เบื่อๆ กับเพื่อนร่วมงาน อยากระบาย

กระทู้คำถาม
ผมขอวิธีรับมือกับเพื่อนร่วมงานหน่อยครับ เพราะผมรักและมีความสุขกับงานที่ทำมากแต่ต้องมาเหนื่อยใจกับเพื่อนร่วมงานมากในหลายๆครั้ง เดี๋ยวผมจะเล่าคราวๆเกี่ยวกับงานที่ผมทำนะครับ…

        งานที่ผมทำเป็นไปรษณีย์เอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งงานที่ผมทำนั้นจะเกี่ยวกับการบริการให้ลูกค้าในเรื่องรับฝากส่งสินค้าในประเทศและมีงานเสริมคืองานปริ้น และ ถ่ายเอกสารให้กับลูกค้า โดยลูกค้าจะมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติมาใช้บริการเสมอ
และงานที่ผมทำนั้นสาขาดึงตัวพนักงานจากสาขานึงไปช่วยอีกสาขานึงได้ใน(ไม่รู้ว่าบริษัทอื่นเป็นแบบนี้ไหมนะ ถ้าเป็นหรือไม่สามารถบอกได้นะ)

        ผมขอเข้าเนื้อเรื่องนะครับ…
วันแรกที่เริ่มงาน ผมก็เจอพี่สอน (เป็นคนสอนงานตลอด 1 เดือน) กับพนักงานอีก 1 คน ขอให้นามสมมุติว่า “พี่เอ” ซึ่งพี่เอนั้นจะเป็นพนักงานที่เข้ามาทำงานก่อนผมเพียงแค่ 5 วันและจะคนที่ทำงานร่วมกับผมตลอดอีกยาวไกล พูดง่ายๆคือ “เป็นเพื่อนร่วมงานที่ประจำสาขาเดียวกัน” โดยทั้ง 2 คนจะคอยสอนและให้ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานที่ทำ โดยวันแรกผมก็ทำพลาดไปบ้างเพราะเป็นพึ่งมาวันแรกนี่หว่า!!!  ผมใช้เวลา 3 วันในการเรียนรู้งานทั้งหมด และวันที่ 5 ผมก็เริ่มชินๆกับงานที่ทำแต่ยังไม่คล่องตัวมากเพราะยังมาได้ไม่นานแต่ก็ดีกว่าช่วงแรกๆที่มา เพราะผมบอกกับตัวเองเสมอว่า “ไม่ว่าจะทำงานอะไร เมื่อเรารู้หน้าที่แล้วเราก็ต้องทำให้เต็มที่ เรียนรู้และพัฒนาขึ้นไปอีก พัมนาไปเรื่อยๆ เอาประสบการณ์มาให้ได้มากที่สุดไม่ว่าเป็นงานแบบไหนก็ตาม”

ผ่านมาได้ 7-10 วัน ผมรู้สึกมีความสุขกับงานที่ผมทำ ถึงแม้เงินเดือนจะไม่มากก็ตาม แต่ก็นะถ้าอยู่ไปเรื่อยๆมีผลงาน ทางบริษัทก็คงเพิ่มเงินให้เองละนะ555555

ในช่วง 30-45 วัน ผมก็เริ่มคล่องกับงานที่ทำ ซึ่งแน่นอนครับ…งานที่เราทำนั้น เราก็รู้แล้วว่าควรรับมือยังไงเมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการ เพราะ เรามีข้อมูลที่สามารถแนะนำลูกค้าได้ รวมทั้งรู้”นิสัย”ของเพื่อนร่วมงานในแต่ละคน……

หลังจากที่อยู่มาได้เดือนกว่าๆ สาขาที่ผมทำนั้นก็เหลือแค่ผมกับพี่เอรวมแล้ว 2 คน เพราะพี่สอนต้องกลับไปประจำสาขาเดิมที่เขาอยู่  
และนั่นเองก็คือจุดเริ่มต้นของคำว่า “อึดอัดใจกับเพื่อนร่วมงาน”

