‘ธนาธร’ ชู 2ทางเลือกก้าวข้ามโควิด แนะรัฐจัดความสำคัญ ช่วยคนหาเช้ากินค่ำก่อนทุนใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_2143914
‘ธนาธร’ ชู 2 ทางเลือกก้าวข้ามโควิด-19 แนะรัฐจัดลำดับความสำคัญ ช่วยคนหาเช้ากินค่ำก่อนนายทุนใหญ่
เมื่อวันที่ 17 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจคณะก้าวหน้าแรงงาน จัดไลฟ์พูดคุยกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะแกนนำคณะก้าวหน้า ในหัวข้อ “มองเศรษฐกิจไทย หลังภัยโควิด -19” โดยตอนหนึ่ง นายธนาธร กล่าวว่า การจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทั้งในทางคุณภาพและปริมาณ ตอนนี้มีปัญหา ตนคิดว่าควรเยียวยาประชาชนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ประเทศก่อน จากนั้นค่อยขยับมาสู่เอสเอ็มอี ชนชั้นกลาง แล้วค่อยไปช่วยเหลือกลุ่มทุนใหญ่ ซึ่งสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ทำให้ทุนใหญ่ล้มละลายแน่ๆ อย่าง กรณีบริษัทขายสินค้าปลอดภาษีในสนามบิน สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายขนาดว่าถ้าไม่ช่วยเหลือแล้วจะล้มละลาย นี่เป็นมายาคติ บริษัทเหล่านี้ แต่ละปีกำไรพันล้าน หมื่นล้าน ดังนั้น ขาดทุน 2-3 เดือนไม่พังแน่ๆ และที่สำคัญ บริษัทปลอดภาษีเหล่านี้ก็ไม่ได้จ้างงานคนมากมาย ความเสียหายจำกัดมาก ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบของรัฐบาลผิดมากๆ
นายธนาธร กล่าวด้วยว่า กรณีเงินเยียวยา 5,000 บาท วิเคราะห์ผู้มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือโดยเอไอ ไม่มีใครมั่นใจหรือรู้ว่าเอไอนั้นเขียนข้อมูลอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรเปิดเผย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือถ้าใช้เอไอแบบนี้แล้วต้องใช้เวลากว่า 10 วัน ประชาชนถึงจะได้เงินก้อนแรก ตนนี้ถือว่าให้ความสำคัญผิดมากๆ เพราะจากที่โอกาสไปพูดคุยกับคนในชุมชนแห่งหนึ่ง สิ่งที่ได้ยินมาคือ พวกเขาไม่มีอันจะกินแล้ว ในชุมชนส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้อยู่ในระบบประกันตน แต่ก็ไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐ
“เรื่องไวรัสโควิด-19 แน่นอนว่าแพร่ระบาดไม่เลือกชนชั้น ทุกคนมีสิทธิติดเชื้อได้เหมือนกันหมด แต่ทว่า นี่เป็นเรื่องชนชั้น คือ ส่งผลกับคนแต่ละชนชั้นแตกต่างกันไป คนที่มีรายได้สูง คนที่ที่บ้านมีพื้นที่ การกักบริเวณของพวกเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ในขณะที่คนที่อยู่ในห้องแคบๆ 3-5 ตารางเมตรอยู่กัน 5 คน ลดค่าไฟเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ ไม่ช่วยอะไรเลย เพราะพวกเขายังต้องใช้ไฟเพิ่มขึ้น และที่สำคัญการถูกบังคับให้อยู่บ้านก็ทำให้พวกเขาขายของไม่ได้ ไม่มีรายได้ และถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็คงไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ โดนตัดน้ำตัดไฟ วุ่นวายแน่อน” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวว่า รัฐบาลมีทางเลือก 2 ทางเกี่ยวกับการช่วยเหลือ คือ
