ผู้หญิงแบกเป้เที่ยวเชียงรายคนเดียวช่วง Low season ไม่มีรถส่วนตัว(เช่ารถมอเตอร์ไซค์) 3วัน2คืนงบสามพันนิดๆ

สวัสดีค่ะทุกคน กระทู้นี้เกิดจากความว่างในช่วงโรคระบาด Covid-19 จริงๆซีรีย์ก็เบื่อเกมก็เบื่อแล้วอยากลองเขียนพันทิปแชร์ประสบการณ์การเที่ยวคนเดียวดูเผื่อมีประโยชน์กับคนอื่นๆเหมือนที่เราศึกษาตามกระทู้อื่นบ้าง55555 (มือใหม่หัดเขียนไม่ว่ากันนะคะ) 
              ทริปนี้มาจากความห้าวหญิงสาวเพียงผู้เดียวแบกเป้ขึ้นไปเหนือสุดประเทศไทย เราพึ่งจบใหม่ทำงานได้สักพักแล้วเกิดความอยากพักผ่อน+ความพังของชีวิตทั้งงาน ความรัก เพื่อน มาครบจนรู้สึกว่าทำอะไรมันก็ไม่มีความสุขเลยโว้ยยย จนกระทั่งลาออกจากงานและแพลนชีวิตหลังรับปริญญาออกไปเที่ยวคนเดียวตามหาความสุขให้ตัวเองจนความกล้าของเราพาไปหาจุดที่ทำให้เรามีความสุขมากจริงๆเจอสำหรับเราธรรมชาติสามารถเยียวยาจิตใจคนได้จริงๆ  อ่านให้จบนะคะโชว์โง่กับโชว์มึนไว้เยอะ555555 (สรุปค่าใช้จ่ายสุดประหยัดไว้ด้านล่างนะคะ)

           เริ่มกันเลยดีกว่าเราไปเที่ยวเชียงรายในช่วง Low season (20-22 ก.พ. 2563) คนพังเค้าต้องเที่ยวกันช่วงนี้5555555และรูปภาพทั้งหมดเราใช้กล้องโทรศัพท์ถ่ายโดยเราหอบขาตั้งกล้องขึ้นไปโด้ยยย ไปแบบอยากได้ความชิลจริงๆขาไปเราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 19 ก.พ. จากสถานีรถไฟบางซื่อเลือกเป็นรถไฟชั้น 3 กินนอนหลับๆตื่นๆทั้งคืนเพราะต้องการความชิลกินลมชมวิวแบบจริงๆจังๆ ไปลงเชียงใหม่ใช้เวลาไปประมาณ 15 ชม. และเรียก Grab ไปสถานีขนส่งเชียงใหม่อาเขต 3 ต่อรถทัวร์ไปที่ขนส่งเชียงรายท่าเก่า ใช้เวลาไป 3 ชม.กว่าๆ
 

DAY 1  หลังจากลงรถทัวร์ในตัวเมืองเราก็เดินตามหาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์แถวๆวัดเจ็ดยอดเดินมึนๆตามประสาด้วยความเป้หนักก็ขี้เกียจหาหลายร้าน สรุปโดนค่ามัดจำไป 5,000 บาท ถ้าเดินตามหาร้านอีกหน่อยอาจจะไม่เสียค่ามัดจำที่แพงเท่านี้หน่อยเท่าที่เคยศึกษามานะคะ เราก็เริ่มเดินทางโดยมีพี่เจ้าของร้านเช่ารถใจดีมัดกระเป๋าให้และแนะนำเส้นทางที่สะดวกรถมอเตอร์ไซค์สามารถขับได้แบบชิลๆไม่อันตรายด้วยเราวิ่งไปเส้นอ.เทิงยาวๆมีป้ายบอกทางตลอดไม่ต้องกลัวหลง เติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนเริ่มเดินทางในส่วนของบนดอยก็มีน้ำมันขายเหมือนกันค่ะหมดห่วงเรื่องน้ำมันหมด

ใช้เวลาแง้นๆประมาน 2 ชม.กว่าๆได้ในระยะทาง 100 กว่าโล มีเพื่อนเดินทางคือหูฟังเปิดเพลงเพลินๆขับเรื่อยๆกับ Scoopy i  เครื่องแค่ร้อยซีซีนิดๆก็บิดขึ้นดอยได้สบายที่ไม่สบายคือตูดและแดดที่แผดเผา แต่ถึงดอยก็ยังได้สัมผัสอากาศเย็นๆนิดๆแล้วก็ต้องแวะถ่ายรูปมุมมหาชนหน่อย
    