มันมีหลายเหตุการณ์นะ จะเล่าเยอะจนน่าเบื่อก็ขออภัยนะ

#มีอยู่วันนึงเป็นวันที่วุ่นวายมากเพราะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการหลายคน ถึงแม้จะอยู่ 2 คนก็ใช่ว่าจะเคลียร์ลูกค้าจบได้ภายในไม่กี่นาที พวกเราทั้งสองคนช่วยกันจนลูกค้าที่ยืนรอนั้นได้ใช้บริการไปจนเหลือไม่กี่คน แล้วสุดท้ายก็เหลือไม่กี่คน เราก็บอกกับพี่เอว่า “พี่เอๆ ผมขอรับลูกค้าคนนี้เอง พี่นั่งพักเลย” พี่เอตอบ ”โอเคๆ” ผมก็รับบริการลูกค้าคนที่เหลืออยู่  ผ่านไป 10 วิ มีลูกค้าต่างชาติเข้ามาใช้บริการ ซึ่งตอนนั้นผมรับลูกค้าที่เหลืออยู่  พี่เอเห็นก็รับบริการลูกค้าต่างชาติคนนั้น ซึ่งผมเห็นพี่เค้าเดินไปคุยกับลูกค้าว่าลูกค้าต้องใช้บริการอะไร ไอ้เราก็โอเคพี่เค้ารับแล้วเดี๋ยวขอเคลียร์งานนี้ก่อนนะ  
เวลาผ่านไป เราก็ทำงานให้ลูกค้าเสร็จ…รับเงิน ทอนเงิน กล่าวขอบคุณลูกค้าเสร็จ ก็ตกใจที่ลูกค้าต่างชาติคนนั้นยังอยู่ เราก็เอะใจนะว่าเราก็รับลูกค้าหลายคน ทำไมคนๆนี้ยังอยู่ เพราะเวลาผ่านไปตั้งหลายนาทีแล้ว เราก็แอบกระซิบพี่เอ “พี่เอ ลูกค้าเค้าต้องการอะไรหรอพี่” พี่เอตอบ “พี่ก็ไม่รู้ พี่รอให้แกมาคุยอะ”  เรา “เอ้า?” แล้วเราก็คุยกับลูกค้าต่างชาติ เราก็อ่ออออ … Ok รู้แล้วลูกค้าต้องการอะไร เราหันไปบอกพี่เอ “พี่เอ ลูกค้าต้องการนั่นๆนี่นั่นนะ” พี่เอ”อ่อๆ งั้นแกจัดการเลย” เรานึกในใจนะ “อ้าว เรามาช่วยแปล มาช่วยฟัง มาช่วยงานแล้วไม่รับออเดอร์ที่ตัวเองทำอะ” (เราไม่ชอบอังกฤษและไม่เก่งอังกฤษเลย แต่ได้ภาษาเพราะทำงานนี้ละ) ไอ้เราก็ไม่ได้อะไร เพราะเห็นลูกค้ารอนานแล้วไม่อยากให้ลูกค้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ ก็รีบรับรีบทำรายการให้ลูกค้าจนเสร็จ โดยเราก็คิดนะว่า พี่เออาจกำลังทดสอบเราอยู่ ให้เราหัดและฝึกรับลูกค้าต่างชาติบ่อยๆ
พอนับวันผ่านไป มันยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ เวลาที่ลูกค้าต่างชาติเข้ามาใช้บริการ พี่เอจะให้เราไปคุยทุกครั้ง หรือบางครั้งก็ยืนรอให้เรามาคุยทั้งๆที่เราติดลูกค้าคนอื่นอยู่หรือหรือออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจว่าลูกค้าจะรอนานไหม เพียงรอแค่ให้เรากลับมาหรือคุยกับลูกค้าเท่านั้น จนถึงจุดที่เราสงสัย เราก็ถามพี่เอว่า “พี่ ทำไมพี่ไม่ค่อยรับลูกค้าต่างชาติบ้างอะ” พี่เอตอบ “พี่คุยไม่รู้เรื่อง พี่ฟังเค้าไม่ออก พี่เลยให้แกรับ” เรา”งั้นคราวหลังเวลาลูกค้ามา พี่มายืนข้างๆผม เวลาเขาพูดอะไร เดี๋ยวผมช่วยแปล แต่พี่ต้องเป็นคนรับนะ คอยฟังคีเวิร์ดเขา เพราะผมก็ไม่เก่งอังกฤษเหมือนกัน” พี่เอ “จ้าาาาาาาาา” เราก็รู้นะว่า เราอายุน้อยกว่าแต่ไปสอนพี่เค้า มันดูไม่เหมาะ แต่เมื่อร่วมงานกันแล้วก็ต้องเปิดใจรับฟังกัน มีอะไรเตือนกัน หลังจากที่บอกไปก็มีลูกค้าต่างชาติมาใช้บริการ พี่เค้าก็รับลูกค้าแล้วเรารีบเดินไปอยู่ข้างหลังพี่เค้า แล้วพี่เอก็พูดว่า “อะ แกรับดิ” เรา”อ้าวพี่ ลองไงๆ เนี่ยผมมาอยู่ด้วยแล้ว ถามเลยๆ Can I help you?” พี่เอไม่พูด พูดแต่ “ว่าไงค่ะ?” เรา “-______-“ ลูกค้าพูดอังกฤษรัวๆจ้า เราทำได้แค่ยิ้มและยืนนิ่ง รอดูพี่เค้าดิว่าจะเอาไง… “สรุป Dead Air ไป 15 วิ” จนเราหมดความอดทน แล้วเคลียลูกค้าเองจนเสร็จในไม่กี่นาที…เชื่อไหมแล้วเป็นแบบนี้บ่อยมาก ทำไมไม่เรียนรู้งานที่ทำว่ามันต้องใช้ภาษา ไอ้ตอนที่เราว่างๆ เราก็เปิดเน็ตหาประโยคภาษาอังกฤษที่พอคุยกับลูกค้าและพอตอบได้ แต่พี่เค้าไม่สนใจไม่เอาอะไรเลย  เพราะบางครั้งเราก็คุยกับลูกค้าต่างชาติเราก็มึนๆบ้าง แต่พี่เค้าไม่ได้แบ่งเบาหรือช่วยอะไรเลย จนสุดท้ายเราน็อกอะ ไปต่อไม่ได้ เพราะปวดหัวมาก เราก็ให้พี่เค้ามาคุย สรุปก็วนลูปเดิมไม่มีอะเปลี่ยนแปลง
แต่เราก็แก้เผ็ดพี่เค้าไปนะ…แก้เผ็ดโดยการที่เวลาลูกค้าต่างชาติเข้ามา จะเอาจังหวะนั้นออกไปทำธุระนอกร้านปล่อยให้พี่เค้ารับคนเดียว ซึ่งเราไปนานมาก (ไม่ได้แกล้งนะ แต่ธุระที่ไปทำนั้นคือฝากเงินของสาขาเข้าธนาคาร) เวลาผ่านไป 25 นาที  เราก็กลับเข้ามาที่สาขา สรุปลูกค้าต่างชาติยังอยู่และพอเรานั่งปุ๊บ ก็นั่งพักซีกแปป ผ่านไป 3 นาทีหลังจากที่นั่งพัก พี่เอก็พึ่งเคลียร์ลูกค้าเสร็จ
@ไอ้ตัวเราก็คิดนะ…เราเห็นแก่ตัวไปไหมที่ทิ้งให้พี่เค้ารับลูกค้าคนเดียว แต่อีกใจก็คิดว่า ควรให้เค้าทำบ้างเพราะเวลาที่พี่เค้าอยู่คนเดียว ใครจะช่วยเขาละ


