆ อยู่ครับ บทก็ยังจำไม่ค่อยได้เลยถึงแม้จะซ้อมกันมาเป็นอาทิตย์แล้วก็เถอะ และนี่ยังจะต้องมาใส่ชุดประหลาดๆ น่าอายอย่างนี้ขึ้นเวทีอีก เอาเป็นว่าถ้าละครเรื่องนี้ขึ้นตรงต่อการแสดงของผมแล้วล่ะก็ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับละครชุดนี้มีแค่สองอย่างครับ ถ้าไม่ “ดัง” จนพลุแตกก็ “พัง” จนต้องแทรกแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว
และต้นเหตุของเรื่องนี้มันก็มาจากไอ้ปูนปั้นครับ เพื่อนห้องเดียวกันกับผมและเพื่อนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด มันเป็นคนมาขอร้องผม (ถ้าจะเอาให้ถูกก็ขอร้องจนแทบจะกราบผมให้ได้อยู่แล้วครับ) ให้ไปช่วยแสดงละครกับพี่ๆ ม.๖ ในงานวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้ เพราะมันเผลอไปรับปากกับพี่ๆ ห้องนั้นไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนว่าจะช่วยหานักแสดงสมทบให้ ถ้าไม่เช่นนั้นผมก็คงไม่แสดงหรอกครับ ผมคงจะไปหาที่นั่งชิลล์ๆ แถวท้ายๆ รอดูการแสดงของพี่ๆ แทน
ผมคิดว่าผมคงจะเป็นผู้โชคร้ายเพียงคนเดียวซะแล้วที่โดนไอ้ปูนปั้นลากมาร่วมเล่นละครด้วย แต่เปล่าเลยครับ ฤทธิ์ของเพื่อนผมยังไม่หมดแค่นั้นหนะสิครับ ผมไม่ใช่ผู้โชคร้ายเพียงคนเดียว เพราะยังมีไอ้พิภพครับ เพื่อนกลุ่มเดียวกันกับผมที่ติดร่างแหไปกับเขาด้วยโดนลากคอมาเล่นละครในวันนี้ ไม่รู้ว่าไปขอร้องกันอิท่าไหน เพราะจากที่อยู่ด้วยกันมานานห้าปีแล้ว ผมต้องขอยอมรับครับว่าพิภพเป็นคนที่ใจแข็งมาก นี่ถ้าไอ้ปูนปั้นไปขอร้องให้มาร่วมแสดงละครได้ผมก็ว่าไอ้ปูนปั้นมันโคตรเทพเลยล่ะครับ
และถ้าคุณคิดว่าการที่ผมและพิภพถูกไอ้ปูนปั้นลากคอมาร่วมเล่นละครกับพี่ๆ ม.๖ เป็นเรื่องที่แย่แล้ว ยังมีเรื่องที่แย่กว่านั้นอีกครับ มันคือบทละครที่พวกเราได้เล่นครับ ซึ่งเราทั้งสามคนได้เล่นละครบทเหมือนกัน นั้นก็คือ บทพี่น้องลูกหมูสามตัว ที่ในเรื่องจะต้องพยายามหาทางรอดจากการเขมือบของเจ้าหมาป่าจอมตะกละให้ได้ แล้วนี่ก็เลยต้องมานั่งแย่งตัวละครกันอีกหล่ะครับ ว่าใครจะเล่นเป็นพี่คนโต พี่คนกลางหรือน้องคนเล็ก สำหรับผมแล้ว ผมเล่นบทไหนก็ได้ครับเพราะบทมันก็เหมือนๆ กันนั้นแหละ แต่ไอ้เพื่อนสองคนนี้สิครับ แย่งกันเอาเป็นเอาตายเพื่อจะได้เป็นลูกหมูพี่คนโต จนพี่ๆ ม.๖ ต้องเข้ามามอบบทให้ถึงจบศึกชิงบทลงได้
ผมเลยเห็นลางมาแต่ไกลๆ แล้วครับว่า การแสดงชุดนี้ “ไม่น่ารอด”
