
จากตอนที่แล้วที่หนุ่มน้อย ม.ต้น...
จากโรงเรียนชื่อดังแถว จ.นนท์...
ต้องหกระเหินมาอยู่ที่ยะลา...
โดยมีต้นเรื่องมาจากค่าคอมมิชชั่นก้อนแรก...
จากการทำแหวนรุ่นขายให้เพื่อนๆก่อนจบ...
สมัย ม.ปลายที่ต้องใช้ชิวิตแบบ...
ปากกัด (หมอน)...ตีนถีบ (ผ้าห่ม)...
อยากตื่นกี่โมงก็ไม่มีใครว่า...
ไม่ต้องมีใครมาคอยบังคับให้ทำโน่นทำนี่...อิสระเสรีสุดๆ
วันไหนที่ไม่มีข้าวกิน...
ก็ทำทีเป็นเยี่ยมบ้านเพื่อนตอนใกล้เที่ยง...
หรือไม่ก็ตอนเย็นๆหน่อย...
รอดูจังหวะดีๆว่าแม่ของเพื่อนเร่ิมทำกับข้าวแล้วหรือยัง...
รอซักแป๊บเหอะ....เดี๋ยวได้อิ่มท้องแน่...
ถ้าไปบ้านไหนแล้วแม่เขาไม่อยู่...ก็เปลี่ยนไปบ้านอื่นแทน...
กล่าวคือ...ต้องพิจารณาดูว่าบ้านเพื่อนคนไหน...
ที่เขามีความพร้อมทางด้านโภชนาการ...เราควรไปบ้านนั้นก่อน...
เพราะตัวเองต้องคำนึงถึงสุขภาพอนามัยส่วนบุคคลด้วย...
ไม่ใช่สักแต่กิน...ให้อิ่มท้องอย่างเดียว...
ทำแบบนั้น...มันมิใช่วิสัยของ “นักขอเขากิน”มืออาชีพ...
เรื่องสารอาหารนั้น...เป็นสิ่งที่เราต้องคอนเซิน...
เพราะวิชาสุขศึกษาก็สอนแล้วว่า...
สารอาหารนั้นเป็นจำเป็นต่อการเจริญเติบโต...
ถึงแม้ว่าจะไปขอเขากินก็ตาม...
เสียดายตอนนั้นไม่มีเพื่อนคนไหนเป็นฝรั่งนะ...
ไม่งั้นผมจะไปบ้านมันทุกวัน...
จะล่อสเต๊กหมูให้หมดเล้าเลย...เสียดาย...
KPI ข้อเดียวที่พ่อตั้งเอาไว้คือ...
จะต้อง “เอ็นทร้านส์” ให้ติดมหาลัยให้ได้...
เป็นยังไงครับ...พ่อผมทันสมัยปะ...
ไม่เน้นวิธีการ...ให้เน้นผลลัพธ์...
เพราะวิธีการเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน..
โดยเฉพาะลูกคนนี้ที่อาจดูแปลกกว่าลูกชาวบ้านคนอื่นซักหน่อย..
ตรงนี้แหละครับ...เชื้อเพลิงก้อนเล็กๆก้อนแรก...
ที่ส่งผลต่อแนวคิดการทำงานในปัจจุบันของตัวเอง...
พ่อขอแค่ “เอ็นท์ติด” แต่ไม่ได้กำหนดเกรดเฉลี่ย...
ต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ในแต่ละเทอม...
เพราะฉะนั้นก็มีเวลาเหลือพอดิ...
ว่าแล้วในชั้น ม.6 ก็ตัดสินใจลงเล่นการเมืองครั้งแรก...
และครั้งเดียวในชีวิต...
ลงชิงตำแหน่งสำคัญของโลก ณ เวลานั้น...
ตำแหน่งนั้นคือ....คือ....
(มโหรีบรรเลง....ปี่กลองเชิด...บทเพลงเพลงซิมโฟนี่หมายเลข 5)
...“ประธานนักเรียน”...
เหมือนมีอีกาบินวนอยู่รอบหัว...ประหนึ่งการ์ตูนญี่ปุ่น...
พร้อมเสียงประกอบ...ก๊า...ก๊า...ก๊า....
ประเด็นที่กระตุ้นให้ลงสมัครในตอนนั้นมีอย่างเดียว...
คือ...คู่แข่งคนสำคัญเป็นคนเรียนเก่งมาก...
เป็นคนเอาจริงเอาจัง...ดูดีมีมาตรฐานอุตสาหกรรม...
ส่วนเราเร๊อะ...เกรด“กาก” มากๆ...