ความมึนๆของเราคือไม่จองที่พักมาแบบค่ำไหนนอนนั่นเพราะต้องดูความปลอดภัยให้ตัวเองว่าสามารถนอนเต๊นท์ได้หรือเปล่า หลังจากวนๆหาซักครึ่งชม.ได้ เราก็ตัดสินใจเลือกเป็นโฮมสเตย์ใกล้ๆกับทางขึ้นวนอุทยานภูชี้ฟ้าแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยย เข้าพักที่ ภูชี้ฟ้าฮิลล์ มีอาหารมื้อเช้า-เย็น อาหารอร่อยกินคนเดียวแทบไม่หมดจริงๆเจ้าของใจดีมากพูดจาดีแนะนำสถานที่เที่ยวดูแลเราอย่างดีน่าจะเพราะเรามาเที่ยวคนเดียวและเป็นผู้หญิงด้วย

พอเราเก็บของเปลี่ยนชุดโบ๊ะหน้าเรียบร้อยก็แง้นๆขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ฟ้าทางจะชันๆหน่อยบิดสู้จนไม่สามารถแวะถ่ายรูปข้างทางได้ใช้เวลาจากที่พักเพียงแค่ 5 นาที จะมีทางขี่ขึ้นไปจอดรถ 2 ทางเราขี่ขึ้นทางซ้ายมือพอไปถึงที่จอดไม่มีรถซักคันไม่เท่าใหร่ระหว่างที่เดินขึ้นภูระยะทาง 400 เมตร ก็เจอกับศาลพระภูมิ 2 ศาล (เราเป็นคนกลัวผี) สองจิตสองใจแล้วจะเดินไปต่อดีมั้ยเพราะไม่มีคแต่มาถึงแล้วอะเนอะก็ต้องกัดฟันเดินขึ้นให้ถึง พออยู่ยอดดอยก็ทำการจัดแจงขาตั้งกล้องถ่ายรูปคนเดียวแบบหวิวๆผีก็กลัวรูปก็อยากได้ทั้งที่มันก็แค่4-5โมงเย็นแหละ TT จนกระทั่งเจอกับลุงคนนึ่ง(เค้าเป็นคนใช่ปะวะ555555)สรุปเค้าคือช่างกล้องรับถ่ายรูปนักท่องเที่ยว ถ่ายแล้วได้รูปเลยเราช่วยอุดหนุนเค้าซักหน่อย พอลุงเดินลงจากยอดดอยเท่านั้นแหละเราก็รีบลงตามทันทีแถมลุงบอกว่ามีทางลัด ตอนลงเราไปตามที่ลุงบอกสังเกตุบริเวณที่มีราวไม้ไผ่ให้จับ นึกในใจอ่อเดินอ้อมอยู่นานเพราะไม่เห็นทางลัดโง่กว่านั้นก็คือทางที่เราขึ้นมาจอดมอไซค์ก็เป็นทางอ้อมเห้อ55555    
  

DAY 2 คุณลุงที่พักแนะนำให้เราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ดาว เวลา 5:30 น.คงคอนเซ็ปเดิม(ผีก็กลัวรูปก็อยากได้) เราบิดฝ่าอากาศเย็นๆประมาน 17 องศาได้อากาศกลางคืนก็ราวๆนี้นอนสบายมากทั้งที่ไม่มีแอร์ เราเสี่ยงโชคมาหาคนเหมารถชาวบ้านขึ้นภูชี้ดาวเพราะไม่สามารถขับมอไซค์ขึ้นได้ถ้ายังไม่ชินเส้นทางพอนั่งรอแบบมีความหวังมากว่าต้องมีคนแหละสุดท้ายก็นกตามชื่ออดขึ้น ถึงขึ้นไปคนเดียวก็ต้องเดินต่อความกลัวผีนั่นแหละก็เลยต้องแง้นต่อไปดอยผาตั้งห่างจากภูชี้ดาวประมาน 10 โลได้ เราถึง 7 โมงได้ซึ่งมันสว่างและก็มีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมาด้วยงานนี้สบายใจทางเดินขึ้นไม่ชันมากเท่าใหร่แวะถ่ายรูปที่ช่องเขาขาด ขึ้นเนินเขา 102 ชมวิวที่เห็นแม่น้ำโขงฝั่งไทย-ลาว ลงดอยด้วยการขี่ม้า

