[CR] อินเดีย-เนปาล กับ 4 สังเวชนียสถานแห่งพุทธ 8 วัน

ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน 4 แห่งนี้ 
เป็นสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดูเพื่อระลึกว่า
พระตถาคตทรงประสูติ ณ ที่นี้
พระตถาคตได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้
พระตถาคตทรงประกาศ พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ณ ที่นี้
พระตถาคตได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้
…ชนเหล่าใดจาริกไปยังเจดีย์(ที่ซึ่งควรแก่การบูชา) ก็จะเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส
เมื่อชนเหล่านั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
(มหาปรินิพพานสูตร ฑีฆนิกาย มหาวรรค  ข้อ 131)
 
ระยะเวลา : 25 ม.ค. – 1 ก.พ. 63
8 วัน เดินทาง 7 เมือง คือ โกลกาตา (เมืองหลวงเก่า) ไปโคราฆปุระ ต่อไปกุสินารา (สถานที่ปรินิพพาน) ไปเนปาล ลุมพินีวัน (สถานที่ประสูติ) กลับโคราปุระ ต่อไปพาราณสี (แม่น้ำคงคา) ไปสารนาถ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (สถานที่ปฐมเทศนา) ไปคยา พุทธคยา (สถานที่ตรัสรู้) 
จองตั๋วแอร์เอเชียเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ราคาดีงาม

เน้น เก็บครบ บำเพ็ญจิต  โรตี และกะหรี่ปั๊บ 

เป้าหมาย
1.       สักการะสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง
2.       สักการะพระพุทธเจ้าน้อย (Baby Buddha) 
3.       พิสูจน์คำเล่าลือว่าแม่น้ำคงคา เมืองท่า 4,000 ปี ไม่เงียบเหงา 
4.       พิสูจน์วลีที่ว่า “อินเดีย ไม่เกลียด ก็รักเลย”

4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธ ได้แก่
1.       สถานที่ประสูติ ป่าลุมพินีวัน เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล
2.       สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยา เมืองคยา ประเทศอินเดีย
3.       สถานที่ปฐมเทศนา ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองสารนาถ ประเทศอินเดีย
4.       สถานที่ปรินิพพาน ป่าสาละ เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย

ผู้ร่วมทริป : บิดา ชายวัย 70 ปี ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา พยายามบำเพ็ญจิต จึงตีกัน ดีกัน ตลอดเส้นทาง

ลักษณะการเดินทาง : เครื่องบิน แท็กซี่ รถยนต์ของเพื่อนผู้ใจดี รถประจำทาง ตุ๊กตุ๊ก รถสามล้อถีบ เดิน

ระยะทางประมาณ 1,923 กม. 

อัตราแลกเปลี่ยน : ประมาณ 1 บาท เท่ากับ 2 รูปี 

แผนที่เส้นทางของทริป

 
วันที่ 1
เครื่องแอร์เอเชียขึ้นจากดอนเมืองประมาณ 22.00 น. ของวันศุกร์ที่ 24 ม.ค. 63 ลงเครื่องบิน ณ สนามบินโกลกาตา วันที่ 25 ม.ค. 63 เวลาท้องถิ่นประมาณ 02.00 น. ตม.หน้าแขกดุ ๆ แบบไม่ชินตา เปิดดูพาสปอร์ตกับวีซ่าออนไลน์แล้วถามว่ามาจากไทยแลนด์ จะไปไหน ตอบเขาไปว่าจะไปกุสินารา เขาก็ยิ้มแล้วพูด Buddhism มองหน้า แล้วบอกว่า “มองกล้องนะครับ” แทบจะไม่เชื่อหู พูดไทยได้ด้วยอ่ะ เสียงตีตราประทับ ตึ้ง...!! ผ่าน..!! 
(เกร็ดความรู้ กรณีเป็น passport ไทย เดินทางลงสนามบินนานาชาติของอินเดียต้องทำวีซ่า อินเดียสามารถทำวีซ่าทางออนไลน์ได้นะ ไม่เกิน 5 วันทำการได้ e-VISA ไปอินเดียเลย) 

เดินออกมาเจอจุดแลกเงินของธนาคาร ก็เอาดอลลาร์ที่แลกมาจากไทยแลกเป็นรูปีเลย แล้วเดินหาทางไปเส้นทางบินในประเทศ  
(ข้อสังเกตคือ บ้านนี้เขาให้ธนบัตรใบละ 500 มาให้เรา อยากได้ใบละเท่าไหร่ก็บอกเขานะ เพราะที่นี่ของถูกมาก ระดับ 10 รูปี 20 รูปี ต้องมีแบงก์ย่อยนะ ไม่งั้นหาซื้อของยากเน้อ เพราะร้านรวงบางร้านเขาไม่มีทอนให้เรา ก็เราชอบซื้อขนมกุ๊กกิ๊กกินเรื่อยเปื่อยข้างทาง ราคามันไม่แพงอ่ะ กระหรี่ปั๊บอันละ 4 รูปีงี้ จะเอา 500 รูปีไปจ่ายก็กลัวแขกจะตีหัวเอา ทำได้คือ ซื้อเยอะ ๆ ทยอยกินเอา)

