...สัพเพเหะระ ไก่กา อาราเร่ตอน "ไวรัส ซัดกันนัว".../วชรน

กระทู้คำถาม
น่าจะคาดการณ์ได้ไม่ยาก   ว่าหลังวิกฤตโควิด 19 ผ่านพ้นไป (ก้อยังไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่?)    นิ้วจากทั่วสารทิศคงจะชี้มาที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนว่าคือต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจภายในของแต่ละประเทศปั่นป่วนระเนระนาด  เป็นโดมิโนกระทบเศรษฐกิจโลก    ประเทศจีนจะตีกรรเชียงบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็คอยดูด้วยความระทึกครับท่านผู้ชม  ภาษิตนักเลงโตอย่างเฮียเต้เขาบอกว่า "เปิดก่อนได้เปรียบ"....จีนจึงประเดิมโดนโยนเผือกร้อนก้อนเล็กๆ ข้ามทวีปไปทางฝั่งเมกาว่า (อาจจะ)คือต้นเหตุโควิด    พลันเผือกร้อนร่อนแหมะลงบนหน้าตักเฮียทรัมพ์ก็เป็นเรื่องสิครับ    ยอมกันได้ซะที่ไหนล่ะครับ?   ปะ ฉะ ดะ ชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรมอย่างนี้เฮียทรัมพ์ชอบนักแล   โธ่! แหย่ใครไม่แหย่....มาแหย่เฮียทรัมพ์    เดี๋ยวชาวโลกจะได้เห็นการตอบโต้ออกมาเป็นระยะๆ       อังกฤษเองแผล่มๆ ออกมาว่าอาจจะ sue ประเทศจีนด้วย   เห็นออสเตรเลียก็คล้ายๆ จะขานรับอยู่ในที     เสร็จศึกโควิด....ยังมีศึกการเมืองบนเวทีโลกให้ชมต่ออีก    เผลอๆ โอลิมปิคฤดูกาลนี้อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระดับโลก  เหมือนที่ผ่านมา??  โปรดติดตามอย่ากระพริบตา
-------------------------------------------------------------------------------------------------

จะว่าไปแล้ว....เมกาเองก็เคยมีประวัติปล่อยเชื้อโรคหวังทำลายศรัตรูมาเหมือนกันแระ     "น้ำกรดแช่เย็น" ของเฮียรังษี  เสรีชัยที่ว่าร้ายๆ นั่นนะ   ยังไม่ร้ายเท่า "ผ้าห่มติดเชื้อ"  ที่นำไปแจกชาวเผ่าอินเดียแดง   ช่วงทำสงครามกับเผ่าพื้นเมืองอินเดียแดง  ฝั่งลุงแซมปิ๊งไอเดียการแพร่เชื้อโดยนำเชื้อโรคไปใส่ในผ่าห่มแล้วทำทีเอาไปแจกชาวอินเดียแดงหวังฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ    แต่คิดว่าไม่น่าจะได้ผลอะไรมากมายนัก  เพราะปัจจุบันชาวอินเดียแดงยังมีอยู่ไม่น้อย   นัยว่านั่น "อาวุธชีวภาพ" ที่ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในโลก??

หันกลับมาดูที่ไทยเรามั่ง    ผลกระทบและแรงกระเพื่อมนั้นก็อย่างที่เห็น    โควิดกลบข่าว "มันคือแป้ง" กับ "รุกที่ดิน" จมมิดธรณีไปเลย   วันๆ ชาวบ้านก็ได้แต่จับตาและเงี่ยวหูฟังข่าวโควิด    อะแฮ้ม ! ช้าก่อน...แม้ว่าข่าว "มันคือแป้ง" จะถูกกลบ   แต่คนดังเจ้าของวลีเด็ดอย่างเฮีย "นัส" ก็ยังเกาะขอบพื้นที่ข่าวไม่ยอมหลุดเมื่อมีข่าวพัวพันการกักตุนหน้ากาก   ประมาณว่า "ความแป้งยังไม่หาย  ความหน้ากากก็เข้ามาแทรก"  เฮียนัสของผมถึงต้องเซลุนๆ ลางานไปตั้งหลักที่พะเยาว์ซะหลายวัน     ด้านฝ่าย "มอลลี่"  ลูกหลานพระยางำเมืองแห่งแคว้นพะเยาว์เหมือนกับเฮียนัสนั้นยอมน้อยหน้าซะที่ไหน??   โดนพิษโควิดสะบัดใส่เรื่องหน้ากาก   กระเพื่อมไปถึงเสถียรภาพของพรรคที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศนั่นเลยทีเดียว    เอาเถอะ! ถึงจะพ้นมลทินไปแล้ว.oวันนี้    แต่เฮียเทพไทจะมีอะไรมาเล่นอีกก็โปรดติดตามต่อ       ใครจะซัดใคร?   ที่แน่ๆ งานนี้คนที่แอบกระอักเลือดไปหลายอึกกลับเป็นเฮียจุรินทร์    คนที่ยืนยิ้มในมุมมืดแต่เห็นไรฟันขาววับนั่น   คงเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ไอดอลของเสี่ยเกี๊ยกซ่าส์คนดังแห่งรดน.   "ศึกทวงบัลลังก์" เริ่มขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว    หากสังเกตุให้ดีในคืนข้างขึ้น   แสงจันทร์จะฉายให้เห็นคนที่อยู่ในมุมมืด  
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