ทางเลือกแรก ถ้ายังเป็นมาตรการ เซมิ-ล็อกดาวน์ หรือกึ่งเปิดกึ่งปิดแบบขณะนี้ต่อไป จำเป็นต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยอัดเม็ดเงินเข้าไปในระบบเพื่อช่วยพยุงซึ่งจะใช้น้อยกว่าการปล่อยพังแล้วอัดเข้าไป เพราะการจะดึงความเชื่อมั่นกลับมา ดึงนักลงทุนกลับมา เกิดการจ้างงาน เกิดการบริโภคอีกครั้งยากมาก ดังนั้น ต้องยอมเสียเงินพยุงดีกว่าปล่อยให้พัง เพราะถ้าดูแลตอนนี้ คนจะอดตายก่อนจะตายเพราะติดเชื้อ
และสำหรับทางเลือกที่ 2. คือ คลาย-ล็อก-คลาย-ล็อก สลับกันไป ทั้งนี้ ถ้าจำได้ตอนไวรัสเริ่มใหม่ๆ ในคลื่นลูกแรกนั้นทำทุกคนเป๋เพราะไม่ได้เตรียมรับมือ จึงเกิดเซมิ-ล็อกดาวน์ กราฟผู้ป่วยคนตายลดลงแต่คนจะอดตาย ดังนั้น ถ้าคลายแน่นอนว่ากราฟอาจจะกลับขึ้นไป จึงต้องล็อกซึ่งในช่วงล็อกนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเตรียมความพร้อมประเทศ ด้านสาธารณสุข เรื่องดูแล คนเข้ามาเมือง การสอบทานคนติดเชื้อ ซึ่งต้องทำ เพื่อให้การคลายครั้งต่อไปจะมีทุกอย่างพร้อมรับมือดูแลได้
อนุทิน รับผิดคาดไม่คิดว่าโควิดจะหนักหน่วงขนาดนี้ เผยอยากคุม สธ. ต่อเชื่อสามารถบริหารได้
https://prachatai.com/journal/2020/04/87231
อนุทิน ชาญวีรกุล เปิดใจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ใช่การยึดอำนาจรัฐมนตรี แต่การรับมือสถานการณ์ต่อการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ย้ำ ครม. ยังหันหน้ามาคุยกัน ยอมรับไม่คิดว่าโควิด-19 จะหนักหน่วงขนาดนี้ ชูระบบสาธารณสุขไทยดีที่สุดในโลก ตอบเหตุเลิกใช้โซเชียลมีเดียเพราะถูกโจมตีทางการเมือง จึงเว้นระยะห่างกับโซเชียล เหมือนเว้นระยะห่างทางสังคมป้องกันไวรัสโควิด
16 เม.ย. 2563 สำนักข่าวไทย รายงานว่า
อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ “
สำนักข่าวไทย” กรณีพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 : ศบค.) โดยให้ข้าราชการระดับปลัดกระทรวงเป็นผู้ปฏิบัติงานหลัก และถูกวิจารณ์ว่าเป็นการยึดอำนาจจากรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาล ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน กระทรวงสาธารณสุขมีขอบเขตอำนาจในการคัดกรองผู้ติดเชื้อและการรักษาพยาบาล ส่วนการบังคับใช้กฏหมายต้องเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี บัญชาการไปยังฝ่ายปกครองทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจ
“ขณะที่สถานการณ์ที่โรคกำลังแพร่ระบาดไปมาก ผมเป็นคนหารือกับนายกรัฐมนตรีว่านายกรัฐมนตรีควรเป็นผู้ควบรวมสถานการณ์ เพื่อให้สั่งการทุกหน่วยงานคล่องตัว กระชับ ยืนยันว่าไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล ตรงกันข้ามรัฐมนตรีทุกคนหันหน้าเข้ามาหากัน ทุกกระทรวงหาวิธีช่วยประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
ส่วนจะให้คะแนนการรับมือกับโควิด-19 ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร
อนุทิน กล่าวว่า ไม่ขอประเมินตัวเอง แต่ขอเป็นส่วนหนึ่งสนับสนุนการทำงานของแพทย์ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารสุขให้บรรลุผลมากที่สุด บุคลากรมทางการแพทย์ทุกคนทุ่มเทเสียสละ ไม่ท้อถอย ไม่เสียกำลังใจ ในฐานะที่เป็นฝ่ายบริหาร ไม่สามารถรักษาคนได้เพราะไม่ใช่แพทย์ แต่สิ่งที่สามารถทำได้คือการสนับสนุนแพทย์ พยาบาลเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากโควิด-19 หรือเป็นแล้วต้องหาย ขอลุยไปพร้อมกัน สิ่งที่ต้องทำคู่กันคือการทำให้แพทย์พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ปลอดภัยเพื่อดูแลผุ้ป่วย
