ป้ายกระดาษหลากหลายขนาดแสดงชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษถูกชูขึ้นเหนือศีรษะของกลุ่มคนที่มายืนออกันจนแน่น บริเวณโถงของสนามบิน อาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เตชินีกวาดสายตามองไปตามแผ่นป้ายเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีชื่อของเธอปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษแผ่นใด
ครั้นมองไปยังกลุ่มคนที่มารอรับญาติ ก็พบเพียงคนแปลกหน้า หาได้มีคนในครอบครัวของเธอดังเช่นที่นัดแนะกันไว้ หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเดินไปซื้อซิมโทรศัพท์แล้วต่อสายถึงน้องสาวเพราะมั่นใจว่ามองหาจนทั่วแล้ว
“พุก อยู่ไหน พี่ถึงแล้วนะ รับกระเป๋าออกมาด้านนอกแล้ว พี่หาพุกไม่เจอ”
“อ้าว ก็พุกไลน์ไปบอกพี่ตะปูตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ ว่าไปรับไม่ได้ อาจารย์นัดเมคอัพวันนี้” พรรุจาแจงเหตุผลที่เจ้าตัวไม่สามารถมารับได้
“เมื่อคืนพี่อยู่บนเครื่องไม่ได้เปิดไลน์น่ะ”
“จริงด้วย ลืมไปเลย พุกขอโทษนะพี่ตะปู” น้ำเสียงของน้องสาวละห้อยอย่างคนสำนึกผิด
“ไม่เป็นไร พี่กลับเองได้ สบายมาก” เธอบอกให้น้องสบายใจ “แล้วพุกเลิกเรียนกี่โมง”
เมื่อรู้ว่าน้องสาวไม่มารับหญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเดินทางจากสนามบินเพื่อกลับบ้าน
เธอได้รับทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทที่อเมริกาและทำงานต่อที่นั่นอีกหลายปีหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีด้านสถาปัตยกรรม เธอชินเสียแล้วกับการเดินทางไปไหนด้วยตนเอง
“พุกเลิกเรียน 4 โมงเย็นค่ะ เพื่อนชวนไปหาหนังสือทำรายงานต่อด้วย แต่พุกเปลี่ยนใจละ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วกลับไปหาพี่ตะปูเลยดีกว่า คิดถึงจะแย่”
“คิดถึงพี่หรือคิดถึงขนมของพี่ ไม่ต้องเลย ไปกับเพื่อนนั่นแหละดีแล้ว ทำรายงานให้เสร็จนะ ไม่อย่างนั้นจะพี่เอาขนมให้พี่น็อตหมด” เตชินีเอาชื่อของพี่ชายคนโตมาขู่ เล่นเอาน้องสาวถึงกลับร้องเสียงหลง
“เฮ้ย ได้ไงล่ะ โอเคค่ะ พุกไปห้องสมุดกับเพื่อนก่อนก็ได้ คงถึงบ้านประมาณทุ่มกว่าๆนะคะ”
“กลับมาแล้วพี่จะพาไปกินหมูกระทะเจ้าเดิมนะ” เธอยื่นข้อเสนอ
“โห ลาภปากไอ้พุก” พรรุจาพูดอย่างกระตือรือร้น
“เว่อน่ะพุก พี่น็อตพาเราไปกินออกบ่อย แล้วพี่น็อตอยู่บ้านหรือเปล่า”
“ไปดูไซต์งานแถวบางปู กลับเย็นๆ แต่พี่ตะปูเข้าไปเอากุญแจบ้านที่ออฟฟิศพี่น็อตได้เลย มีคนอยู่ออฟฟิศตลอด”
ออฟฟิศของนพรุจที่พรรุจาเอ่ยถึงไม่ใช่สำนักงานที่มีตึกใหญ่โตอะไร เป็นเพียงห้องทำงานเล็กๆที่ผู้เป็นเจ้าของต่อเติมออกมาด้านหน้าบ้านทาวน์เฮาส์อันเป็นที่พักพิงของสามพี่น้อง
“โอเค เจอกันที่บ้านนะ”
ขณะที่กำลังหันกลับเพื่อไปขึ้นรถโดยสาร หญิงสาวชนเข้ากับร่างสูงใหญ่อย่างไม่ทันระวัง เงยหน้าขึ้นกำลังจะกล่าวคำขอโทษก็ต้องชะงักกับสายตาตื่นตะลึงของชายหนุ่มหน้าตาดีผู้เคราะห์ร้ายที่โดนเธอกระแทกเข้าอย่างจัง จู่ๆเตชินีก็รู้สึกร้อนวาบตรงอก ตรงตำแหน่งที่เธอห้อยจี้ทับทิมสีชมพู จนสะดุ้งเฮือก
