สวัสดีค่ะะ ในที่สุดก็ได้กลับมาเขียนกระทู้ใหม่ซ้ากกที ส่วนกระทู้ที่ติดไว้ว่าจะเขียนก็ยังไม่ถึงไหนเลย T-T จะพยามปัดฝุ่นให้สำเร็จช่วงนี้เนี่ยแหละ . . . เพราะว่างเกิ๊นน 555 ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่ว่างๆอยู่ เราก็มาหิวไปพร้อมกันได้เช่นเคยนะคะ และแน่นอนว่าก่อนจะเริ่มกันก็ขอฝากเพิ่มเติมสำหรับเพจเล็กๆของคนขี้เกียจ ที่ขยันกินเหลือเกินกันซักนิดนะ
FB : Momo no Paradise - モモのパラダイス
https://www.facebook.com/momonoparadise
IG : Momo.diarys
https://www.instagram.com/momo.diarys/
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ช่วงหลัง ๆ มานี้ร้านญี่ปุ่นหลายร้านในไทยเริ่มเสิร์ฟอาหารสไตล์ Omakase มากขึ้น (แม้ว่าช่วงนี้จะห่างหายกันไปบ้างเพราะสถานการณ์ COVID 19 ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก T-T) โดยที่อาหารญี่ปุ่นสไตล์นี้ก็คือการเสิร์ฟเมนูตามใจเชฟนั่นเองค่ะ แต่ละครั้งวัตถุดิบมักจะแตกต่างกันไป แล้วแต่ฤดูกาล หรือโปรโมชั่นของทางร้าน ส่วนมากจะเสิร์ฟเป็นคอร์ส ตั้งแต่ประมาณ 15-20 คำ / คอร์ส
ขอบอกว่าเห็นราคาแล้วช่างเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก เพราะส่วนมากจะเริ่มต้นที่ประมาณ 1,500 ++ ทั้งนั้นเลย . . . หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมคนเราต้องยอมเสียเงินพันกว่า เพื่อไปกินอาหารแค่ไม่กี่คำ ที่กินแล้วก็ไม่ค่อยอิ่ม //ฮาา บอกเลยว่า มันคือ
"ศิลปะ" ค่ะ!!!
เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบต่างๆที่ล้วนแล้วแต่ถูกคัดสรรค์มาอย่างดี ไปจนถึงที่วิธีการทำ วิธีการเสิร์ฟ ที่คุณเชฟตั้งใจรังสรรค์มาเพื่อดึงดูดใจลูกค้าโดยเฉพาะ อาจจะมีถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง แล้วแค่คนชอบค่ะ แต่บอกเลยย ถ้าใครมีโอกาส ครั้งหนึ่งในชีวิตอยากให้ลองดูค่ะ
สำหรับเราโอกาสนั้นมาถึงแล้ววววว ตอนที่เกิดเหตุการณ์ COVID 19 เนี่ยแหละค่ะ 555 เพราะโดนเทจากทริปเกาหลีที่วางแพลนไว้ช่วงต้นเดือนมีนาคม ก็เลยเอาเงินที่จะไปเที่ยว ไปกินแทน!!! และถึงแม้ว่าตอนนี้ทางร้านจะปิดไปแล้วชั่วคราว แต่ก็อยากมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าหลังจากจบเหตุการณ์นี้เมื่อไหร่ เพื่อนๆที่เก็บกดจากหมูกระทะ บุฟเฟ่ต์ ชาบูชาบู หรือ เมนูอื่นๆ จะอยากลองเปิดประสบการณ์กันดูบ้าง