#เรื่องแรกยังไม่ค่อยเท่าไรแต่เราก็ลำบากใจไม่แพ้กัน มาอ่านปัญหาที่เราเจอและเป็นสิ่งที่เราเกลียดหนักมากนั่นคือ”ความเห็นแก่ตัว”
ความเห็นแก่ตัวที่ผมเจอเกิดในช่วงเดือนที่ 2  นั่นคือพี่เอให้เราอยู่ช่วยปิดร้าน(สาขาที่ประจำอยู่)  งงดิ!! แค่ให้ช่วยปิดร้านมันเห็นแก่ตัวยังไง
การเข้ากะของสาขาผมนั้น คนแรกจะเข้าช่วง 9.00-18.00 และคนที่สองจะเข้า 10.00-19.00 ซึ่งผมจะขอพี่เอให้ผมนั้นเข้ากะคนแรกทุกครั้ง
ซึ่งตลอดในเดือนที่ 2 ผมกลับบ้าน 19.00 ทุกวันทั้งๆที่ผมต้องกลับ 18.00 น. บางวันผมเหนื่อยมาก ผมบอกพี่เอเสมอนะว่า “พี่ ผมเหนื่อยมากวันนี้ขอกลับตรงเวลานะ” พี่เอก็บอก โอเคๆ ถ้าเหนื่อยก็รีบกลับได้เลย …แต่ผลที่ได้คือ…ลูกค้าเข้า พี่เอให้ผมรับลูกค้าจ้าาาาาาา ไอ้เราก็ มาๆเดี๋ยวช่วยเอง รีบทำรีบกลับ ผลสุดท้ายเรากลับ 1 ทุ่ม T T …ส่วนมากที่กลับ 1 ทุ่ม เพราะ ตอนปิดร้านจะต้องเคลียเอกสารรายวันว่ายอดขายในแต่ละวันได้เท่าไร ซึ่งต้องเก็บบิล เอกสารหลายๆอย่างรวบรวมให้ใส่ในเอกสารซึ่ง การเคลียเอกสารรายวันคนที่เข้ากะรอบ 10.00-19.00 ต้องเป็นคนทำ แต่พี่เอโยนมาให้เราทำ เราก็โอเค ช่วยเท่าที่ช่วย …จนถึงจุดๆนึงที่เรานัดแฟนไปดูหนัง รอบ 19.30  เราก็บอกพี่เค้าเลยนะว่าวันนี้มีนัดดูหนังกับแฟนนะพี่ ต้องรีบไป พอถึงเวลาที่เราต้องออกจากร้าน พี่เอบอก “แกส่งเอกสารตัวนี้เข้าบริษัทยัง?” เรา”อ้าว พี่ยังไม่ได้ทำหรอ?” พี่เอ “ยัง รีบทำเลย…พี่ไม่รีบ” เรา”เอ้า?ไรวะ ก็บอกว่ามีนัดแล้วกูรีบ และตัวเองไม่ทำอะนี่ผลัดมาหลายอาทิตย์แล้วนะ แล้วอีกอย่าง งานตัวนี้แกต้องเป็นคนทำไม่ใช่หรอวะ(นึกในใจ)”
ไอ้เราก็ โอเคจ้ะ ทำๆ เราก็รีบแต่สุดท้ายฟิวขาด พี่เอเขาทำอะไรรู้ไหม? …เล่นโทรศัพท์  ตอนนี้ 18.14 น. ไม่น่าทันละ เดินทางใช้เวลานานและรถติด ไอ้เราก็ทำช้าๆ หน่วงๆ พี่เอตะโกนมา “เสร็จยัง?” เรา”ไม่อะพี่ ยังเลย ผมไม่รีบ” พี่เอสวนทันทีนะ “โว๊ะ ช้าวะ ไม่ต้องทำละ เดี๋ยวทำเอง”พี่เอพูดเสร็จ พร้อมกับจะแย่งเอกสารในมือเรา เรารั้งแล้วบอกว่า “ไม่ จะทำเอง ผมไม่รีบแล้ว” …“แต่พี่รีบไง!!!”พี่เอตอบสวนทันที
เราก็สวนแบบนิ่งๆ “รอไปก่อนจ้ะ” สรุปกลับดึกเลยจ้า  แล้วตลอดทั้งเดือนผมก็กลับดึกทุกวัน จนกระทั่งวันนึงมีสายที่คุ้นโทรมา…