“อุ๊ย” หญิงสาวร้องออกมา
“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มตั้งสติได้ก็เอ่ยปาก ทั้งที่อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะการจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องกล่าวคำนั้นออกไป
“ฉันต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่า ขอโทษนะคะที่ไม่ทันระวัง คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เตชินีรีบขออภัย
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็รีบจนไม่ทันระวังคุณเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บและไม่ติดใจใดๆหญิงสาวก็เอ่ยปากขอตัว หากสายตาของชายหนุ่มกลับมองตามเตชินีไปจนลับสายตา
รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลสีชมพูบานเย็นเลี้ยวเข้าซอยมาหยุดลงที่หน้าทาวน์เฮ้าส์ขนาดสองคูหา เคหาสน์หลังนี้ดูดีผิดไปจากบ้านหลังอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกันแม้จะมีลักษณะทางโครงสร้างเหมือนกัน แต่การบูรณะซ่อมแซมแตกต่างกันไปตามความใส่ใจของเจ้าของ
นพรุจซื้อทาวน์เฮ้าส์สองหลังนี้เมื่อสองปีก่อนในราคาไม่สูงนัก พี่ชายของเตชินีเป็นเจ้าของคนที่สองหรือคนที่สาม หญิงสาวไม่แน่ใจ แต่เธอจำได้ดีถึงสภาพบ้านหลังนี้ตอนที่พี่ชายตกลงซื้อ
บ้านทาวน์เฮ้าส์สามชั้นหลังแรกทรุดโทรมจากการปล่อยเช่า เจ้าของเดิมรีบขายทันทีเพราะรับไม่ได้กับสภาพบ้านที่ผู้เช่าหนีไปโดยไม่บอกกล่าว กว่าจะรู้ตัวและตามมาดูบ้านก็ผ่านไปหลายเดือน อีกหลังที่อยู่ติดกันก็มีลักษณะไม่ต่างกันเท่าไรนัก เนื่องจากผู้อาศัยเดิมซื้อไว้ให้ผู้บังเกิดเกล้าอาศัย แต่ก็ไม่ได้ซ่อมแซมเมื่อถึงเวลาที่ควร จะดีกว่าหน่อยก็ตรงที่หลังคาไม่พังและพื้นไม้ปาร์เกต์ยังไม่ถูกมือดีเลาะไปเหมือนกับหลังแรก
โชคเข้าข้างนพรุจก็ตรงที่ขณะกำลังจะลงมือทำบ้านหลังแรก ลูกสาวของบ้านหลังติดกันก็พาแม่ไปอยู่ด้วยที่ต่างประเทศเป็นการถาวรและขายบ้านให้ชายหนุ่ม
นพรุจทุบบ้านทั้งสองให้เป็นหลังเดียวกัน โดยเขาเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างเองทั้งหมด เตชินีเป็นผู้ออกแบบ และพรรุจารับหน้าที่ตกแต่งภายใน ตามความถนัดและวิชาที่ร่ำเรียนของทั้งสามคน
เตชินีเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจนเพราะพ่อกับแม่มีลูกถึงสามคน พ่อของเธอเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างในจังหวัดหนึ่งที่มีพื้นที่ติดทะเล ส่วนแม่ตอนสาวเคยเป็นลูกมืออยู่ร้านตัดผ้าในตัวจังหวัด พอแต่งงานกันก็ออกจากงานมาเลี้ยงลูก เมื่อลูกๆเริ่มเข้าโรงเรียน จึงมีเวลามากพอที่จะรับซ่อมเสื้อผ้า บางครั้งก็มีลูกค้ามาตัดเสื้อด้วย หากเมื่อไม่มีลูกค้าแม่ก็ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลย ไปรับผ้าโหลมาเย็บแล้วให้ลูกๆช่วยด้วยในบางครั้ง
