LEAN and Kaizen 2 ระบบที่ควรนำมาปรับใช้กับชีวิตจริงในช่วงนี้ (2563 covid19)

.       ตอนเกริ่นก่อนว่าผมไม่ใช่สายวิศวกรรม หรือทำงานสายผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมโดยตรง เลยทำให้ผมไม่ได้มีความรู้แบบถึงแก่นแท้ของ 2 แนวคิดนี้
เพราะจริงๆแล้วผมทำงานสายฝึกอบรมในโรงงานมาได้ 2 ปี จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องพยายามทำความเข้าใจพวกระบบที่เขาใช้กันในโรงงาน ประกอบกับเป็นคนที่จะต้องหาคอร์สอบรมต่างๆให้พนักงาน และแน่นอนคนหาคอร์สถ้าไม่มีความรู้ เราจะไปคุยกับวิทยากรหรือหน้างานได้อย่างไร
บอกตรงๆว่า 2 ปีที่ผ่านมานี้ ผมรู้สึกว่าสายโรงงานไม่ใช่ทางถนัดของผมสักเท่าไหร่ เพราะผมชอบเรียนรู้ทฤษฎีทักษะในเชิง Soft skill เสียมากกว่า แต่ 2 ปีที่ผ่านมา ผมกลับได้ความรู้จาก 2 ระบบนี้ มาปรับใช้กับชีวิตอย่างอัตโนมัติ และผมก็คิดว่ามันคงจะมีประโยชน์ไม่น้อย ในสถานการณ์วิกฤต เช่นปี 2563 นี้

.
.         เริ่มที่ตัวแรกคือ Kaizen หรือไคเซ็น เป็นระบบแรกที่ผมรู้จักหลังจากเข้ามาทำงาน ไคเซ็นคือการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงทีละเล็ก ทีละน้อย แต่ทำทุกวัน  เช่น คุณอาจจะคิดนวัตกรรการลดกระดาษในองค์กร วันแรกคุณอาจจะลดได้แค่ 1 แผ่น แต่ถ้าคุณตั้งใจลดมันเรื่อยๆ พอเวลาผ่านไป มันอาจจะกลายเป็น 100 1000 แผ่น เหมือนผมตอนนี้ ที่เอกสารเกือบทุกอย่าง จัดอยู่ในแบบฟอร์มออนไลน์ โดยมีจุดเริ่มต้นเล็กๆเพียงแค่การอยากช่วยลดกระดาษวันละแผ่นสองแผ่น
.
.       กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่าว่า แล้วไอไคเซ็นเนี้ย มันเอามาปรับใช้กับชีวิตอย่างไร ผมก็จะอธิบายอย่างนี้ว่า ใช้เวลามีเป้าหมายอยากทำอะไรใหม่ๆ เช่น เรียนภาษาอังกฤษ ผมก็จะนำไคเซ็นมาปรับใช้คือ ค่อยๆเรียนรู้มันไป ท่องศัพท์วันละ 3-4 คำ ฟังเพลงฝรั่งเท่าที่มีโอกาส ดูหนัง เรียนคอร์ส คือค่อยๆทำทุกอย่างแบบไม่หักโหม แต่อาศัยทำทุกวัน เพราะผมเชื่อว่ามันจะทำให้เรายืนระยะในการเรียนได้ดีกว่า และตัวเราซึมซับได้มากกว่า  ข้อดีอีกอย่างคือ ในเวลาเดียวกันคุณสามารถเรียนรู้หลายๆทักษะไปพร้อมกันได้ เช่น ในวันหยุดช่วงนี้ ผมจะตื่นมาเรียนภาษาอังกฤษ พอสายๆผมเริ่มเบื่อก็จะไปอ่านหนังสือการลงทุน ตกบ่ายผมก็เปลี่ยนหนังสือที่อ่านเป็นพวกวรรณกรรมบ้าง และในช่วงเย็นผมก็หาเวลามานั่งเขียนบทความ เท่ากับว่าวันนี้ผมจะได้ 3 ทักษะคือ ภาษา การลงทุน การเขียน 
.