หลังจากลงดอยผาตั้งเตรียมตัวแง้นเข้าเมือง เรื่องระหว่างทางแบบแอดเวนเจอร์ก็เกิดขึ้นโชว์ความโง่ของตัวเองแบบไม่เขินอายเพื่อไว้เป็นกรณีศึกษาให้ทุกคน เรามีความคิดว่าตัวเองขับมาเป็นวันแล้วก็จะซ่าหน่อยๆ จริงๆแล้วขาลงดอยต้องระวังมากกว่าและกำเบรคตลอดเวลาแต่ก็นั่นแหละความประมาทล้วนๆนักรบย่อมมีบาดแผลโค้งแรกไม่เป็นไรโค้งต่อไปลงไปนอนกับพื้นถึงกับเห็นความสำคัญของหมวกกันน็อคขึ้นมาทันทีด้วยความที่เราเป็น Safety เนอะ ก็ Safety first ก่อนออกมาจากบ้านเราพกชุดปฐมพยาบาลมาแล้วก็ยืนทำแผลตัวเองตรงข้างทางนั่นแหละมือก็ซ้นแต่ความมึนๆของเราก็ขี่รถต่อได้ยันถึงตัวเมืองเจ็บแบบเก็บอาการได้ของฝากจากเชียงรายแบบหาซื้อไม่มีขายอยากได้ต้องควายเอง555555555

ก่อนออกมาจากที่พักบนภูชี้ฟ้าเราได้ทำการจองโฮสเทลในตัวเมืองไว้ก่อนแล้วคือ บ้านไม้กระดาน เราเลือกนอนห้องหญิงล้วนมีอาหารเช้าให้ ถูกและดีแถมไม่มีคนไทยเลย555555555555 แพลนต่อไปจากเก็บของไว้ที่ห้องเราก็หาสถานที่ที่ไม่ไกลจากที่พักมากระยะทางแค่ 13 โล คือไร่บุญรอดหรือสิงห์ปาร์ค สามารถขี่มอไซค์เข้าไปได้เลยมีที่ให้ถ่ายรูปสวยๆเยอะมากแต่เราแวะถ่ายแค่ไร่ชาและต้นดอกเหลืองอินเดีย เพราะทั้งเหนื่อยและเจ็บแผลงอแงอะ
   

ตกกลางคืนความสายดื่มของเราแถมไหนๆก็อยู่ตัวเมืองแล้วก็เลยหา rooftop (dinner late cafe rooftop bar) นั่งชิลๆความ Low saeson ไปไหนก็เงียบสงบดีเราก็นั่งคนเดียวในร้านนั่นแหละ craft beer และ cocktail ราคากันเองมาก

DAY 3 งัวเงียหน่อยแต่เดี๋ยวมาไม่ถึงเชียงรายก็คือวัดร่องขุ่น ขี่ออกจากที่พักแค่ 10 โล คนไทยไม่เสียค่าเข้าปิดทริปด้วยการขอพร เดินทางกลับกรุงเทพเราเลือกนั่งรถทัวร์จากเชียงรายแล้วต่อรถทัวร์ที่เชียงใหม่ลงกรุงเทพ จริงๆแล้วสามารถนั่งรถที่เชียงรายลงที่กรุงเทพได้เลยแต่มีรถรอบน้อยมาก

สรุปค่าใช้จ่ายการเดินทางแบบชิลๆงบนิดๆบวกความลำบากหน่อยๆ

ตั๋วรถไฟบางซื่อ - เชียงใหม่ ชั้น 3 = 231 บาท
ตั๋วรถทัวร์ขาไป-กลับ เชียงใหม่-เชียงราย 208*2 = 416 บาท
ตั๋วรถทัวร์กลับ เชียงใหม่-กรุงเทพ = 592 บาท
Grab ไปขนส่งเชียงใหม่ = 37 บาท
ที่พักบนภูชี้ฟ้า 1 คืน รวมอาหารเช้า-เย็น = 600 บาท
Hostel = 234 บาท
เช่ารถมอเตอร์ไซค์ วันละ 200 บาท * 2 วัน = 400 บาท
ค่าน้ำมันตลอดการเดินทาง = 180 บาท
ค่าลุงถ่ายรูปให้บนภูชี้ฟ้า = 50 บาท
ค่าขี่ม้า = 150 บาท 
ค่า cocktail = 200 บาท
ค่าจิปาถะประมาน 200 บาท
รวมทั้งหมด 3,290 บาท
ขอบคุณสำหรับคนที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ ฝากไว้สำหรับคนที่หมด Passion ในชีวิตตัวเองทุกๆเรื่องลองเปิดใจให้การเดินทางบำบัดจิตใจตัวเองดูอาจเป็นการค้นหาความสุขให้ตัวเองจนเจอและการเป็นผู้หญิงออกมาเดินทางคนเดียวไม่ได้น่ากลัวเลยจริงๆสำหรับเรากลับหลงรักการเดินทางคนเดียวมากขึ้นและอยากไปให้ไกลมากขึ้นกว่าเดิมท้าทายกว่าเดิมลุยกว่าเดิมมมม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่