เตชินีและพี่น้องจึงรู้จักคุณค่าของเงินตั้งแต่ยังเล็ก เด็กทั้งสามขยันเรียนและหัวดี ได้รับทุนการศึกษาหลายภาคเรียนแต่ก็มีหลายครั้งที่ต้องทำงานไปด้วยระหว่างเรียน
นพรุจ เตชินี และพรรุจา มีความใฝ่ฝันในวิชาชีพที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็เลือกที่จะดำเนินตามรอยพ่อในสายอาชีพเดียวกัน
นพรุจเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ เพราะชอบการคำนวนและมีวิศวกรในไซต์ก่อสร้างที่พ่อเคยร่วมงานด้วยหลายคนเป็นแรงบันดาลใจ
ด้านเตชินี เป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ รักในงานออกแบบ เธอชอบติดตามพ่อไปทำงานเมื่อสถานที่แห่งนั้นใกล้จะสมบูรณ์มากกว่าจะไปเห็นตั้งแต่ยังเป็นโครงสร้าง เธอจึงเลือกเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์
ส่วนพรรุจา เป็นเด็กที่มีอารมณ์ศิลปินเต็มที่ หากเธอเกิดในครอบครัวอื่นคงได้เป็นจิตรกรเอกไปแล้ว แต่เธอเติบโตมาในบ้านที่เต็มไปด้วยคนรักบ้าน เธอจึงเลือกที่จะใช้ศิลปะในการตกแต่งบ้านเป็นอาชีพในอนาคต
เตชินีก้าวลงจากรถยังไม่ทันลากกระเป๋าเข้าบ้าน นพรุจพี่ชายคนโตก็เปิดประตูสำนักงานออกมาร้องทักอย่างยินดี
“อ้าว พี่น็อตไม่ได้ไปบางปูเหรอ เห็นพุกบอกว่าพี่มีงาน” เตชินีดีใจที่เจอพี่ชายแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้
“กำลังจะไปเนี่ยแหละ เพิ่งคุยกับลูกค้าอีกคนเสร็จ มาพี่ช่วย” นพรุจบอกน้องสาวพลางช่วยยกกระเป๋าเดินทางใบโตเข้าบ้าน
“เย็นนี้พี่น็อตรีบกลับบ้านนะ ตะปูนัดกับพุกไว้ว่าจะพาไปกินหมูกระทะ”
“ได้เลย เดี๋ยวพี่เป็นเจ้ามือเอง”
“แหงละ พี่น็อตเป็นถึงเจ้าของบริษัทรับเหมา แค่เลี้ยงน้องสบายอยู่แล้ว” เตชินีเอ่ยยิ้มๆ
“กินได้เต็มที่เลย คนละ 399 จะกินเท่าไหร่ร้านเขาก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้ากินเหลือแล้วถูกปรับ พี่ไม่รับผิดชอบนะโว้ย ให้เราสองคนจ่ายกันเอง” นพรุจแกล้งพูดแล้วกอดอกอย่างภูมิใจ
“ระดับนี้แล้ว ไม่มีโดนปรับแน่นอน” เตชินีส่ายหน้าอย่างนึกขำแล้วอ้าปากหาวจนพี่ชายร้องทัก
“เป็นผู้หญิงหาวปากกว้างอย่างนี้ได้ไง แม่เห็นตีตายเลย” นพรุจแกล้งดุน้องสาว
“ก็มันง่วงนี่ ขนาดนอนมาเกือบจะตลอดทาง”
“เจ็ตแล็กน่ะสิ งั้นไปนอนเถอะ ไอ้พุกมันถูห้องรอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“ค่ะ พี่น็อตก็ไปทำงานได้แล้ว” หลังยืนส่งพี่ชายจนลับสายตาเตชินีจึงเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน
ฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้เตชินีมองภาพตรงหน้าได้อย่างพร่าเลือนเต็มที ร่างของเธอถูกน้ำฝนเม็ดโตกระทบจนรู้สึกเจ็บไปหมด
ขณะที่กำลังสับสนว่าเหตุใดเธอจึงมายืนตากฝนอย่างกับคนโง่งมท่ามกลางป่าโปร่งที่มีต้นไม้สูงใหญ่เต็มไปหมดเช่นนี้ เสียงทุ้มที่ไม่คุ้นเคยก็ค่อยๆดังขึ้น