พูดถึงแต่น้ำมาเยอะแล้ว เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆคนไหนพร้อมแล้ว ตามมาดูกันดีกว่าค่ะ ว่า Omakase หน้าตาเป็นยังไง
สำหรับร้านที่เราเลือกคือที่นี่ค่ะ
“Koko Japanese Restaurant” ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกร้านนี้? บอกเลยว่า . . . โปรโมชั่นล้วนๆ 555 เพราะตอนที่เราจอง ทางร้านมีดีลกับทาง Wongnai ค่ะ เหลือ 1,499++ เท่านั้น (เมื่อเทียบกับราคา Omakase ทั่วไปถือว่าไม่แพงเลย)
พอเห็นราคากับเมนูแล้ว และประกอบกับเรื่องการเดินทางที่ไม่ยากมาก ก็เลยตัดสินใจจองทั้นที จองดีลเสร็จ ก็โทรไปจองวัน-เวลากับทางร้าน แล้วเตรียมท้องรอได้เลยยยยย สำหรับ Omakase ของที่นี่จะรับ 4 รอบ / วันค่ะ คือ 12.00/16.00/18.00/20.00 ที่เราจองไว้จะเป็นรอบ 12.00 แนะนำว่าควรไปถึงก่อนเวลาซักนิดหนึ่งนะ
บรรยากาศ
ภายในร้านจะเป็นร้านเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก แบ่งเป็นโซน A La Cart และ Omakase ค่ะ ในส่วนของ Omakase จะเป็นโต๊ะนั่งเรียงกันหน้าเคาท์เตอร์เลย ด้านหน้าจะมีคุณเชฟมายืนปั้นและเสิร์ฟกันให้สด ๆ ตอนที่เราไปเค้าจะแบ่งเป็น 2 ฟาก คุณเชฟ 1 คนจะดูแลลูกค้าประมาณ 7-8 คน (แอบเห็นอีกฟากก็จะมีคุณเชฟอีกคนคอยดูแลอยู่)
เมื่อเข้าไปนั่งทางร้านก็จะเช็คชื่อและรายละเอียดที่เราจองไว้ค่ะ นั่งรอซักพัก ดื่มน้ำซักหน่อย (มีชาเขียวร้อน-เย็นบริการในเซ็ท) เมื่อถึงเวลาคุณเชฟก็เริ่มเสิร์ฟค่ะ เค้าจะเริ่มตั้งแต่อธิบายชื่อตัวเอง (ขอโทษที่ฟังไม่ทันนะคะ T-T) ไปจนถึงอธิบายเมนูและวัตถุดิบต่างๆครบทุกจานเลยค่ะ เสียดายอุตส่าห์แอบจดข้อมูลการบรรยายของคุณเชฟไว้ แต่ดันเผลอลบซะงั้น ก็เลยอาจจะเล่าได้ไม่ละเอียดเท่าไหร่นะ
โต๊ะทำพิธีกรรมของคุณเชฟมีอุปกรณ์ครบครันเลยล่ะค่ะ
เมนู
สำหรับคอร์สที่เราเลือก ตามโฆษณาจะได้ 15 คำด้วยกัน ตามลิสต์ด้านล่างนี้ แต่ถึงเวลาจริงนับแล้วได้เยอะกว่านั้นนิดหน่อย สำหรับเราซึ่งเป็นสายถ่ายรูป การกินแบบนี้จะลำบากนิดหนึ่ง เพราะพอเสิร์ฟ 1 คำ คุณเชฟจะรอเรากินหมดก่อนถึงจะค่อยเสิร์ฟคำต่อไป . . . พอกินช้า (เพราะมัวแต่ถ่ายรูป) ก็กลัวว่าจะทำให้คนอื่นในรอบเดียวกันช้าไปด้วย สุดท้ายเลยรู้สึกเร่งๆ และกินไม่ค่อยทัน
อ้อ ก่อนเริ่ม เค้าจะถามด้วยว่ามีอะไรที่ไม่ทานบ้างไหม นี่ตอบด้วยความรวดเร็วว่า
“ไม่มีค่ะ” ก่อนจะมานึกได้ทีหลังว่ามีนี่หว่า 555 จริงๆเป็นคนไม่ทานฟัวกราน่ะค่ะ แต่เอาน่า ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงแล้วมันต้องลองซักตั้ง!