.      ผมยังคงใช้ Kaizen กับอีกหลายๆเรื่อง เช่น การออกกำลังกาย การเขียนหนังสือที่ผมชอบ การลงทุนในหุ้นที่ผมสนใจ ทุกๆเรื่องใหม่ๆ ยากๆในชีวิต ผมล้วนนำไคเซ็นมาจับ เพราะผมเชื่อเวลาคือครูที่จะทำให้เรา ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างเชี่ยวชาญได้ เพราะทุกสิ่งล้วนแล้วต้องอาศัยเวลาทั้งนั้น
คำถามต่อมาว่า แล้วมันเหมาะอย่างไงกับช่วงนี้ ผมก็จะตอบว่ามันเหมาะมาก เพราะคุณไปไหนไม่ได้ และผมถือว่ามันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของยุค สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆคือสิ่งที่เราไม่รู้จักมักคุ้น แถมส่วนใหญ่เราก็ทำมันไม่ได้เลย การเริ่มต้นทำมันทีละเล็กทีละน้อยดูเหมือนจะเป็นการเริ่มต้นที่ง่าย และทำให้เราไม่ถอดใจไปเสียก่อน ไม่เชื่อคุณลองเริ่มหาสิ่งใหม่ และค่อยๆทำมันดู ทีละเล็ก ทีละน้อย ดูสิ…….
.
.
.       ต่อมาคือระบบ Lean  ตัวนี้ถ้ามองในภาพของในโรงงาน เป็นระบบที่ใหญ่มาก คือสำหรับผมหลักการแมร่งซับซ้อนเกินกว่าที่คนอย่างผมจะเข้าใจหากไม่ได้ตั้งใจศึกษามัน แต่ถ้าให้ผมตีความแบบบ้านๆเท่าที่ผมเข้าใจ ระบบ Lean ก็คือการทำให้ในบริษัทหรือโรงงาน มีความสูญเสียน้อย หรือเอาง่ายๆคือ มันคล่องตัวเวลาทำงาน ไม่ใช่อุ่ยอ้าย แบบมีเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆเต็มไปหมด   การทำให้ Lean มันก็คงคล้ายๆกับการทำให้องค์กรเบาที่สุด มีสิ่งที่ไม่จำเป็นน้อยที่สุด
.
.     ผมชอบระบบนี้มาก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันทำให้ผมมีเงินมากขึ้น แถมบ้านผมก็ไม่รกด้วย  ทุกคนอาจจะ งงๆ ว่าเอามาเชื่อมกับบ้านได้ไงวะ ก็จะบอกอย่างนี้ว่า 
.
.        ผมไม่รู้ว่าไปซึมซับไอเจ้าระบบ Lean มาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าทุกวันนี้ผมจะขายทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช้ออกไปให้หมด ตั้งแต่ เสื้อผ้า ขายไม่ได้ก็บริจาค หนังสือที่อ่านจบแล้ว และคิดว่าคงไม่อ่านอีก รองเท้าจากสิบคู่ สุดท้ายใส่แมร่งอยู่ 2 คู่ก็ขายให้หมด เหลือแค่ รองเท้าผ้าใบ(มันคือรองเท้าวิ่งด้วย) รองเท้าหนัง รองเท้าเตะ รวมทั้งของสะสมตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา ผมก็ขายมันหมดเลย เพราะเอาจริงๆมันแทบไม่ได้ใช้งาน แถมเปลืองพื้นที่บ้านมากๆ ทำให้รก ไม่สบายตาเข้าไปอีก พอขายไปแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือ 1.เงิน 2.คือพื้นที่บ้านที่มันจะสะอาดขึ้นเยอะ
.
.      ที่กล่าวมาเป็นขาออก เรามาดูขาเข้ากันบ้างดีกว่า พอเราใช้ระบบ Lean ใช่ไหม การที่เราจะซื้อของอะไรสักชิ้นหนึ่ง มันก็จะยากขึ้น กล่าวคือ คุณจะคิดแล้วคิดอีกว่าของนั้นซื้อมาแล้วมันได้ใช้จริงๆไหม เพราะถ้าไม่ได้ใช้มันคือขยะ และมันจะทำให้ชีวิตคุณดูหนักขึ้น ผมว่าจริงๆนะ การที่เรายิ่งมีของน้อยชิ้นมากเท่าไหร่ ความกังวล ความเครียด มันก็น้อยลงมากนะ ผมเคยสังเกตตัวเองเวลาออกเดินทาง เพียงเป้ 1 ใบ กับเต้นท์ 1 หลัง ผมพบว่าช่วงเวลานั้นชีวิตมันเบาขึ้นเยอะเลยนะ มันไม่ต้องกังวลว่า มีงานบ้านอะไรต้องทำไหม หรืออันนู้นพัง อันนี่พังต้องคอยซ่อมแซม ดูแลรักษา  ผมจึงค้นพบว่า ชีวิตเรายิ่งน้อยชิ้น ความสบายยิ่งมีมากขึ้น
.
.
.       เขียนมาถึงตรงนี้ผมก็ยัง งงๆ อยู่ว่าจะจัดบทความนี้ลงไปในกระทู้ประเภทไหน เพราะอยุ่ดีๆมันก็แค่มีความรู้สึกอยากเขียนขึ้นมา แต่เอาเป็นว่า ถ้าบทความนี้เป็นประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง คนเขียนอย่างผมก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่