แรกทีเดียวเธอไม่ได้ยินว่าเสียงนั้นเอ่ยว่าอะไร จึงเดินไปตามเสียงนั้น จนพบกับศาลาไม้ที่มีชายคนหนึ่งยืนอยู่แล้วมองมาทางเธอ
“ตะปู คุณกลับมาแล้ว ผมดีใจเหลือเกิน” พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่วิ่งเข้ามากอดเธออย่างสุดแสนจะคำนึงหา
“ผมคิดถึงคุณ”
เตชินียังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าชายหนุ่มกำลังพูดถึงอะไร แต่ความรู้สึกของหญิงสาวกลับยินดีอย่างประหลาด เหมือนได้เจอกับของรักที่ตามหามาแสนนาน ทั้งที่เขาเป็นชายแปลกหน้าแต่เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย และแม่ของเธอก็เข้มงวดเรื่องการรักนวลสงวนตัวเสมอมา
ชายหนุ่มหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้เธอ เป็นสร้อยคอทองคำที่มีจี้ทับทิมสีชมพูเม็ดไม่ใหญ่อยู่ตรงกลางล้อมด้วยทับทิมขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยเป็นรูปดอกไม้ ทับทิมที่เป็นกลีบดอกซีกหนึ่งมีรอยบิ่นอย่างเห็นได้ชัด
“คุณทำตกไว้ ผมรู้ว่าสักวันคุณต้องกลับมาเอาของของคุณ” เงาร่างสูงที่เธอมองไม่เห็นหน้าเอ่ย
เตชินียกมือขึ้นลูบจี้ทับทิมอย่างแสนรัก ก็มันเหมือนกันเหลือเกินกับจี้ที่ติดตัวเธอมาตลอด เธอหมุนตัวหันหลังให้ชายหนุ่มสวมสร้อยคอให้อย่างคุ้นเคย
ชายหนุ่มสวมกอดเธอจากด้านหลัง เตชินีรับรู้ถึงความรัก ความคิดถึง และความอ่อนหวานจากสัมผัสนั้น น้ำหนักแขนของชายหนุ่มเริ่มรัดเธอแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกอึดอัด
“พี่ตะปู พี่ตะปู ทำไมขี้เซาขนาดนี้เนี่ย พี่! ตะ! ปู!” เสียงแจ๋วๆที่คุ้นเคยดังขึ้น
เตชินีลืมตาตื่น หอบหายใจอย่างแรงเหมือนคนกำลังจมน้ำแล้วถูกฉุดขึ้นมา เธออยู่ในห้องนอนสว่างไสว แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่สาดเข้ามา
พรรุจายืนอยู่ข้างเตียงอยู่ในชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อยบ่งบอกว่ากำลังจะไปเรียนหนังสือแล้ว ส่วนตัวเธอเองยังนอนคุดคู้อยู่บนเตียงตัวถูกผ้าห่มพันไว้จนแน่น
“พุก ปลุกพี่ทำไม” เตชินีถามน้องสาวออกไปเช่นนั้น แต่ในใจยังคงคะนึงถึงคนในฝัน
“โทรศัพท์พี่ตะปูดังน่ะ พุกก็ไม่อยากปลุกหรอก แต่เห็นพี่ภามโทรมาหาตั้งหลายรอบ แต่ตอนนี้วางไปแล้ว”
พรรุจารีบบอกเหตุผล ด้วยกลัวจะโดนดุที่ไปขัดขวางการนอนของพี่สาว ดูท่าว่าจะฝันดีเสียด้วยถึงได้นอนยิ้มหวานขนาดนั้น โทรศัพท์ที่ตั้งเสียงไว้ดังจนเกือบสุดวางไว้บนหัวเตียงใกล้กับพี่สาวเธอเพียงเอื้อมมือเท่านั้นก็ไม่สามารถเรียกให้เตชินีตื่นจากห้วงฝันได้
“ภามโทรมาทำไมแต่เช้านะ เดี๋ยวตอนเที่ยงก็ไปกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว” เตชินีพึมพำกับตัวเอง แต่พรรุจาหูดีจึงช่วยแก้ต่างให้กับเพื่อนของพี่สาว
“ไม่เช้าแล้วพี่ตะปู สิบโมงกว่าละ แล้วพุกจะบอกให้ว่าถ้าพี่นัดพี่ภามไว้ตอนเที่ยงต้องรีบเลย เพราะกรุงเทพของเรายังคงรถติดเสมอต้นเสมอปลาย ถึงแม้ว่าจะมีรถไฟฟ้าตั้งหลายสายแล้วก็เถอะ”