#เรื่องที่สองผ่านไปกับคำว่า”เห็นแก่ตัว” ต่อมากลายเป็นเรื่อง “ปัดความรับผิดชอบ 1”
ในทุกๆเดือน ทุกสาขาจะทำการส่งเอกสารยอดขายรายเดือนให้กับบริษัท ซึ่งมีวันนึงทางบริษัทโทรมาที่โทรศัพท์ร้าน บอกว่าสาขาผมที่ผมทำนั้นมีการคีร์ข้อมูลในระบบที่ผิด ผมก็บอกกับทางบริษัทว่าเดี๋ยวแก้ไขให้ครับ แล้วผมก็แก้ไขตามที่เค้าบอก แต่ถ้าพี่เอเป็นคนที่รับสายและคุยกับบริษัท จะพูดทันทีเลยว่า “เอไม่ได้เป็นคนทำ น้อง(ผม)เป็นคนคีร์ข้อมูล…งั้นให้คุยกับน้องนะครับ” แล้วโยนสายมาให้เรา เราก็ครับๆ ได้ครับพี่ เดี๋ยวแก้ไขให้ครับ เราก็เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดแล้วนำมาแก้ไขปรับปรุงตัวเอง …จนวันนึงเราไปอยู่ช่วยอีกสาขานึงซัก 5 วัน วันที่ 6 เรากลับสาขาประจำ สรุปบริษัทโทรมาแล้วพี่เอเป็นคนรับสาย พี่เอยืนนิ่งเงียบ ไอ้เราก็เป็นห่วงว่าเกิดไรขึ้น พี่เอบอกว่า”ข้อมูลในระบบคีร์ผิดทางบริษัทให้แก้ไขใหม่” พี่เอโยนสายให้เรา เราก็คุยและฟังว่าผิดตรงไหน คนที่บริษัทบอกว่า”มันผิดในช่วงวันที่นี้ๆถึงวันที่นี้ๆ” เราก็อ่ออออ “ข้อมูลผิดตรงกับวันที่เราไปช่วยสาขาอื่นและผิดหมดเลย”  เราก็มาดูที่พี่เอแก้ พี่เอโวยวาย “พี่ก็ว่าพี่ทำถูกนะ ทำไมมันผิดวะ?”
กู “จะรู้ไหม-__-“ …ไอ้เราก็ช่วยดู เราก็อ่ออออ “พี่ๆ ผิดตรงนี้  ข้อมูลตัวนี้มันต้องเอาจากตรงนี้ๆนะ บลาๆๆๆ” พี่เอตอบแบบหมาหงอย “จะใช่ได้ไง ก็พี่สอนสอนพี่มาแบบนี้” ผมก็บอกเลยให้โทรหาพี่สอน ถามได้เลยโทรเลย …สรุปนางโทรหาพี่สอนแล้วถามๆ สรุปนางหน้าเสียเพราะข้อมูลที่ตัวเองคีร์ลงกับที่พี่สอนนั้นบอกมันไม่ตรงกัน
ที่จริงตอนที่ไปช่วยงานอีกสาขาก็เจอพี่สอน พี่สอนบอกว่าตอนที่พี่เออยู่คนเดียวคีร์ข้อมูลผิดหมดและฝากให้เราสอนพี่เอด้วย “พี่เอเช็คงานตลอดแต่ไม่พูดแต่เขารายงานกับบริษัทตลอด”