หลังจากการมอบบทของพี่ๆ ม.๖ เพื่อสงบศึกชิงบทลง สรุปแล้ว พิภพได้เป็นลูกหมูพี่คนโตเพราะตัวสูงกว่าพวกผม ผมกับปูนปั้นสูงเกือบเท่าๆ กัน แต่ปูนปั้นได้เป็นลูกหมูพี่คนกลาง เพราะผมขอเลือกเป็นน้องคนสุดท้องเองเนื่องจากไม่อยากเปิดศึกชิงบทกับไอ้ปูนปั้นใหม่ว่าทำไมมันได้เป็นน้องเล็กแต่ผมได้เป็นพี่ชายคนกลาง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พี่ๆ ม.๖ กับผมก็คงได้ปวดหัวไปตามๆ กัน
นี้แหละครับคือที่มาว่า ทำไมผมถึงต้องมายืนอยู่หลังเวทีในชุดประหลาดๆ ที่กำลังรอแสดงในการแสดงชุดถัดไป
“เอาล่ะ คิวแสดงต่อไปเป็นของห้องคิงนะ อีก ๕ นาทีแสตนบายด์ได้เลย เตรียมตัวให้พร้อมกันด้วยนะ” พี่สตาฟคนหนึ่งบอกให้พวกเราที่เป็นการแสดงชุดต่อไปเตรียมตัวขึ้นแสดงในคิวถัดไป ฟังดูแล้วก็กดดันใช้ได้เลยนะครับ แต่คงไม่เท่ากับการที่ตัวละครลูกหมูที่ควรจะมีครบสามตัวแต่ตอนนี้กลับเหลือแค่เพียงสองตัวเท่านั้น คือ พิภพกับผม ส่วนไอ้ตัวที่สามตัวต้นเหตุเรื่องนี้หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ครับ
“เออ ดายล์ แกเห็นไอ้ปูนปั้นป่ะว่ะ” พิภพถามผม ในขณะที่ผมกับมันกำลังเดินไปยังฝั่งทางขึ้นเวทีตามบทที่เขียนไว้พร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเพราะไม่อยากเป็นตัวตลกและอายไปมากกว่านี้บนเวที
“ไม่เห็นมันเหมือนกันว่ะ แต่เดี๋ยวมันก็คงมามั้ง มันคงไม่ทิ้งพวกเราให้เล่นกันแค่สองคนหรอก อุตส่าห์มันไปขอร้องให้พวกเรามาแสดงแทบตายนี่ แต่ถ้ามันเบี้ยวจริงๆ นะ เดี๋ยวหลังจากเสร็จงานนี้แล้ว ฉันจะพาแกไปจัดการมันเอง” ผมพูดพลางภาวนาในใจว่าขอให้มันมาทีเถอะ เพราะไม่มีใครจำบทของไอ้ปูนปั้นได้เลยครับ ลำพังบทของตัวเองยังจำไม่ได้เลยแล้วประสาอะไรกับบทของคนอื่น อย่าหวังว่าจะจำได้เลย แค่จำได้ว่าเล่นเป็นอะไรก็ยังถือว่ายากเลยครับ
ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าปูนปั้นหายไปไหน สิ่งที่พวกเราทำได้ก็เพียงแค่รอการปรากฏตัวของมันเท่านั้นเองแหละครับ เพราะยังเหลือเวลาอีกกว่าสองนาทีก่อนที่จะขึ้นแสดง ตอนนี้พวกผมขอแค่ปาฏิหาริย์เท่านั้นเอง
“West Side เรียก East Side... ตอนนี้นักแสดงชุดถัดไปของห้องคิงฝั่งนี้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ฝั่งนั้นโอเคหรือยัง... เปลี่ยน” เสียงจากวิทยุสื่อสารของพี่สตาฟที่ยืนประจำทางขึ้นเวทีดังขึ้น ก่อนจะหันมาถามพวกผมด้วยคำถามที่ยากเกินจะตอบได้
“น้องค่ะ พร้อมกันแล้วใช่ไหมค่ะ” พี่ถามอย่างคาดหวังคำตอบว่า ใช่ เพราะพี่แกสังเกตเห็นว่าพวกผมสองคนมองหน้ามองหลังเหมือนรอคอยใครสักคนตั้งแต่มาถึงแล้ว