เตชินีกระโดดลงจากเตียงตั้งแต่ที่น้องสาวบอกเวลาและปิดประตูเข้าห้องน้ำพอดีเมื่อพรรุจาพูดจบประโยค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นิยายเรื่องนี้มีขายในรูปแบบ E book แล้วค่ะ สามารถไปอ่านดูตัวอย่างได้ก่อนเลยนะคะ
มณีร่ายรัก บทที่ 1
ครั้นมองไปยังกลุ่มคนที่มารอรับญาติ ก็พบเพียงคนแปลกหน้า หาได้มีคนในครอบครัวของเธอดังเช่นที่นัดแนะกันไว้ หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเดินไปซื้อซิมโทรศัพท์แล้วต่อสายถึงน้องสาวเพราะมั่นใจว่ามองหาจนทั่วแล้ว
“พุก อยู่ไหน พี่ถึงแล้วนะ รับกระเป๋าออกมาด้านนอกแล้ว พี่หาพุกไม่เจอ”
“อ้าว ก็พุกไลน์ไปบอกพี่ตะปูตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ ว่าไปรับไม่ได้ อาจารย์นัดเมคอัพวันนี้” พรรุจาแจงเหตุผลที่เจ้าตัวไม่สามารถมารับได้
“เมื่อคืนพี่อยู่บนเครื่องไม่ได้เปิดไลน์น่ะ”
“จริงด้วย ลืมไปเลย พุกขอโทษนะพี่ตะปู” น้ำเสียงของน้องสาวละห้อยอย่างคนสำนึกผิด
“ไม่เป็นไร พี่กลับเองได้ สบายมาก” เธอบอกให้น้องสบายใจ “แล้วพุกเลิกเรียนกี่โมง”
เมื่อรู้ว่าน้องสาวไม่มารับหญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเดินทางจากสนามบินเพื่อกลับบ้าน
เธอได้รับทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทที่อเมริกาและทำงานต่อที่นั่นอีกหลายปีหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีด้านสถาปัตยกรรม เธอชินเสียแล้วกับการเดินทางไปไหนด้วยตนเอง
“พุกเลิกเรียน 4 โมงเย็นค่ะ เพื่อนชวนไปหาหนังสือทำรายงานต่อด้วย แต่พุกเปลี่ยนใจละ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วกลับไปหาพี่ตะปูเลยดีกว่า คิดถึงจะแย่”
“คิดถึงพี่หรือคิดถึงขนมของพี่ ไม่ต้องเลย ไปกับเพื่อนนั่นแหละดีแล้ว ทำรายงานให้เสร็จนะ ไม่อย่างนั้นจะพี่เอาขนมให้พี่น็อตหมด” เตชินีเอาชื่อของพี่ชายคนโตมาขู่ เล่นเอาน้องสาวถึงกลับร้องเสียงหลง
“เฮ้ย ได้ไงล่ะ โอเคค่ะ พุกไปห้องสมุดกับเพื่อนก่อนก็ได้ คงถึงบ้านประมาณทุ่มกว่าๆนะคะ”
“กลับมาแล้วพี่จะพาไปกินหมูกระทะเจ้าเดิมนะ” เธอยื่นข้อเสนอ
“โห ลาภปากไอ้พุก” พรรุจาพูดอย่างกระตือรือร้น
“เว่อน่ะพุก พี่น็อตพาเราไปกินออกบ่อย แล้วพี่น็อตอยู่บ้านหรือเปล่า”
“ไปดูไซต์งานแถวบางปู กลับเย็นๆ แต่พี่ตะปูเข้าไปเอากุญแจบ้านที่ออฟฟิศพี่น็อตได้เลย มีคนอยู่ออฟฟิศตลอด”
ออฟฟิศของนพรุจที่พรรุจาเอ่ยถึงไม่ใช่สำนักงานที่มีตึกใหญ่โตอะไร เป็นเพียงห้องทำงานเล็กๆที่ผู้เป็นเจ้าของต่อเติมออกมาด้านหน้าบ้านทาวน์เฮาส์อันเป็นที่พักพิงของสามพี่น้อง
“โอเค เจอกันที่บ้านนะ”
ขณะที่กำลังหันกลับเพื่อไปขึ้นรถโดยสาร หญิงสาวชนเข้ากับร่างสูงใหญ่อย่างไม่ทันระวัง เงยหน้าขึ้นกำลังจะกล่าวคำขอโทษก็ต้องชะงักกับสายตาตื่นตะลึงของชายหนุ่มหน้าตาดีผู้เคราะห์ร้ายที่โดนเธอกระแทกเข้าอย่างจัง จู่ๆเตชินีก็รู้สึกร้อนวาบตรงอก ตรงตำแหน่งที่เธอห้อยจี้ทับทิมสีชมพู จนสะดุ้งเฮือก