การเดินเข้าออกเส้นทางในประเทศและนอกประเทศของอินเดีย ณ ปากทางจะมีเจ้าหน้าที่หน้าดุ ๆ เสียงเข้ม ๆ เรียกตรวจตั๋วเครื่องบินด้วยว่าเป็นผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่เท่านั้นจึงจะมีสิทธิเข้าอาคารสนามบิน เอกสารที่มีข้อมูลเที่ยวบินและวันเวลาเดินทาง ดีที่มีในมือถือ ที่นี่ก็ทันสมัย ใช้มือถือทำธุรกรรมได้หลายอย่างเหมือนที่อาจารย์บอกมาว่าเมืองแห่งเทคโนโลยีของเอเชียอยู่ที่อินเดีย แต่อยู่ฝั่งตะวันตก นี่เรามาฝั่งตะวันออก

อยู่ในสนามบินโกลกาตาจน 09.00 น. ขึ้นเครื่อง indigo ต่อไปเมืองโคราปุระ ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณ 783 กม. ซื้อตั๋วทางออนไลน์มาแล้ว เราจะไป Gorakhpur ออกเสียงแบบอินเดียคือ โก-รา-ประ พูดเร็ว ๆ รัว ๆ นะ ภาษาอังกฤษที่นี่สุดยอดแห่งความฟังยาก เครื่องดีเลย์ไปประมาณ 2 ชั่วโมง เหตุเพราะหมอกที่เมืองโคราปุระลงจัดมาก เครื่องบินจากโคราปุระบินมาไม่ได้ เลยมีโอกาสได้นั่งดูคนอินเดียเดินไปเดินมา กินขนมกินเบอร์เกอร์ หอมเครื่องเทศและชีสฟุ้งมาก อร่อยมาก นั่งดูจอแจ้งเที่ยวบิน บินจากที่นี่ไปได้หลายเมืองเลย นิวเดลี คยา เนปาลี นั่งไปแล้วก็เพลิน ที่นี่คือแดนภารตะ ผู้คนก็หน้าตาดี คนใส่ชุดพื้นเมือง เกือบร้อยละ 90 นับถือศาสนาฮินดู ผู้หญิงไม่ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านตามความเชื่อทางศาสนา เลยมีผู้หญิงน้อยมาก มองไปมองมา เที่ยง เจ้าหน้าที่ประกาศให้ขึ้นเครื่อง แอร์น่ารัก หน้าตาคมเข้ม เหมือนจะดุแต่ใจดี ชอบแอร์อินดิโก เครื่องบินนั่งสบายดี 
 