ทำไมคนเรียนเก่ง...มันต้องชนะทุกเรื่องด้วยวะ...
มันต้องแพ้คนกากๆอย่างเราซักเรื่องดิ...
ว่าแล้วก็เริ่มวางกลยุทธ์การหาเสียงและวางนโยบาย...
ของคู่แข่ง...เขาเน้นว่าโรงเรียนของเราต้องสะอาด...
เฮ้ยๆๆๆ...กูจะสมัครเป็นประธานนักเรียนนะเฟ้ย...ไม่ใช่ภารโรง...
บ้านกูเองก็ไม่เคยกวาดถูเลย...ฝุ่นงี้หนาเป็นคืบ...
ของเน้น... “สะอาด” ใช่มั๊ย....
ของกูเน้น... “สนุก” เฟ้ย...ฮะเหยๆ...
นโยบายของผมเลยมีแค่ข้อเดียวเจ๋งๆ...
เราจะต้องชนะเลิศถ้วยกองเชียร์กีฬาประจำจังหวัด...
งานแบบนี้ของถนัดของข้าพเจ้ายิ่งนัก...
พอได้นโยบายแบบนี้...คราวนี้ต้องไปดูกลุ่มเป้าหมาย...
หรือฐานเสียงที่คนเขาจะเลือกเรา...
เด็ก ม.ปลายเหรอ...ไม่ใช่กลุ่มหลักแน่...
เพราะทุกคนก็อยากจะเอ็นท์ติด...เขาเน้นวิชาการ...
น่าจะชอบคนที่เรียนเก่งเป็นไอดอล...
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชั้น ม.6...
เขาคงไม่เสียเวลามาขึ้นแสตนด์เชียร์ของโรงเรียนชัวร์...
เอาวะ...หลอกผู้ใหญ่ไม่ได้...ก็เอาเด็ก ม.ต้นนี่แหละ...
ว่าแล้วก็ให้ “ไอ้แหลม” เพื่อนรัก...
ที่มันต้องมาอยู่ด้วยกันที่บ้านผมหลังโรงเรียน...
เพราะบ้านมันเองอยู่ไกลจากตัวเมืองสิบกว่าโล...
อาศัยที่มันเป็นนักวอลเลย์บอล...ตัวสูง...หน้าตาดี...
หน้าตาอย่างมัน...เชื่อว่าน้องๆ ม.ต้น...
คงกรี๊ดแตกใส่หน้ามันแน่...
ถ้าเทียบกับตัวผมเอง...ที่หุ่นเหมือนหมาพันธุ์ปั๊ก...
แถมยังตัวเตี้ยม่อกต่อกอีก...
เอาละ...ทีนี้พอได้ “เซเลบ” แล้ว...
ส่วนเพื่อนคนที่เหลือที่เห็นในภาพประกอบ..
ก็ช่วยทำหน้าที่หัวคะแนน...และอ้อนวอนให้เดินตามผม...
เวลาปไหนมาไหนจะได้ดูเหมือนมีผู้สนับสนุนเยอะๆ...
สร้างภาพเห็นๆ...
ขั้นตอนต่อไป...มันต้องลงลึกถึงระดับรากหญ้า...
ถ้าพูดให้ดูเป็นนักวิชาการหน่อย...
ก็จะประมาณ...เราจะใช้กลยุทธ์... “DDGR”
Deep down into the Grass root strategy…
(เขียนเองยังขำเองเลย...ฮ่าฮ่าฮ่า...
กลยุทธ์บ้าอะไรว่ะเนี่ย...DDGR...
ผมว่าแม้แต่ คุณคอตเลอร์เอง...
ยังมึนกับกลยุทธ์นี้แน่นอน...
แต่ไหนๆเขียนมาแล้ว...ปล่อยเลยตามเลยละกัน...
ขี้เกียจลบทิ้ง...เด๊ยวเนื้อหาสั้นเกิน)
ทุกพักเที่ยงครับ...จะเห็นทีมหาเสียงของผม...
เดินไปโรงอาหารเพื่อแจกบัตรหาเสียง...
พร้อมโทรโข่งที่ยืมมาจากอาจารย์ฝ่ายโสตทัศนูปกรณ์...
ขอบอกนะครับ...ผมเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียว...
ที่ “ห่าม” ขนาดนี้...
คิดในใจ...เอาวะ...ถ้ากูแพ้คราวนี้...
อย่างน้อยกูก็ดังละว่ะ...
สุดท้ายก็ได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนจริงๆ...
ด้วยคะแนนเสียงท่วมทันในเด็ก ม.ต้น...