ที่สำคัญ คุณเชฟจะถามเลยด้วยว่าใครไม่ทานวาซาบิบ้าง อันนี้สำคัญน้าา ใครทานไม่เป็นต้องรีบบอก เพราะส่วนมากเค้าจะใส่มาให้ในจานหรือในซูชิเลย เดี๋ยวจะโดนวางบอมบ์ไม่รู้ตัว
ว่าแล้วก็มาไล่ดูกันเลยดีกว่ามีอะไรในคอร์สนี้บ้าง จะน่ากินขนาดไหนน
ไข่ตุ๋นไข่แซลมอน (Chawan Ikura)
เปิดกันด้วยออเดิร์ฟอย่างแรกคือไข่ตุ๋นค่ะ เหมือนจะธรรมดาไปซักหน่อย แต่ถ้าพูดถึงความพิเศษเราว่าก็พิเศษตรงไข่แซลมอนเนี่ยแหละ เพราะไข่แซลมอนที่ทางร้านเสิร์ฟจะเป็นไข่แบบไซส์ใหญ่กว่าที่เคยเห็นในร้านทั่วไป เคี้ยวแล้วรู้สึกเด้งๆ กรุบๆ ไม่เละ ไม่นิ่ม ไม่คาว แถมไม่เลี่ยนด้วย ตัวไข่ตุ๋นเองเนื้อสัมผัสก็ทำออกมาได้ดีเลยล่ะ
เต้าหู้ซอสงาขาวญี่ปุ่น (Cold avodo tofu salad)
ออเดิร์ฟอีกตัวตามมาติดๆ เรียกกันบ้านๆก็สลัดเต้าหู้ธรรมดาเนี่ยแหละ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่พอยกมาปุ๊ปนึกได้ทันทีว่า เต้าหู้ขาวญี่ปุ่นแบบนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ไม่ชอบนี่นา ยกเว้นถ้าใส่มาในซุปมิโซะก็พอกินได้หน่อย แต่พอกลั้นใจกินเท่านั้นแหละ มันก็อร่อยดีแฮะ เนื้อเต้าหู้ของทางร้านจะแน่นกว่าปกติ มันเลยรู้สึกเข้ากันแบบแปลกๆกับซอสงาที่ราดมา กินรวมๆกับอโวคาโด้ + ไข่แซลมอนก็อร่อยไปอีกแบบ และแน่นอนว่าไข่แซลมอนก็ยังคงคอนเซปต์เม็ดใหญ่ตามเดิม
ปลาฮามาจิซาชิมิ (Hamachi Sashimi)
เมนูนี้ไม่ได้อยู่ในลิสต์รายการของทางร้าน แต่เราปลื้มนะ ถือว่าเป็นฮามาจิซาชิมิที่ใช้ได้เลยสำหรับเรา รู้สึกสด เนื้อนุ่มด้วย ที่สำคัญคือไม่เปรี้ยว! ความทรงจำการกินฮามาจิของเราคือบางร้านชอบทำออกมาแบบเปรี้ยว ไม่รู้ว่าเค้าเอาไปดองกับอะไรก่อนรึเปล่าก็เลยไม่ค่อยปลื้ม แต่ของที่นี่ถือว่าดี เสิร์ฟมาพร้อมไข่แซลมอน และรองด้วยใบโอบะ (ที่ปกติไม่กิน แต่ก็กลั้นใจกินเพื่อความคุ้มค่า) ที่สำคัญคือมีทองคำ? แต่งมาให้ด้วย เพิ่มความอลังการนิสนุง
ซูชิปลามาได (Madai)
เริ่มต้นซูชิคำแรกด้วยปลามาได อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะสลับกับเมนูต่อไปรึเปล่า เพราะหน้าตาคล้ายกันเกิ๊นนน แต่ถือว่าเป็นปลาแปลกๆที่นานๆทีจะได้กินค่ะ คุณเชฟจะปั้นอย่างพิถีพิถันและค่อยๆเสิร์ฟให้ทุกคนบนจานไม้ที่วางอยู่ด้านหน้า จากนั้นคุณเชฟจะรีบเน้นย้ำทันทีว่าเวลาทาน Omakase ให้ใช้มือ ไม่ต้องใช้ตะเกียบ เพื่ออรรถรสในการทาน