“คิดไม่ถึงว่าโควิด-19 จะหนักหน่วงมากขนาดนี้ ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไรบอกได้เลยว่าโดนโควิดกระเแทกเหมือนโดนโคขวิด เหมือนโดนวัววิ่งชน แต่ผมไม่ห่วงตัวเอง ห่วงแต่ประชาชน ห่วงบุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้การบริหารของเรา ต้องหาทางมาต่อสู้เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้ มันยากมาก การที่ผ่านมาได้ทุกวันนี้ เป็นไปตามที่ทีมแพทย์วางแผนไว้หมด ไม่มีอะไรที่วางแผนไว้แล้วหลุด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
อนุทิน กล่าวว่า แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะนิ่งมา 2 สัปดาห์แล้ว แต่ไม่เคยประมาท เวลาประชุมทุกเช้าได้เตือนตลอดให้ระวังการกลับมาอีก และเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก็เป็นการเพิ่มขึ้นในสิ่งที่เรารู้ว่าจะเพิ่มขึ้นแบบนี้ และเตรียมการควบคุมไว้ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องถูกกักตัว มากกว่า 99 เปอร์เซนต์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“สิ่งที่ทำมา ไม่ต้องพูดว่าผิดหรือถูก แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือวันนี้เป็นไปตามที่วางแผน หากทุกคนยังให้ความร่วมมือ รักษาระยะห่างทางกายภาพและสังคม คณะผู้บริหารฝ่ายสาธารณสุข อาจารย์แพทย์ที่ปรึกษา เราประชุมเพื่อเตรียมการออกมาตรการเมื่อโควิดซาลง เมื่อถึงจุดไหนให้ เป็นนิวนอร์มอล Newnormal คือการกลับมาปกติ จะอยู่แบบนี้ไม่ได้ ไม่มีสังคม เคอร์ฟิวส์ไปไหนไม่ได้ แค่ระยะสั้นเท่านั้น เราห่วงประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ รับจ้างรายวัน เราพยามคลี่คลายสถานการณ์ให้เร็ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
อนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นแบบอย่างที่ดีของโลก เราไม่สูญเสียทุกอย่างจากโควิด กล้าพูดว่าระบบสสาธารณสุขของไทยเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก เราหวังเป็นที่ 1 เราบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลพร้อมรองรับ ให้บริการประชาชน ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จะนำพาคนไทยให้มีสุขภาพดี ผลผลิตต่าง ๆ ก็จะดีตามไปด้วย ทั้งเศรษฐกิจสังคม การดำรงชีวิต
นาย
อนุทิน ตอบข้อสงสัยของสังคมกรณีเลิกเล่นโซเชียล ว่า ในความเป็นรัฐมนตรีมีหน้าที่หนึ่ง เป็นนักการเมืองอีกหน้าที่หนึ่ง การโจมตีทางการเมืองผ่านโซเชียลมีสูง ที่ต้องพักการเล่นโซเชียล เพราะสมัยก่อนชอบล่นถึงขั้นติด วันนี้มีเรื่องโควิด ต้องทำให้สมองเคลียร์ ไม่วอกแวก ทำให้อารมณ์ดี ไม่มีใครชอบถูกด่าทุกวัน จึงเห็นว่าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไป เป็นการรักษาระยะห่างกับโซเชียล เหมือนการรักษาระยะห่างให้ปลอดโควิด-19
ส่วนที่ว่าหากนายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ยังต้องการอยู่ กระทรวงสาธารณสุขต่อหรือไม่
อนุทิน กล่าวว่า อยากเป็นตลอดเวลา เพราะอยากอยู่ในที่ที่อยู่แล้วทำงานได้ ทำแล้วสบายใจ ตั้งแต่มีเหตุโควิด ตนไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ แต่มีความรู้ด้านบริหารจัดการ และมั่นใจว่าจะสามารถบริหารงานให้กระทรวงนี้เป็นที่ยอมรับในอนาคต
