ของกินที่ไม่คิดว่าจะมีที่ค้นพบได้

บะหมี่โบราณ 4,000 ปี


เส้นบะหมี่สภาพสมบูรณ์ที่ถูกค้นพบลึกลงไปในพื้นดิน 3 เมตร  ในแหล่งโบราณคดีล่าเจีย ตำบลหมิงเหอ อำเภอไห่ตง มณฑลชิงไห่ เมื่อปี 2005 บะหมี่ชามนี้มีอายุมากกว่า 4,000 ปี  ยืนยันว่าจีนเป็นต้นกำเนิดเก่าแก่ที่สุดในการทำเส้นบะหมี่

ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเชื่อกันว่าบะหมี่เป็นผมผลิตจากตะวันออกกลาง  จากนั้นจึงค่อยเผยแพร่เข้ายุโรป รวมถึงอิตาลี ซึ่งในสมัยโบราณกว่า 2,000  ปีนั้น อาหารอิตาลีเป็นที่นิยมของชาวยุโรป  ทำให้เส้นสปาร์เก็ตตี้และพาสต้าอันเป็นเอกลักษณ์ของอิตาลีรู้จักกันไปทั่ว และจีนก็อาจจะได้รับอิทธิพลในการผลิตเส้นนี้ไปด้วย   แต่เส้นบะหมี่ที่มีชามกระเบื้องเคลือบครอบไว้ถ้วยนี้ได้เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าบะหมี่เกิดขึ้นที่เมืองจีนมาช้านานขนาดไหน
 
สิ่งหนึ่งที่น่าตื่นใจเกี่ยวกับการค้นพบนี้ก็คือ คนจีนโบราณมีวิวัฒนาการด้านการทำอาหารที่น่าเหลือเชื่อ เพราะการทำบะหมี่ค่อนข้างใช้ทักษะฝีมือระดับสูงในการทำ  และเส้นบะหมี่ที่ถูกค้นพบนี้ก็น่าจะทำให้จับเป็นเส้นได้ยาก  เพราะนักโบราณคดีในทีมที่ค้นพบประกาศว่าทำจากข้าวฟ่างหางกระรอกผสมกับข้าว ฟ่างไม้กวาด  เพราะถ้าใช้ข้าวฟ่างหางกระรอกเพียงชนิดเดียวแป้งไม่เหนียวพอที่จะยึดเกาะกัน เป็นเส้นได้ ซึ่งในสมัยนั้นแป้งสาลีน่าจะยังไม่เข้ามาในจีน  อย่างเช่นสูตรเส้นบะหมี่เหนียวนุ่มในปัจจุบัน
 
ศ.โฮหยวน ลู่  จากสถาบันธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์แห่งประเทศจีนในฐานะหัวหน้าทีมการทำงานในครั้งนี้ระบุว่า ปัจจุบันชาวบ้านแถบนี้ยังกินบะหมี่ที่ทำจากแป้งข้าวฟ่างหางกระรอกกันอยู่  แม้จะแข็งไม่นุ่มนวลเหมือนเส้นที่ทำจากแป้งข้าวสาลี แต่ก็เหมาะแก่คนยากจนมาก นี่คือเครื่องยืนยันว่าบะหมี่ข้าวฟ่างสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
เขียนโดย menmen 
Cr. https://dessertmanman.blogspot.com/2016/07/4000.html
 
 


เบียร์ 600 ขวดที่เต็มไปด้วยพิษตะกั่ว


ย้อนกลับไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ทีมนักโบราณคดีจาก “Archaeological Services WYAS” ได้ทำการค้นพบซากสิ่งก่อสร้างโบราณ ที่ในอดีตน่าจะเคยเป็นส่วนโรงแรมของปราสาทสการ์บอรอฟ ในเมืองลีดส์ เวสต์ยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ  และพบกับขวดเบียร์โบราณจำนวนกว่า 600 ขวด ถูกเก็บไว้ใต้บันไดห้องใต้ดิน โดยทั้งหมดมาจากศตวรรษที่ 19 ราวๆ ช่วงต้นทศวรรษของปี 1800 และสร้างความสนใจเป็นอย่างมากแก่ผู้พบเห็นด้วยปริมาณที่ค่อนข้างมากของมัน

ตอนแรกทีมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ขวดเหล่านี้ในอดีตน่าจะเคยเป็นภาชนะที่เอาไว้ใส่ “จิงเจอร์เบียร์” หรือเบียร์น้ำขิง แต่เมื่อส่งขวดที่พบไปตรวจสอบก็พบว่าจริงๆ แล้วนี่เป็นเบียร์แบบที่มีแอลกอฮอล์ แถมยังมีการปนเปื้อนของตะกั่วในระดับความเข้มข้นสูง

อ้างอิงจากข้อมูลของทาง Archaeological Services WYAS ขวดที่เห็นนี้เคยเก็บเบียร์ที่มีค่า pH อยู่ที่ 5.07 และมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ราว 3% อย่างไรก็ตามตัวของเหลวเหล่านี้กับมีตะกั่วปนอยู่มากถึง 0.13 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าปริมาณตะกั่วระดับปลอดภัยซึ่งองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร กว่า 10 เท่า
 
พวกเขาเชื่อว่าปริมาณตะกั่วระดับสูงนี้เป็นไปได้ว่าจะมาจากการที่ในสมัยนั้น ผู้คนใช้น้ำจากท่อตะกั่วในการหมักเบียร์   แต่ถึงอย่างนั้นการค้นพบในครั้งนี้ก็ถือว่ามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สำหรับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ดังนั้นทางผู้จ้างวานของ Archaeological Services WYAS จึงตัดสินใจที่จะเก็บขวดที่พบไว้เพื่อนำออกจัดแสดงให้กับโรงเบียร์ Tetley’s Brewery บริษัทผลิตเบียร์ที่มีชื่อของเวสต์ยอร์กเชียร์ต่อไป
ที่มา smithsonianmag, foxnews และ thedrinksbusiness 
Cr.https://www.catdumb.tv/19th-century-beer-bottles-378/  By เหมียวศรัทธา 




ขนมปังเก่าแก่ที่สุดในโลก


ในอดีตหลักฐานการค้นพบขนมปังเก่าแก่ที่สุดคือที่ประเทศตุรกี ซึ่งมีอายุอยู่ที่ราวๆ 9,000 ปีก่อน ดังนั้นจึงมีความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า คนเราเพิ่งจะมีการปรุงอาหารเมื่อราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อน และก่อนหน้านั้นมนุษย์ทานอาหารเพียงเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น

แต่ล่าสุดทางนักโบราณคดีได้มีการค้นพบขนมปังในยุคเก่าแก่ ที่มีอายุมากถึง 14,400 ปี มันเป็นเศษอาหาร 24 ชิ้น ที่มีขนาดกว้างโดยเฉลี่ย 4.4 มิลลิเมตร ยาว 5.7 มิลลิเมตร และหนา 2.5 มิลลิเมตร ซึ่งหากส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบร่องรอยของการบดและการนวด
 
นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นที่โบราณสถานยุคหินซึ่งอยู่ในทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศจอร์แดน โดยเป็นเศษขนมปังรูปแบบโบราณที่มีลักษณะแห้งแข็ง แทบจะไม่มีคุณค่าทางอาหาร และเชื่อว่าทำขึ้นจากข้าวสาลีป่า ข้าวบาร์เลย์ และข้าวโอ๊ต

อย่างไรก็ตามขนมปังที่พบนั้น เชื่อกันว่าไม่ได้ทำขึ้นเพื่อคุณค่าทางโภชนาการ แต่เป็นการทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางวัฒนธรรม สังคม หรืออุดมการณ์ เนื่องจากสถานที่ค้นพบนั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่ต่างไปจากที่อยู่อาศัยในยุคนั้น และมีความคล้ายคลึงกับสถานที่ประกอบพิธีกรรม  ซึ่งนั่นหมายความว่าในสมัยก่อน อาจจะมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมมากกว่าที่พวกเราเคยคิดไว้

ที่มา dailystar, independent, dailymail
Cr. https://www.catdumb.com/humans-first-bread-378/ By เหมียวศรัทธา