“อุ๊ย” หญิงสาวร้องออกมา
“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มตั้งสติได้ก็เอ่ยปาก ทั้งที่อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะการจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องกล่าวคำนั้นออกไป
“ฉันต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่า ขอโทษนะคะที่ไม่ทันระวัง คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เตชินีรีบขออภัย
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็รีบจนไม่ทันระวังคุณเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บและไม่ติดใจใดๆหญิงสาวก็เอ่ยปากขอตัว หากสายตาของชายหนุ่มกลับมองตามเตชินีไปจนลับสายตา
รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลสีชมพูบานเย็นเลี้ยวเข้าซอยมาหยุดลงที่หน้าทาวน์เฮ้าส์ขนาดสองคูหา เคหาสน์หลังนี้ดูดีผิดไปจากบ้านหลังอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกันแม้จะมีลักษณะทางโครงสร้างเหมือนกัน แต่การบูรณะซ่อมแซมแตกต่างกันไปตามความใส่ใจของเจ้าของ
นพรุจซื้อทาวน์เฮ้าส์สองหลังนี้เมื่อสองปีก่อนในราคาไม่สูงนัก พี่ชายของเตชินีเป็นเจ้าของคนที่สองหรือคนที่สาม หญิงสาวไม่แน่ใจ แต่เธอจำได้ดีถึงสภาพบ้านหลังนี้ตอนที่พี่ชายตกลงซื้อ
บ้านทาวน์เฮ้าส์สามชั้นหลังแรกทรุดโทรมจากการปล่อยเช่า เจ้าของเดิมรีบขายทันทีเพราะรับไม่ได้กับสภาพบ้านที่ผู้เช่าหนีไปโดยไม่บอกกล่าว กว่าจะรู้ตัวและตามมาดูบ้านก็ผ่านไปหลายเดือน อีกหลังที่อยู่ติดกันก็มีลักษณะไม่ต่างกันเท่าไรนัก เนื่องจากผู้อาศัยเดิมซื้อไว้ให้ผู้บังเกิดเกล้าอาศัย แต่ก็ไม่ได้ซ่อมแซมเมื่อถึงเวลาที่ควร จะดีกว่าหน่อยก็ตรงที่หลังคาไม่พังและพื้นไม้ปาร์เกต์ยังไม่ถูกมือดีเลาะไปเหมือนกับหลังแรก
โชคเข้าข้างนพรุจก็ตรงที่ขณะกำลังจะลงมือทำบ้านหลังแรก ลูกสาวของบ้านหลังติดกันก็พาแม่ไปอยู่ด้วยที่ต่างประเทศเป็นการถาวรและขายบ้านให้ชายหนุ่ม
นพรุจทุบบ้านทั้งสองให้เป็นหลังเดียวกัน โดยเขาเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างเองทั้งหมด เตชินีเป็นผู้ออกแบบ และพรรุจารับหน้าที่ตกแต่งภายใน ตามความถนัดและวิชาที่ร่ำเรียนของทั้งสามคน
เตชินีเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจนเพราะพ่อกับแม่มีลูกถึงสามคน พ่อของเธอเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างในจังหวัดหนึ่งที่มีพื้นที่ติดทะเล ส่วนแม่ตอนสาวเคยเป็นลูกมืออยู่ร้านตัดผ้าในตัวจังหวัด พอแต่งงานกันก็ออกจากงานมาเลี้ยงลูก เมื่อลูกๆเริ่มเข้าโรงเรียน จึงมีเวลามากพอที่จะรับซ่อมเสื้อผ้า บางครั้งก็มีลูกค้ามาตัดเสื้อด้วย หากเมื่อไม่มีลูกค้าแม่ก็ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลย ไปรับผ้าโหลมาเย็บแล้วให้ลูกๆช่วยด้วยในบางครั้ง
เตชินีและพี่น้องจึงรู้จักคุณค่าของเงินตั้งแต่ยังเล็ก เด็กทั้งสามขยันเรียนและหัวดี ได้รับทุนการศึกษาหลายภาคเรียนแต่ก็มีหลายครั้งที่ต้องทำงานไปด้วยระหว่างเรียน