แทบจะกวาดทุกคะแนนเสียง...
ส่วน ม.4 , ม.5 ก็แบ่งๆกันไปสำหรับผู้สมัครทั้ง 4 คน...
แต่ผมแพ้ยับเยินเละเทะในชั้น ม.6...
ชนะแค่ห้องเดียว..คือห้องที่ผมเรียนนั่นแหละ...
สาเหตุที่ได้ครบทุกคะแนนเสียงจากห้องตัวเอง...
ด้วยสุนทรพจน์อันแข็งกร้าวว่า...
“ถ้าแม้แต่ห้องข้าพเจ้า...ก็ยังแพ้...
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะละทิ้งหน้าที่ทำเวรความสะอาด...
พวกท่านจงรับหน้าที่นี้แทนข้าพเจ้าไปละกัน”...
นับว่าเป็น Speech ที่ดีที่สุดในภาวะคับขับเช่นนี้จริงๆ...
พูดง่ายๆคือ...เอาความเดือดร้อนของเพื่อนมาเป็นตัวประกัน...
ไม่เลือกกู...ก็ก้มหน้าก้มตากวาดห้องไปเหอะ...
กูจะกอดอกให้แน่นเชียว...
แม้จะเอาควายน้ำจากพัทลุงมา 8 ตัว...
มาแกะมือกูออกก็ไม่มีทาง...นี่ไม่ได้ขู่นะเฟ้ย...
ว่าแล้วก็ชำเลืองตามองเพื่อนอย่างเหยียดๆ...
เพ่ิงได้รู้ทีหลังว่า...
เหตุผลที่ผมได้รับคะแนนเสียงสูงมากในกลุ่มเด็ก ม.ต้น...
Keyword อันหนึ่งที่จับได้ก็คือ...
“พี่เขา...ตลกดี”....
โอ้ย...กูจะบ้าตาย...
มันต้องนิยมชมชอบที่นโยบายดิเว้ยเฮ้ย!!!
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ....
ถึงเวลาชิวิตต้องย้ายที่อีกแล้ว...
-บุ้ง ดีดติ่งหู-
#เขาเรียกผมว่าเซลส์แมน
เรื่องสั้น..จากเรื่องจริงที่ไม่เน้นสาระ: เขาเรียกผมว่า "เซลส์แมน" <EP#2> ตอน "เล่นการเมืองท้องถิ่น"
จากตอนที่แล้วที่หนุ่มน้อย ม.ต้น...
จากโรงเรียนชื่อดังแถว จ.นนท์...
ต้องหกระเหินมาอยู่ที่ยะลา...
โดยมีต้นเรื่องมาจากค่าคอมมิชชั่นก้อนแรก...
จากการทำแหวนรุ่นขายให้เพื่อนๆก่อนจบ...
สมัย ม.ปลายที่ต้องใช้ชิวิตแบบ...
ปากกัด (หมอน)...ตีนถีบ (ผ้าห่ม)...
อยากตื่นกี่โมงก็ไม่มีใครว่า...
ไม่ต้องมีใครมาคอยบังคับให้ทำโน่นทำนี่...อิสระเสรีสุดๆ
วันไหนที่ไม่มีข้าวกิน...
ก็ทำทีเป็นเยี่ยมบ้านเพื่อนตอนใกล้เที่ยง...
หรือไม่ก็ตอนเย็นๆหน่อย...
รอดูจังหวะดีๆว่าแม่ของเพื่อนเร่ิมทำกับข้าวแล้วหรือยัง...
รอซักแป๊บเหอะ....เดี๋ยวได้อิ่มท้องแน่...
ถ้าไปบ้านไหนแล้วแม่เขาไม่อยู่...ก็เปลี่ยนไปบ้านอื่นแทน...
กล่าวคือ...ต้องพิจารณาดูว่าบ้านเพื่อนคนไหน...
ที่เขามีความพร้อมทางด้านโภชนาการ...เราควรไปบ้านนั้นก่อน...
เพราะตัวเองต้องคำนึงถึงสุขภาพอนามัยส่วนบุคคลด้วย...
ไม่ใช่สักแต่กิน...ให้อิ่มท้องอย่างเดียว...
ทำแบบนั้น...มันมิใช่วิสัยของ “นักขอเขากิน”มืออาชีพ...
เรื่องสารอาหารนั้น...เป็นสิ่งที่เราต้องคอนเซิน...
เพราะวิชาสุขศึกษาก็สอนแล้วว่า...
สารอาหารนั้นเป็นจำเป็นต่อการเจริญเติบโต...