นั่นคือเรื่องราวของ "ไวรัส" ในโลกแห่งความเป็นจริง     แต่ก็ยังมี "ไวรัส" อีกชนิดหนึ่งที่แพร่ระบาดบนโลกดิจิตอลทุกวัน   หรือที่เรารู้จักดีคือ "คอมพิวเตอร์ไวรัส"   ไวรัสต้ายตัวนี้ไม่มีชีวิต   แต่สามารถระบาดและทำลายล้างได้อย่างมหาศาล   และทั่วโลกคงฟื้นตัวยากหากไวรัสตัวนี้สามารถหยุดระบบคอมพิวเตอร์ใหญ่ๆ    แต่มีความเป็นไปได้ไม่มากนัก    กระนั้น  ทั่วโลกต้องสูญเสียกับคอมพิวเตอร์ไวรัสนี้ปีละหลายแสนล้านบาท!!   

ไวรัสคอมพิวเตอร์เริ่มต้นจากความคึกคะนองของโปรแกรมเมอร์  จากนั้นก็พัฒนาและถูกใช้เป็นช่องทางในการหาเงินอย่างเช่นกรณี ransomware ที่จับเครื่องคอมพ์เป็นตัวประกันเพื่อเรียกค่าไถ่  หรือแม้แต้ "โทรจัน" ที่แฝงตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ ตามโรงพยาบาล สถานีตำรวจ เอฟบีไอ  ซีไอเอ แล้วคอยส่งข้อมูลให้แฮกเกอร์เอาไปขายให้สื่อหนังสือพิมพ์   ลำพังแค่ข่าวเดวิด แบคแฮม ป่วยและพักอยู่ห้องไหนแค่นี้ก็สามารถขายได้หลายหมื่นถึงแสนเหรียญแล้ว  คอมพิวเตอร์ไวรัสจึงเป็นภัยที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่ง

อีกด้านหนึ่ง   คนที่ร่ำรวยจาก "ไวรัส" บนคอมพิวเตอร์ก็คือบริษัทผลิตซอฟแวร์เพื่อต่อต้านไวรัสหรือที่เรารู้จักดี Anti Virus  บริษัทใหญ่ๆ อย่าง แมคอาฟี่  โซฟอส เอวีจี ฯลฯ  มีเงินหมุนเวียนหลักร้อยถึงพันล้านเหรียญ     การแข่งขันในการขายซอฟแวร์ฆ่าไวรัสบนคอมพ์สูงมาก   ถ้ามีไวรัสตัวใหม่เกิดขึ้น   บริษัทไหนหาวิธีทำลายมันได้ก่อนลูกค้าก็จะไหลไปบริษัทนั้น     และเชื่อไหมว่า?   บางทีบริษัทที่ขายโปรแกรมทำลายไวรัสนั่นแหละเป็นคนสร้างและเขียนไวรัสตัวนั้นขึ้นมา  ปล่อยไวรัสได้สักพัก   เมื่อทั่วโลกตื่นตระหนก   ก็ประกาศว่าบริษัทหาวิธีกำจัดมันได้แล้วในระยะเวลาอันสั้น    ทั่วโลกก็ต้องทึ่งและลูกค้าก็หันไปสนใจสินค้าของบริษัทนั้นทันที   อันนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งคอมพิวเตอร์ที่มีการแข่งขันสูง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่