นพรุจ เตชินี และพรรุจา มีความใฝ่ฝันในวิชาชีพที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็เลือกที่จะดำเนินตามรอยพ่อในสายอาชีพเดียวกัน
นพรุจเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ เพราะชอบการคำนวนและมีวิศวกรในไซต์ก่อสร้างที่พ่อเคยร่วมงานด้วยหลายคนเป็นแรงบันดาลใจ
ด้านเตชินี เป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ รักในงานออกแบบ เธอชอบติดตามพ่อไปทำงานเมื่อสถานที่แห่งนั้นใกล้จะสมบูรณ์มากกว่าจะไปเห็นตั้งแต่ยังเป็นโครงสร้าง เธอจึงเลือกเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์
ส่วนพรรุจา เป็นเด็กที่มีอารมณ์ศิลปินเต็มที่ หากเธอเกิดในครอบครัวอื่นคงได้เป็นจิตรกรเอกไปแล้ว แต่เธอเติบโตมาในบ้านที่เต็มไปด้วยคนรักบ้าน เธอจึงเลือกที่จะใช้ศิลปะในการตกแต่งบ้านเป็นอาชีพในอนาคต
เตชินีก้าวลงจากรถยังไม่ทันลากกระเป๋าเข้าบ้าน นพรุจพี่ชายคนโตก็เปิดประตูสำนักงานออกมาร้องทักอย่างยินดี
“อ้าว พี่น็อตไม่ได้ไปบางปูเหรอ เห็นพุกบอกว่าพี่มีงาน” เตชินีดีใจที่เจอพี่ชายแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้
“กำลังจะไปเนี่ยแหละ เพิ่งคุยกับลูกค้าอีกคนเสร็จ มาพี่ช่วย” นพรุจบอกน้องสาวพลางช่วยยกกระเป๋าเดินทางใบโตเข้าบ้าน
“เย็นนี้พี่น็อตรีบกลับบ้านนะ ตะปูนัดกับพุกไว้ว่าจะพาไปกินหมูกระทะ”
“ได้เลย เดี๋ยวพี่เป็นเจ้ามือเอง”
“แหงละ พี่น็อตเป็นถึงเจ้าของบริษัทรับเหมา แค่เลี้ยงน้องสบายอยู่แล้ว” เตชินีเอ่ยยิ้มๆ
“กินได้เต็มที่เลย คนละ 399 จะกินเท่าไหร่ร้านเขาก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้ากินเหลือแล้วถูกปรับ พี่ไม่รับผิดชอบนะโว้ย ให้เราสองคนจ่ายกันเอง” นพรุจแกล้งพูดแล้วกอดอกอย่างภูมิใจ
“ระดับนี้แล้ว ไม่มีโดนปรับแน่นอน” เตชินีส่ายหน้าอย่างนึกขำแล้วอ้าปากหาวจนพี่ชายร้องทัก
“เป็นผู้หญิงหาวปากกว้างอย่างนี้ได้ไง แม่เห็นตีตายเลย” นพรุจแกล้งดุน้องสาว
“ก็มันง่วงนี่ ขนาดนอนมาเกือบจะตลอดทาง”
“เจ็ตแล็กน่ะสิ งั้นไปนอนเถอะ ไอ้พุกมันถูห้องรอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“ค่ะ พี่น็อตก็ไปทำงานได้แล้ว” หลังยืนส่งพี่ชายจนลับสายตาเตชินีจึงเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน
ฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้เตชินีมองภาพตรงหน้าได้อย่างพร่าเลือนเต็มที ร่างของเธอถูกน้ำฝนเม็ดโตกระทบจนรู้สึกเจ็บไปหมด
ขณะที่กำลังสับสนว่าเหตุใดเธอจึงมายืนตากฝนอย่างกับคนโง่งมท่ามกลางป่าโปร่งที่มีต้นไม้สูงใหญ่เต็มไปหมดเช่นนี้ เสียงทุ้มที่ไม่คุ้นเคยก็ค่อยๆดังขึ้น
แรกทีเดียวเธอไม่ได้ยินว่าเสียงนั้นเอ่ยว่าอะไร จึงเดินไปตามเสียงนั้น จนพบกับศาลาไม้ที่มีชายคนหนึ่งยืนอยู่แล้วมองมาทางเธอ