อนึ่ง เมื่อวันที่ 25 ม.ค. อนุทินเคยให้สัมภาษณ์สื่อระบุว่า ไวรัสโคโรน่าเป็นเหมือนโรคหวัดโรคนึง แล้วก็ใครเป็นหวัดเราก็ต้องรู้ การทำตัวก็คือ เวลาเราเจอคนเป็นหวัด เราทำยังไงก็ทำเหมือนกัน อย่าไปให้เขาจามใส่ อย่าไปสัมผัสตัวเขา อย่าไปกินข้าว กินอาหารร่วมกับเขา และใช้ชีวิตตามปกติ
JJNY : ธนาธรชู2ทางเลือกก้าวข้ามโควิด/อนุทิน รับผิดคาดโควิดจะหนัก/เพจหมอสุดทน จวกโจ นูโว/ป่วยโควิดเพิ่ม 28 เสียชีวิตอีก1
https://www.matichon.co.th/politics/news_2143914
อนุทิน รับผิดคาดไม่คิดว่าโควิดจะหนักหน่วงขนาดนี้ เผยอยากคุม สธ. ต่อเชื่อสามารถบริหารได้
https://prachatai.com/journal/2020/04/87231
อนุทิน ชาญวีรกุล เปิดใจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ใช่การยึดอำนาจรัฐมนตรี แต่การรับมือสถานการณ์ต่อการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ย้ำ ครม. ยังหันหน้ามาคุยกัน ยอมรับไม่คิดว่าโควิด-19 จะหนักหน่วงขนาดนี้ ชูระบบสาธารณสุขไทยดีที่สุดในโลก ตอบเหตุเลิกใช้โซเชียลมีเดียเพราะถูกโจมตีทางการเมือง จึงเว้นระยะห่างกับโซเชียล เหมือนเว้นระยะห่างทางสังคมป้องกันไวรัสโควิด
16 เม.ย. 2563 สำนักข่าวไทย รายงานว่า อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวไทย” กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 : ศบค.) โดยให้ข้าราชการระดับปลัดกระทรวงเป็นผู้ปฏิบัติงานหลัก และถูกวิจารณ์ว่าเป็นการยึดอำนาจจากรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาล ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน กระทรวงสาธารณสุขมีขอบเขตอำนาจในการคัดกรองผู้ติดเชื้อและการรักษาพยาบาล ส่วนการบังคับใช้กฏหมายต้องเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี บัญชาการไปยังฝ่ายปกครองทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจ
“ขณะที่สถานการณ์ที่โรคกำลังแพร่ระบาดไปมาก ผมเป็นคนหารือกับนายกรัฐมนตรีว่านายกรัฐมนตรีควรเป็นผู้ควบรวมสถานการณ์ เพื่อให้สั่งการทุกหน่วยงานคล่องตัว กระชับ ยืนยันว่าไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล ตรงกันข้ามรัฐมนตรีทุกคนหันหน้าเข้ามาหากัน ทุกกระทรวงหาวิธีช่วยประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
ส่วนจะให้คะแนนการรับมือกับโควิด-19 ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร อนุทิน กล่าวว่า ไม่ขอประเมินตัวเอง แต่ขอเป็นส่วนหนึ่งสนับสนุนการทำงานของแพทย์ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารสุขให้บรรลุผลมากที่สุด บุคลากรมทางการแพทย์ทุกคนทุ่มเทเสียสละ ไม่ท้อถอย ไม่เสียกำลังใจ ในฐานะที่เป็นฝ่ายบริหาร ไม่สามารถรักษาคนได้เพราะไม่ใช่แพทย์ แต่สิ่งที่สามารถทำได้คือการสนับสนุนแพทย์ พยาบาลเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากโควิด-19 หรือเป็นแล้วต้องหาย ขอลุยไปพร้อมกัน สิ่งที่ต้องทำคู่กันคือการทำให้แพทย์พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ปลอดภัยเพื่อดูแลผุ้ป่วย
“คิดไม่ถึงว่าโควิด-19 จะหนักหน่วงมากขนาดนี้ ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไรบอกได้เลยว่าโดนโควิดกระเแทกเหมือนโดนโคขวิด เหมือนโดนวัววิ่งชน แต่ผมไม่ห่วงตัวเอง ห่วงแต่ประชาชน ห่วงบุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้การบริหารของเรา ต้องหาทางมาต่อสู้เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้ มันยากมาก การที่ผ่านมาได้ทุกวันนี้ เป็นไปตามที่ทีมแพทย์วางแผนไว้หมด ไม่มีอะไรที่วางแผนไว้แล้วหลุด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