 
ลงเครื่องที่สนามบินโคราปุระ เวลาทำการบินประมาณ 1 ชม. ค่าเครื่องคนละ 1,200 บาท โหลดกระเป๋าฟรี 15 กก. แอร์ 2 คนสวยมาก คุ้มค่าดี ลงเครื่องแล้วอยากถ่ายรูป พอยกกล้องจะถ่ายภาพ ทหารแถวนั้นตะโกนว่า “NO PHOTO SIR” เอากล้องลงแล้วทำหน้างงใส่ทหาร ทหารบอกว่านี่คือสนามบินทหาร ห้ามถ่ายรูป อ๋ออออ....ก็หนูไม่รู้ ว่ามีแฟน เอ้ย ห้ามถ่ายรูป ขอโทษค่ะ หนูมาครั้งแรก 
เดินลงจากเครื่องก็เข้าห้องน้ำ ห้องน้ำก็โอเคไม่แตกต่างจากบ้านเรา เจอคณะแสวงบุญจากอีสานนำโดยพระครูประมาณ 4 – 5 รูป และแม่ขาวใส่ชุดขาวมากันเลย แม่ขาวหัวหน้าคณะเล่าว่ามาปฏิบัติธรรม 1 เดือน วันนี้จะเดินทางข้ามไปลุมพินี เนปาล เพื่อไปปฏิบัติธรรม 1 สัปดาห์ แล้วจะไปอีก 3 ที่  ๆ ละ 1 สัปดาห์ 
บอกลากันแล้วออกมาจากสนามบินเพื่อหาแท็กซี่ไปกุสินารา ก็พบว่าจริงอย่างที่ร่ำลือ แค่รู้ว่าจะเป็นถนนเท่านั้นแหละ เสียงแตรมันก็กังวานมาเป็นทำนอง จังหวะตามใจฉันเลย ที่นี่เขาบีบแตรเพื่อบอกว่า “พี่มาแล้วนะน้อง ระวังพี่ด้วย อย่าขวางพี่นะหนู” บางทีก็หมายความว่า “เฮ้ย..ไปไหนมา กินข้าวยัง เราเพิ่งมา ระวังเราด้วย” บางทีรถไม่ใช่มีก็บีบแตร ผิดกับพี่ไทยที่บีบแตรเพื่อบอกว่า  “พ่...ตาย ห่า ขับรถไม่เป็นก็ออกจากถนนไป สัตว์สี่กระเพาะเอ้ย” 
เมื่อพบกับความจริงที่ว่าถนนอินเดียนี่มันส์สุด ๆ เราก็เดินแบบระแวงระวังสุดฤทธิ์เพราะไม่รู้ว่าเขาบีบแตรให้เราด้วยเหตุผลไหน คุยกะเรารึป่าว รึว่าเขาบีบแตรคุยกะคันอื่น เดินไปเจอน้องอินเดียเป็นไกด์พูดไทยได้กำลังจะไปลุมพินี เขาช่วยเราหาแท็กซี่ไปกุสินารา แล้วกำชับว่า “ค่าแท็กซี่ 1,500 รูปีนะครับ ทิปตามใจพี่” น้องบอกให้แอดไลน์ไว้จะได้ติดต่อกันได้ระหว่างที่เราอยู่ในอินเดีย แล้วถ้าจะข้ามไปเนปาล แล้วไม่รู้จะเรียกรถที่ไหน ก็โทรหาน้อง น้องจะช่วยคุยให้ แลกไลน์แล้วกล่าวขอบคุณ ลากัน เดินทางไปกุสินาราโดยแท็กซี่ บอกว่าจะไปโรงแรม The Imperial Kushinagar

 
 
ไปถึงโรงแรมก็จ่ายตังค์ แล้วเดินเข้าโรงแรม เราจองอโกด้ามาแล้วแต่เงื่อนไขจ่ายเงินสดเอง ที่นี่เสิร์ฟ welcome drink เป็นโคล่าด้วย หมดจอก..!!
รับกุญแจมาก็เข้าห้อง เก็บของแล้วออกเดินทางไปยังจุดหมายแรกของเรา สถานที่ปรินิพพาน มีสถูปตั้งอยู่ในอุทยานห่างจากโรงแรมไปทางซ้ายประมาณ 300 เมตร เดินออกมาก็เจอขอทาน ชาวบ้านที่นี่ดูคุ้นเคยกับคนไทย พูดไทยได้บ้าง เช่น ทำบุญ ๆ ไปตรงนั้น ๆ และข้าง ๆ โรงแรมเป็นวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ วัดที่นี่ไม่เหมือนวัดที่ไทย ไม่ได้เปิดประตูตลอดเวลา มิดชิดมาก หน้าวัดมีรถเข็นขายขนม รออะไรคะซื้อเลย ชิมแล้วอร่อยมากมาย ไม่มีเนื้อสัตว์เลย กะหรี่ปั๊บไส้มันกับเครื่องเทศและนม อันละ 4 รูปี อีกอันเหมือนซาลาเปาทอดแต่สู้กะหรี่ปั๊บไม่ได้ ที่นี่เรียกว่าเคอรี่ผับ เดินมาอีกหน่อยเจอร้านชานมถ้วยดินเผา แบบในรีวิว ไม่รอช้า เข้าไปเลย ถ้วยละ 5 รูปี ชงใหม่ทุกถ้วย นมซ้ดดดดด..สด มัน หอม หวาน อร่อยมาก เรียกว่า “มาซาลาจ่าย” จ่าย แปลว่า ชา มาซาลา คือ เครื่องปรุงหรือเครื่องเทศอย่างหนึ่งกลิ่นแห่งความเป็นอินตระเดียมากเลยจ้ะนายจ๋า อินี่อยากจะหอบกลับไทยแลนด์ยิ่งนักจ๊ะนายจ๋า ในรูปพี่เขาไม่ได้โกรธนะ เขาดีใจที่เราขอถ่ายรูป คนอินเดียชอบถ่ายรูปกะนักท่องเที่ยวมาก แต่หน้าพี่เขาทำไมพอถ่ายออกมาถึงดุแบบนี้นะ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมร้านขายผ้าของแขกต้องตั้งชื่อว่าเชียงใหม่ใจดี เพราะเขาใจดีแต่หน้าตาพี่เขาคนไทยมองว่าดุ เลยต้องตั้งชื่อให้รู้ว่าใจดีนะเฟ้ย รู้ป่ะเนี่ย
 