“ตะปู คุณกลับมาแล้ว ผมดีใจเหลือเกิน” พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่วิ่งเข้ามากอดเธออย่างสุดแสนจะคำนึงหา
“ผมคิดถึงคุณ”
เตชินียังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าชายหนุ่มกำลังพูดถึงอะไร แต่ความรู้สึกของหญิงสาวกลับยินดีอย่างประหลาด เหมือนได้เจอกับของรักที่ตามหามาแสนนาน ทั้งที่เขาเป็นชายแปลกหน้าแต่เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย และแม่ของเธอก็เข้มงวดเรื่องการรักนวลสงวนตัวเสมอมา
ชายหนุ่มหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้เธอ เป็นสร้อยคอทองคำที่มีจี้ทับทิมสีชมพูเม็ดไม่ใหญ่อยู่ตรงกลางล้อมด้วยทับทิมขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยเป็นรูปดอกไม้ ทับทิมที่เป็นกลีบดอกซีกหนึ่งมีรอยบิ่นอย่างเห็นได้ชัด
“คุณทำตกไว้ ผมรู้ว่าสักวันคุณต้องกลับมาเอาของของคุณ” เงาร่างสูงที่เธอมองไม่เห็นหน้าเอ่ย
เตชินียกมือขึ้นลูบจี้ทับทิมอย่างแสนรัก ก็มันเหมือนกันเหลือเกินกับจี้ที่ติดตัวเธอมาตลอด เธอหมุนตัวหันหลังให้ชายหนุ่มสวมสร้อยคอให้อย่างคุ้นเคย
ชายหนุ่มสวมกอดเธอจากด้านหลัง เตชินีรับรู้ถึงความรัก ความคิดถึง และความอ่อนหวานจากสัมผัสนั้น น้ำหนักแขนของชายหนุ่มเริ่มรัดเธอแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกอึดอัด
“พี่ตะปู พี่ตะปู ทำไมขี้เซาขนาดนี้เนี่ย พี่! ตะ! ปู!” เสียงแจ๋วๆที่คุ้นเคยดังขึ้น
เตชินีลืมตาตื่น หอบหายใจอย่างแรงเหมือนคนกำลังจมน้ำแล้วถูกฉุดขึ้นมา เธออยู่ในห้องนอนสว่างไสว แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่สาดเข้ามา
พรรุจายืนอยู่ข้างเตียงอยู่ในชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อยบ่งบอกว่ากำลังจะไปเรียนหนังสือแล้ว ส่วนตัวเธอเองยังนอนคุดคู้อยู่บนเตียงตัวถูกผ้าห่มพันไว้จนแน่น
“พุก ปลุกพี่ทำไม” เตชินีถามน้องสาวออกไปเช่นนั้น แต่ในใจยังคงคะนึงถึงคนในฝัน
“โทรศัพท์พี่ตะปูดังน่ะ พุกก็ไม่อยากปลุกหรอก แต่เห็นพี่ภามโทรมาหาตั้งหลายรอบ แต่ตอนนี้วางไปแล้ว”
พรรุจารีบบอกเหตุผล ด้วยกลัวจะโดนดุที่ไปขัดขวางการนอนของพี่สาว ดูท่าว่าจะฝันดีเสียด้วยถึงได้นอนยิ้มหวานขนาดนั้น โทรศัพท์ที่ตั้งเสียงไว้ดังจนเกือบสุดวางไว้บนหัวเตียงใกล้กับพี่สาวเธอเพียงเอื้อมมือเท่านั้นก็ไม่สามารถเรียกให้เตชินีตื่นจากห้วงฝันได้
“ภามโทรมาทำไมแต่เช้านะ เดี๋ยวตอนเที่ยงก็ไปกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว” เตชินีพึมพำกับตัวเอง แต่พรรุจาหูดีจึงช่วยแก้ต่างให้กับเพื่อนของพี่สาว
“ไม่เช้าแล้วพี่ตะปู สิบโมงกว่าละ แล้วพุกจะบอกให้ว่าถ้าพี่นัดพี่ภามไว้ตอนเที่ยงต้องรีบเลย เพราะกรุงเทพของเรายังคงรถติดเสมอต้นเสมอปลาย ถึงแม้ว่าจะมีรถไฟฟ้าตั้งหลายสายแล้วก็เถอะ”
เตชินีกระโดดลงจากเตียงตั้งแต่ที่น้องสาวบอกเวลาและปิดประตูเข้าห้องน้ำพอดีเมื่อพรรุจาพูดจบประโยค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้