มนุษย์โบราณใช้กัญชา ในพิธีศพ


ซีเอ็นเอ็น รายงานการค้นพบหลักฐานที่พบในสุสานทางตะวันตกของจีนบ่งชี้ว่ามนุษย์ใช้กัญชามานานหลายพันปี แต่วิธีการใช้ต่างจากในปัจจุบัน
ทีมนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดี ค้นพบหลักฐานการใช้กัญชาเพื่อให้ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอายุเก่าแก่ที่สุดของโลก ในกระถางเผาเครื่องหอม ที่สุสานใกล้เส้นทางสายไหม ในเขตปกครองตนเองซินเจียงทางภาคตะวันตกของจีน

นักวิทยาศาสตร์จากจีนและเยอรมนีเผยแพร่ผลงานวิจัยในนิตยสารไซแอนซ์ แอดวานซ์ ว่าจากการขุดค้นหลุมศพทางตะวันตกของจีนอายุกว่า 2,500 ปี
บนเทือกเขาปามีร์ ใกล้กับพรมแดนจีนด้านที่ติดกับปากีสถาน ทำให้ทราบว่ามนุษย์โบราณใช้กัญชาเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เนื่องจากพบซากเตาไม้และหินที่ใช้เผาอยู่ในหม้อที่มีปริมาณสารเตต้าไฮโดรแคนนาบินอล หรือ ทีเอชซี ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทและพบได้ในพืชจำพวกกัญชา

มนุษย์ยุคโบราณอาจใช้กัญชาในการประกอบพิธีฝังศพหรือเป็นสื่อกลางติดต่อกับวิญญาณหรือผู้เสียชีวิต แต่มีวิธีการใช้ต่างจากสมัยปัจจุบัน เพราะสมัยก่อนใช้จุดในพื้นที่ที่ปิดและปล่อยไอออกมาซึ่งอาจเผากัญชาโดยวางบนก้อนหินร้อนๆ ในเตาไม้

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีการปลูกกัญชาอย่างน้อย 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เพื่อสกัดน้ำมันและเส้นใยมาใช้ ซึ่งกัญชามีหลากหลายพันธุ์ แต่พันธุ์เก่าแก่
ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมีระดับทีเอชซีและสารประกอบอื่นๆ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทค่อนข้างน้อย

นักโบราณคดีหลายคนบอกว่าต้นกำเนิดของการสูบกัญชาอยู่ที่เอเชียกลางซึ่งนักโบราณคดีชาวกรีกเคยบันทึกไว้ แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะระบุได้ว่า มนุษย์โบราณที่ถูกฝังในสุสานของจีนเพาะปลูกกัญชาหรือเสาะหาพืชที่มีสาร ทีเอชซี หรือไม่ กระทั่งต่อมามีการเพาะปลูกกัญชาเป็นจำนวนมาก และมีวิธีการใช้แบบใหม่ซึ่งคิดค้นโดยคนที่อาศัยบนภูเขาสูงอย่างปามีร์




แม้ปัจจุบันนี้ ถือว่าเทือกเขาปามีร์อยู่ห่างไกล แต่ครั้งหนึ่งอาจอยู่ในเส้นทางสายไหมหรือเส้นทางการค้าหลัก เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าการสูบกัญชาและการใช้กัญชาเป็นการเฉพาะเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันในเส้นทางสายไหม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการใช้กัญชา ทั้งทางการแพทย์ พิธีกรรมและสันทนาการ
มานานแล้ว

ที่มาข่าว: https://edition.cnn.com/2019/06/12/health/cannabis-china-tombs-scn-intl/index.html
             :https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2615500
Cr.https://www.cannhealth.org/content/5735/พบหลักฐานมนุษย์โบราณใช้กัญชา-ในพิธีศพที่เก่าแก่-อายุถึง-2500-ปี




งานวิจัยใหม่เผยมนุษย์สมัยก่อนกินกันเอง


การที่มนุษย์กินกันเอง (Human cannibalism) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะหลักฐานการกินคนของมนุษย์ไม่ได้เพิ่งมามีในสมัย Homo sapiens เท่านั้น

แต่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการกินคนนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยของ มนุษย์โบราณสายพันธุ์ Homo antecessor เมื่อ 900,000 ปีก่อน
สาเหตุที่มนุษย์เหล่านี้กินกันเองนั้น เคยเชื่อกันว่าเกิดจากการขาดแคลนอาหารอื่นๆ ในพื้นที่ แต่จากงานวิจัยใหม่ล่าสุด ทางนักวิจัยได้ออกมาบอกว่าที่คนกินกันเองนั้นอาจจะมีเหตุผลมากกว่าแค่การขาดแคลนอาหารก็เป็นได้

งานวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยทีมนักวิจัยจากศูนย์วิจัย Centro Nacional de Investigación sobre la Evolución Humana (CENIEH) ซึ่งได้สำรวจแหล่งโบราณคดีในสเปนพบว่า  มีกระดูกของมนุษย์ H. antecessor จำนวนอย่างน้อยๆ 22 ร่างที่มีร่องรอยของการถูกกินโดยมนุษย์ด้วยกัน
 
การค้นพบในครั้งนี้นับว่าน่าสนใจมาก เพราะพื้นที่ที่มีการค้นพบหลักฐานเหล่านี้ในสมัยก่อนน่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ให้ล่าอยู่มากมาย มนุษย์จึงไม่น่าจะขาดแคลนอาหารจนถึงขั้นที่ต้องกินกันเองได้   พวกเขาสันนิษฐานว่า แม้สัตว์อื่นๆ ที่เป็นอาหารหลักของคนในสมัยนั้นอย่างแรด กวาง และม้าจะให้ปริมาณแคลอรี่ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตสูงกว่าเนื้อมนุษย์มาก แต่พวกมันก็ต้องใช้เวลาในการล่าค่อนข้างนาน  บางครั้งนักล่าต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ในการไล่ล่าสัตว์สักตัว

การไล่ล่าสัตว์แบบนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังงานสูง และในบางครั้งก็ไม่คุ้มค่า จึงมีความเป็นไปได้ที่ว่า  มนุษย์ H. antecessor จะหันไปมองเหยื่อชนิดใหม่ที่ล่าได้ง่ายกว่า คือมนุษย์นั่นเอง  งานวิจัยชิ้นนี้มีการตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Human Evolution ฉบับของเดือนมิถุนายน 2019
ที่มา ancient-origins,  livescience และ sciencedirect
Cr.https://www.catdumb.com/why-homo-antecessor-become-cannibals-378/  By เหมียวศรัทธา




คนยุคหินใหม่จับปลาทานเป็นหลัก


วันที่ 16 มกราคมที่ 2019 มหาวิทยาลัยบริสตอล ในประเทศอังกฤษ ได้ออกมารายงานผลการวิจัยชิ้นใหม่ ที่มีการอธิบายการทานอาหารที่ผิดยุคผิดสมัยของ บรรพบุรุษมนุษย์กลุ่มหนึ่ง

จากผลการวิจัยสารตกค้างในเครื่องปั้นดินเผาร่วม 200 ชิ้น ที่มีการพบใกล้ๆ แม่น้ำ Danube ในยุโรปแล้ว ดูเหมือนว่าในช่วงยุคหินใหม่ (ช่วงเวลาประมาณ 10,200-2,000 ปีก่อนคริสตกาล) บรรพบุรุษของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับทานปลากันเป็นหลัก ไม่ใช่เนื้อสัตว์บกอย่างที่เราเคยเข้าใจ

เพราะจากการตรวจสอบเครื่องปั้นดินเผาด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟี-แมสส์สเปกโทรเมตรี (Chromatography-mass spectrometry) ซึ่งจะสามารถบอกได้ว่ากรดไขมันในวัตถุโบราณมีที่มาจากสัตว์ชนิดไหน นักวิจัยก็พบว่าเกือบทั้งหมดของเครื่องปั้นดินเผาที่พวกเขาตรวจสอบล้วนแต่มีไว้ใส่สัตว์น้ำจำพวกปลาทั้งนั้น
การค้นพบในครั้งนี้ทำให้พวกเราทราบว่าคนโบราณที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ทานปลาเป็นหลักหลังจากที่เรียนรู้วิธีทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์มาเป็นเวลานานแล้ว
ที่มา allthatsinteresting และ royalsocietypublishing
Cr.https://www.catdumb.com/some-neolithic-still-eat-fish-378/ By เหมียวศรัทธา

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ธรณีวิทยา ชีววิทยา ประวัติศาสตร์ วัตถุดิบทำอาหาร
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่