อนุทิน กล่าวว่า แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะนิ่งมา 2 สัปดาห์แล้ว แต่ไม่เคยประมาท เวลาประชุมทุกเช้าได้เตือนตลอดให้ระวังการกลับมาอีก และเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก็เป็นการเพิ่มขึ้นในสิ่งที่เรารู้ว่าจะเพิ่มขึ้นแบบนี้ และเตรียมการควบคุมไว้ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องถูกกักตัว มากกว่า 99 เปอร์เซนต์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“สิ่งที่ทำมา ไม่ต้องพูดว่าผิดหรือถูก แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือวันนี้เป็นไปตามที่วางแผน หากทุกคนยังให้ความร่วมมือ รักษาระยะห่างทางกายภาพและสังคม คณะผู้บริหารฝ่ายสาธารณสุข อาจารย์แพทย์ที่ปรึกษา เราประชุมเพื่อเตรียมการออกมาตรการเมื่อโควิดซาลง เมื่อถึงจุดไหนให้ เป็นนิวนอร์มอล Newnormal คือการกลับมาปกติ จะอยู่แบบนี้ไม่ได้ ไม่มีสังคม เคอร์ฟิวส์ไปไหนไม่ได้ แค่ระยะสั้นเท่านั้น เราห่วงประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ รับจ้างรายวัน เราพยามคลี่คลายสถานการณ์ให้เร็ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
อนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นแบบอย่างที่ดีของโลก เราไม่สูญเสียทุกอย่างจากโควิด กล้าพูดว่าระบบสสาธารณสุขของไทยเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก เราหวังเป็นที่ 1 เราบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลพร้อมรองรับ ให้บริการประชาชน ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จะนำพาคนไทยให้มีสุขภาพดี ผลผลิตต่าง ๆ ก็จะดีตามไปด้วย ทั้งเศรษฐกิจสังคม การดำรงชีวิต
นายอนุทิน ตอบข้อสงสัยของสังคมกรณีเลิกเล่นโซเชียล ว่า ในความเป็นรัฐมนตรีมีหน้าที่หนึ่ง เป็นนักการเมืองอีกหน้าที่หนึ่ง การโจมตีทางการเมืองผ่านโซเชียลมีสูง ที่ต้องพักการเล่นโซเชียล เพราะสมัยก่อนชอบล่นถึงขั้นติด วันนี้มีเรื่องโควิด ต้องทำให้สมองเคลียร์ ไม่วอกแวก ทำให้อารมณ์ดี ไม่มีใครชอบถูกด่าทุกวัน จึงเห็นว่าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไป เป็นการรักษาระยะห่างกับโซเชียล เหมือนการรักษาระยะห่างให้ปลอดโควิด-19
ส่วนที่ว่าหากนายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ยังต้องการอยู่ กระทรวงสาธารณสุขต่อหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า อยากเป็นตลอดเวลา เพราะอยากอยู่ในที่ที่อยู่แล้วทำงานได้ ทำแล้วสบายใจ ตั้งแต่มีเหตุโควิด ตนไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ แต่มีความรู้ด้านบริหารจัดการ และมั่นใจว่าจะสามารถบริหารงานให้กระทรวงนี้เป็นที่ยอมรับในอนาคต
อนึ่ง เมื่อวันที่ 25 ม.ค. อนุทินเคยให้สัมภาษณ์สื่อระบุว่า ไวรัสโคโรน่าเป็นเหมือนโรคหวัดโรคนึง แล้วก็ใครเป็นหวัดเราก็ต้องรู้ การทำตัวก็คือ เวลาเราเจอคนเป็นหวัด เราทำยังไงก็ทำเหมือนกัน อย่าไปให้เขาจามใส่ อย่าไปสัมผัสตัวเขา อย่าไปกินข้าว กินอาหารร่วมกับเขา และใช้ชีวิตตามปกติ