#ปัดความรับผิด 1 จบไป มาดู ปัดฯ 2 กัน
มีอยู่ช่วงนึง ที่ผมไม่ได้เข้าสาขาที่ผมประจำเพราะไปช่วยอีกสาขา เป็นเวลา 3 วัน และหยุด 1 วัน รวมเป็น 4 วัน
แล้วผมก็เข้าทำงานที่สาขาประจำในวันที่ 5 …ผมเห็นสินค้าตัวนึงถูกวางไว้ที่ขั้นวางของสำหรับสินค้าที่ส่งแบบพิเศษซึ่งสินค้าตัวนี้ต้องส่งไปต่างประเทศ ใช้เวลาแค่ 2 วัน แต่ผมลองเช็คข้อมูล เห้ย!!!!! ลูกค้ามาฝากส่งนานแล้วนี่หว่า ผ่านมา 4 วันแล้ว ทำไมสินค้าตัวนี้ยังอยู่วะ? ผมก็บอกพี่เอ พี่เอตอบแบบทันควัน “พี่ไม่ได้เป็นคนรับสินค้าตัวนี้” ไอ้เราก็อะไรวะ ไม่ใช่ถามว่าใครรับ แต่ต้องทำไงที่จะส่งตัวนี้ แล้วทำไมไม่ส่ง?
พี่เอตอบเหมือนเดิม “พี่ไม่ได้รับ แกไงคนรับ รับทำไมแล้วไม่ส่ง?”  ผมคิดใจในนะ “แทนที่จะหาทางส่งสินค้าตัวนี้ โทรให้คนมารับของ แต่มาโยนให้เรา เออ!! กูจัดการเอง” …ผมเช็คข้อมูลการรับฝากของสินค้าตัวนี้พร้อมกับโทรให้คนมารับ สรุปได้ว่า “สินค้าตัวนี้มาฝากในวันที่ผมหยุดงาน”  ผมก็บอกพี่เอทันทีว่า “พี่ ในใบข้อมูล มันถูกรับในวันที่ผมหยุด สรุป…ผมรับ?” พี่เอลองเอาใบมาดู …หน้านิ่งเงียบ แล้วบอกว่าพี่ลืม
@คือลืมมมม แล้วที่โวยวายแล้วโยนขี้มานั้นคืออะไร ภาวะผู้นำคือไร? มีไหมวะ? แล้วเวลาเกิดปันหาอะไรขึ้น จะโยนมาให้ผมทั้งๆที่ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวอะไรเลยในหลายครั้งหลายคราวมาก (เพลียใจT T)
แล้วในทุกๆเช้าผมจะเช็คว่ายอดที่ขายเมื่อคืนตรงกับในใบรายงานไหม สรุป…ไม่ตรงจ้า พอบอกพี่เอ พี่เอก็ทำเหมือนเดิม โวยวายแล้วบอกว่า “พี่ไม่ได้ทำ พี่ไม่ได้รับ” ผมก็บอกตรงๆว่า “พี่ ที่ผมรายงานพี่ ผมไม่ได้ต้องการให้พี่พูดว่า พี่ไม่ได้ทำ พี่ไม่ได้รับ ผมแค่อยากให้ช่วยกันแก้ไขมากว่ามาพูดแบบนี้นะ” เดี๋ยวมาต่อนะ…
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่