ถึงแม้ว่าจะไปขอเขากินก็ตาม...
เสียดายตอนนั้นไม่มีเพื่อนคนไหนเป็นฝรั่งนะ...
ไม่งั้นผมจะไปบ้านมันทุกวัน...
จะล่อสเต๊กหมูให้หมดเล้าเลย...เสียดาย...
KPI ข้อเดียวที่พ่อตั้งเอาไว้คือ...
จะต้อง “เอ็นทร้านส์” ให้ติดมหาลัยให้ได้...
เป็นยังไงครับ...พ่อผมทันสมัยปะ...
ไม่เน้นวิธีการ...ให้เน้นผลลัพธ์...
เพราะวิธีการเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน..
โดยเฉพาะลูกคนนี้ที่อาจดูแปลกกว่าลูกชาวบ้านคนอื่นซักหน่อย..
ตรงนี้แหละครับ...เชื้อเพลิงก้อนเล็กๆก้อนแรก...
ที่ส่งผลต่อแนวคิดการทำงานในปัจจุบันของตัวเอง...
พ่อขอแค่ “เอ็นท์ติด” แต่ไม่ได้กำหนดเกรดเฉลี่ย...
ต้องได้เท่าโน้นเท่านี้ในแต่ละเทอม...
เพราะฉะนั้นก็มีเวลาเหลือพอดิ...
ว่าแล้วในชั้น ม.6 ก็ตัดสินใจลงเล่นการเมืองครั้งแรก...
และครั้งเดียวในชีวิต...
ลงชิงตำแหน่งสำคัญของโลก ณ เวลานั้น...
ตำแหน่งนั้นคือ....คือ....
(มโหรีบรรเลง....ปี่กลองเชิด...บทเพลงเพลงซิมโฟนี่หมายเลข 5)
...“ประธานนักเรียน”...
เหมือนมีอีกาบินวนอยู่รอบหัว...ประหนึ่งการ์ตูนญี่ปุ่น...
พร้อมเสียงประกอบ...ก๊า...ก๊า...ก๊า....
ประเด็นที่กระตุ้นให้ลงสมัครในตอนนั้นมีอย่างเดียว...
คือ...คู่แข่งคนสำคัญเป็นคนเรียนเก่งมาก...
เป็นคนเอาจริงเอาจัง...ดูดีมีมาตรฐานอุตสาหกรรม...
ส่วนเราเร๊อะ...เกรด“กาก” มากๆ...
ทำไมคนเรียนเก่ง...มันต้องชนะทุกเรื่องด้วยวะ...
มันต้องแพ้คนกากๆอย่างเราซักเรื่องดิ...
ว่าแล้วก็เริ่มวางกลยุทธ์การหาเสียงและวางนโยบาย...
ของคู่แข่ง...เขาเน้นว่าโรงเรียนของเราต้องสะอาด...
เฮ้ยๆๆๆ...กูจะสมัครเป็นประธานนักเรียนนะเฟ้ย...ไม่ใช่ภารโรง...
บ้านกูเองก็ไม่เคยกวาดถูเลย...ฝุ่นงี้หนาเป็นคืบ...
ของเน้น... “สะอาด” ใช่มั๊ย....
ของกูเน้น... “สนุก” เฟ้ย...ฮะเหยๆ...
นโยบายของผมเลยมีแค่ข้อเดียวเจ๋งๆ...
เราจะต้องชนะเลิศถ้วยกองเชียร์กีฬาประจำจังหวัด...
งานแบบนี้ของถนัดของข้าพเจ้ายิ่งนัก...
พอได้นโยบายแบบนี้...คราวนี้ต้องไปดูกลุ่มเป้าหมาย...
หรือฐานเสียงที่คนเขาจะเลือกเรา...
เด็ก ม.ปลายเหรอ...ไม่ใช่กลุ่มหลักแน่...
เพราะทุกคนก็อยากจะเอ็นท์ติด...เขาเน้นวิชาการ...
น่าจะชอบคนที่เรียนเก่งเป็นไอดอล...
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชั้น ม.6...
เขาคงไม่เสียเวลามาขึ้นแสตนด์เชียร์ของโรงเรียนชัวร์...
เอาวะ...หลอกผู้ใหญ่ไม่ได้...ก็เอาเด็ก ม.ต้นนี่แหละ...
ว่าแล้วก็ให้ “ไอ้แหลม” เพื่อนรัก...
ที่มันต้องมาอยู่ด้วยกันที่บ้านผมหลังโรงเรียน...
เพราะบ้านมันเองอยู่ไกลจากตัวเมืองสิบกว่าโล...