  
 
 เดินไปกินไปอุณหภูมิดี ๆ ประมาณ 13 องศา แล้วก็ถึงอุทยานแล้ว เห็นสถูปอยู่ใกล้ ๆ แต่ทางเข้าละ เข้าทางไหนอ่ะ งงอีก ยืนมองหาทางเข้าสักพักก็เจอพระสงฆ์จากเมืองไทยที่มาแสวงบุญ หลวงพี่เห็น 2 พ่อลูกยืนพิจารณาหาทางเข้าอยู่ก็เลยหันมาบอก “โยมตามอาตมามาได้นะ” เสียงสวรรค์ ไม่รอช้าเดินตามพระในทันที ท่านเล่าว่าที่นี่กำลังปรับปรุง เรียกว่าปรับภูมิทัศน์ เลยดูแห้ง ๆ หน่อย ฟังแล้วก็คิดในใจ “เอาอีกละ ไปที่ไหนก็กำลังปรับปรุงทุกทีเลย” เดินเข้าไปก็เจอวัยรุ่นสาว ๆ อินเดียเดินมาพูดอะไรก็ไม่รู้ ดูเขิน ๆ เราก็ทำหน้างงให้เพราะฟังไม่รู้เรื่อง หลวงพี่แปลให้ว่า เขาขอโยมถ่ายรูปด้วยน่ะ ที่นี่เขาชอบคนไทย ชอบขอถ่ายรูปด้วย ฟังแล้วก็พยักหน้ายอมถ่ายด้วย สาวน้อยดีใจกันใหญ่ บอกลาแล้วเดินเข้าสถูปปรินิพพาน 
กิจกรรมคือ สวดมนต์ ทำสมาธิ ถวายผ้าห่มพระพุทธรูป บรรยากาศภายในบรรยายได้ไม่หมด เต็มตื้นไปหมด เชื่ออาจารย์แล้วค่ะ ที่บอกว่าปิติจนน้ำตาไหลเป็นยังไง ตอนนั้นฟังแล้วคิดว่าอาจารย์เว่อร์ แค่ไปอินเดียทำไมต้องร้องไห้ด้วย จะอะไรนักหนา แค่ 4 สังเวชนียสถาน  มาตาตัวเอง นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จนอายคนอินเดียข้าง ๆ เลย เขาก็มอง
ยิ้ม ๆ สงสัยจะมีคนแบบเราเยอะแน่ ๆ เลย ถามตัวเองมาตลอดทางว่าร้องไห้ทำไมหนอ จนตอนนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้เลย
บริเวณโดยรอบจะมีคณะจาริกบุญสวดมนต์ตามจุดต่าง ๆ โดยทั่วไป ทั้งสวดมนต์แบบสำเนียงไทย สำเนียงอินเดีย สำเนียงทิเบต สำเนียงจีน 
 

 
  
 
ออกมาจากเขตสถูป ก็นึกได้ว่าหลวงพี่บอกว่ามีจุดที่น่าไปทำการสักการะอีกหากมีโอกาส คือ จุดถวายพระเพลิงพระสรีระ เรียกว่า มกุฏพันธนเจดีย์ ห่างจากโรงแรมประมาณ 850 เมตร และสถานที่ที่โทณพราหมณ์เป็นผู้เจรจาและประกอบพิธีแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้เป็น 8 ส่วน และพระอังคารธาตุอีก 1 ส่วน ให้แก่กษัตริย์ 8 เมืองที่ยกทัพมาล้อมกุสินาราเพื่อจะชิงพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งอยู่ห่างไปอีกเกือบ 2 กม. เลยเลือกไปมกุฏพันธนเจดีย์ นั่งสามล้อถีบได้ เดินได้ รถตุ๊กตุ๊กได้ ไม่ไกล ๆ ที่ มกุฏพันธนเจดีย์ ปิด 18.00 น. เกือบไม่ทัน เจ้าหน้าที่ใจดีเปิดให้เข้าไปทั้ง ๆ ที่กำลังคล้องโซ่แล้ว
สักการะแล้วก็กลับโรงแรม พักผ่อน พรุ่งนี้ตื่นเช้า เพราะเรียกรถแท็กซี่มารับไปชายแดนอินเดีย-เนปาล เพื่อข้ามไปลุมพินีวัน
 
ชื่อสินค้า:   อินเดีย - เนปาล
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

    ข้อมูลเพิ่มเติม

  • ได้ตั๋วราคาโปรโมชั้น เส้นทางบิน ดอนเมือง-พาราณสี ของแอร์เอเชีย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่