“ครับ ! พร้อมแล้วครับ !” เสียงตอบปนหอบดังมาแต่ไกล
นั้นคือเสียงสวรรค์ของไอ้ปูนปั้นเองครับ ขอบคุณพระเจ้าที่มันมาทันเวลาพอดี ไม่งั้นพวกผมคงแย่แน่ๆ เลย
“เอ่อออ... พวกเธอพร้อมกันจริงๆ นะ” พี่สตาฟถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะเห็นไอ้คนที่เพิ่งวิ่งมาเหนื่อยหอบยังกับโดนทำโทษให้ไปวิ่งรอบสนามโรงเรียนมาสักสิบรอบยังไงอย่างงั้นแหละ
“ครับ พร้อมแล้วจริงๆ ครับ” ปูนปั้นตอบพี่สตาฟกลับ พร้อมกับยกมือทักทายให้เพื่อน พลางพยายามควบคุมการหายใจให้กลับมาเป็นปกติ
“East Side เรียก West Side... ฝั่งนี้ก็พร้อมแล้วเหมือนกัน แสดงเป็นรายการถัดไปได้... เปลี่ยน” พี่สตาฟตอบกลับเพื่อนที่อยู่อีกฝั่งผ่านวิทยุสื่อสารในมือ
“โอเค... งั้นต่อไปเป็นการแสดงของห้องคิงนะครับ... ขอบคุณครับ” เสียงปลายทางตอบกลับมา
“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีค่ะ” พี่เขาตอบกลับไป
ระหว่างนั้นผมกับพิภพก็มีโอกาสได้ถามไอ้ปูนปั้นหลังจากที่มันหายใจได้เป็นปกติแล้ว
“หายหัวไปอยู่ไหนมาว่ะ ปล่อยให้พวกกูคอยตั้งนาน จนนึกว่าจะเบี้ยวการแสดงแล้วปล่อยให้กูสองคนแสดงกันเองซะอีก ” พิภพถามมันพลางโกรธที่หายไปโดยไม่บอก
“ใช่ นี่ถ้ามาไม่ทันแล้วพวกกูได้แสดงกันแค่สองคนจริงๆ นะ หลังจากเสร็จงานนี้แล้ว เดี๋ยวกูนี่แหละจะพาไอ้ภพมันไปเล่นเอง” ผมเสริมด้วยอารมณ์โกรธเพราะกลัวว่ามันจะไม่มาจริงๆ
“เออๆ กูขอโทษพวกด้วยล่ะกันเพื่อน ที่ทำให้พวกรอ แต่กูไม่ได้คิดจะเบี้ยวหรืออะไรหรอกนะ ที่กูหายไปอ่ะ กูไปทำธุระของกูมา” มันตอบพลางก้มขอโทษยกใหญ่
“ธุระอะไรของว่ะตอนนี้” ผมถามไอ้ปูนปั้นพลางนึกสงสัยว่าคนอย่างมันนะเหรอจะมีธุระอะไรกับเขา วันๆ หนึ่งไม่เห็นมันทำอะไรเลยนอกจากอ่านการ์ตูนในเน็ตอะไรของมันก็ไม่รู้
“เออน่า ธุระก็ธุระดิว่ะ ส่วนตัวโว้ย” มันตอบผมอย่างเลี่ยงๆ
แต่ผมก็คงจะพอรู้แหละครับว่าธุระอะไรของมัน ถ้าพูดแล้วมันเขินจนหน้าแดงขนาดนี้
“จะธุระสาธารณะหรือธุระส่วนตัวอะไรก็เรื่องของไปเถอะ มาทันก็ดีแล้ว รีบไปเตรียมตัวขึ้นแสดงเลย เดี๋ยวก็ถึงคิวของพวกเราแล้ว” พิภพพูดขณะมองไปบนเวทีที่ขณะนี้กำลังมาถึงช่วงสุดท้ายของการแสดงชุดก่อนหน้าแล้ว
ไม่นานนักหลังจากนั้นก็มีเสียงปรบมือจากผู้ชมข้างล่าง บอกเป็นนัยว่าการแสดงได้จบลงไปแล้ว ต่อไปจะเป็นการแสดงชุดใหม่ และนั้นยิ่งทำให้ผมประหม่าและตื่นเต้นจนเหงื่อนี่จะท่วมตัวผมอยู่แล้วครับ
...(อ่านต่อด้านล่างนะ)...
Just Only You The Series (เพียงเธอ) by Mme. J