อาศัยที่มันเป็นนักวอลเลย์บอล...ตัวสูง...หน้าตาดี...
หน้าตาอย่างมัน...เชื่อว่าน้องๆ ม.ต้น...
คงกรี๊ดแตกใส่หน้ามันแน่...
ถ้าเทียบกับตัวผมเอง...ที่หุ่นเหมือนหมาพันธุ์ปั๊ก...
แถมยังตัวเตี้ยม่อกต่อกอีก...
เอาละ...ทีนี้พอได้ “เซเลบ” แล้ว...
ส่วนเพื่อนคนที่เหลือที่เห็นในภาพประกอบ..
ก็ช่วยทำหน้าที่หัวคะแนน...และอ้อนวอนให้เดินตามผม...
เวลาปไหนมาไหนจะได้ดูเหมือนมีผู้สนับสนุนเยอะๆ...
สร้างภาพเห็นๆ...
ขั้นตอนต่อไป...มันต้องลงลึกถึงระดับรากหญ้า...
ถ้าพูดให้ดูเป็นนักวิชาการหน่อย...
ก็จะประมาณ...เราจะใช้กลยุทธ์... “DDGR”
Deep down into the Grass root strategy…
(เขียนเองยังขำเองเลย...ฮ่าฮ่าฮ่า...
กลยุทธ์บ้าอะไรว่ะเนี่ย...DDGR...
ผมว่าแม้แต่ คุณคอตเลอร์เอง...
ยังมึนกับกลยุทธ์นี้แน่นอน...
แต่ไหนๆเขียนมาแล้ว...ปล่อยเลยตามเลยละกัน...
ขี้เกียจลบทิ้ง...เด๊ยวเนื้อหาสั้นเกิน)
ทุกพักเที่ยงครับ...จะเห็นทีมหาเสียงของผม...
เดินไปโรงอาหารเพื่อแจกบัตรหาเสียง...
พร้อมโทรโข่งที่ยืมมาจากอาจารย์ฝ่ายโสตทัศนูปกรณ์...
ขอบอกนะครับ...ผมเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียว...
ที่ “ห่าม” ขนาดนี้...
คิดในใจ...เอาวะ...ถ้ากูแพ้คราวนี้...
อย่างน้อยกูก็ดังละว่ะ...
สุดท้ายก็ได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนจริงๆ...
ด้วยคะแนนเสียงท่วมทันในเด็ก ม.ต้น...
แทบจะกวาดทุกคะแนนเสียง...
ส่วน ม.4 , ม.5 ก็แบ่งๆกันไปสำหรับผู้สมัครทั้ง 4 คน...
แต่ผมแพ้ยับเยินเละเทะในชั้น ม.6...
ชนะแค่ห้องเดียว..คือห้องที่ผมเรียนนั่นแหละ...
สาเหตุที่ได้ครบทุกคะแนนเสียงจากห้องตัวเอง...
ด้วยสุนทรพจน์อันแข็งกร้าวว่า...
“ถ้าแม้แต่ห้องข้าพเจ้า...ก็ยังแพ้...
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะละทิ้งหน้าที่ทำเวรความสะอาด...
พวกท่านจงรับหน้าที่นี้แทนข้าพเจ้าไปละกัน”...
นับว่าเป็น Speech ที่ดีที่สุดในภาวะคับขับเช่นนี้จริงๆ...
พูดง่ายๆคือ...เอาความเดือดร้อนของเพื่อนมาเป็นตัวประกัน...
ไม่เลือกกู...ก็ก้มหน้าก้มตากวาดห้องไปเหอะ...
กูจะกอดอกให้แน่นเชียว...
แม้จะเอาควายน้ำจากพัทลุงมา 8 ตัว...
มาแกะมือกูออกก็ไม่มีทาง...นี่ไม่ได้ขู่นะเฟ้ย...
ว่าแล้วก็ชำเลืองตามองเพื่อนอย่างเหยียดๆ...
เพ่ิงได้รู้ทีหลังว่า...
เหตุผลที่ผมได้รับคะแนนเสียงสูงมากในกลุ่มเด็ก ม.ต้น...
Keyword อันหนึ่งที่จับได้ก็คือ...
“พี่เขา...ตลกดี”....
โอ้ย...กูจะบ้าตาย...
มันต้องนิยมชมชอบที่นโยบายดิเว้ยเฮ้ย!!!
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ....
ถึงเวลาชิวิตต้องย้ายที่อีกแล้ว...
-บุ้ง ดีดติ่งหู-
#เขาเรียกผมว่าเซลส์แมน