ขอสารภาพอีกอย่างคือไม่แน่ใจว่าวิธีการที่ถูกต้องทำยังไง สามารถยกจานลงมาได้หรือไม่ 555 อันนี้ไม่กล้าขยับจานเลยใช้วิธีเอื้อมมือแทน บอกเลยว่าสุดแขนจ้าา
ตอนที่เห็นตอนแรกเหมือนจะธรรมดานะ แต่ปลาของเค้าคือสดจริง ไม่คาวเลย!!! ที่ชอบอีกอย่างคือขนาดของข้าวที่ไม่ใหญ่จนเกินไป
ซูชิปลาฮิราเมะ (Hirame)
คำนี้จะหน้าตาคล้ายๆกับคำแรก ต่างกันตรงที่ท็อปปิ้งด้านบนจะมี Yuzu kosho ท็อปมาให้นิดหนึ่ง บอกเลยว่าเราเป็นสาวกเจ้า Yuzu kosho ที่ว่านี่ค่ะ ลองครั้งแรกก็ติดใจเลย มันจะมีความหอม รสชาติอมเปรี้ยวนิดๆแบบยูซึ แต่ก็มีความเผ็ดแซมออกมาอย่างลงตัว อธิบายไม่ถูก แต่ถ้าได้ลองรับรองว่าติดใจค่ะ และมันเข้ากันกับเนื้อปลาเป็นอย่างดีเลย
แอบถามคนญีปุ่่นมา เค้าบอกว่า Yuzu kosho คือเครื่องปรุงรสชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นค่ะ เป็นตัวผิวยูซึผสมกับพริกญีปุ่่น+เกลือ ปกติใช้เป็นพวกน้ำจิ้มเกี้ยวซ่า โอเด้ง ได้ด้วย
ซูชิปลาฮามาจิ (Hamachi)
สำหรับคำนี้จะเป็นปลาตัวเดียวกับที่เสิร์ฟมาเป็นซาชิมิในตอนแรก แต่รอบนี้มาพร้อมกับข้าวค่ะ พิเศษคือด้านบนจะมีท็อปปิ้งซอสสาหร่ายสูตรพิเศษมาให้ด้วย จริงๆเราว่ามันก็ไม่ได้รสสาหร่ายขนาดนั้น แต่กินแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี ขอยืนยันอีกรอบว่าฮามาจิที่นี่อร่อย ไม่ติดเปรี้ยวเลย
หอยโฮตาเตะย่างเตาถ่านห่อด้วยสาหร่าย (Hotate Yaki)
ระหว่างที่รอเสิร์ฟเมนูต่อไป คุณเชฟก็เริ่มตั้งเตา และเริ่มย่างหอยโฮตาเตะ หรือก็คือหอยเชลล์นั่นเองค่ะ ระหวางนั้นคุณเชฟจะเสิร์ฟเมนูอื่นขั้นเวลา จนเจ้าหอยเชลล์ได้ที่ก็พร้อมทานได้เลย
โดยจะเสิร์ฟเป็นคำเช่นเดิม พิเศษคือเค้าจะย่างสาหร่ายแผ่นโตก่อน จากนั้นใส่ข้าวซูชิข้างใน ซึ่งจะไม่ใช่ข้าวธรรมดา แต่เป็นข้าวคลุกไข่หอยเม่นมาเรียบร้อยแล้ว สีจะออกเหลืองๆหน่อย จากนั้นก็ท็อปด้วยโฮตาเตะที่เพิ่งย่างสดๆ บอกเลยว่าหอมอร่อย โฮตาเตะก็มาแบบชิ้นใหญ่พอดีคำ เนื้อเด้งดึ๋ง ราดซอสมาให้แล้วด้วย ไม่ต้องจิ้มโชยุเพิ่มจ้าา
กุ้งหวาน (Amaebi)
ในบรรดาเมนูทั้งหมดเราปลื้มเมนูนี้เป็นพิเศษค่ะ โดยเฉพาะวิธีการเสิร์ฟ เค้าจะเสิร์ฟมาในแก้วคอกเทล รองด้านล่างก่อนด้วยใบโอบะ ตัวข้าวที่เสิร์ฟจะเป็นข้าวสูตรพิเศษคลุกด้วยมันปู ท็อปด้วยเจ้ากุ้งหวานและมีไข่แซลมอนแต่งมาให้อีกชั้น
ที่พิเศษที่สุดคือคุณเชฟจะมีการพ่นสเปรย์ทองคำให้ด้วย ถ้าถ่ายรูปไม่ทันสามารถขอให้พ่นซ้ำให้ได้ คุณเชฟคงเห็นว่านี่ถ่ายรูปไม่ทันซ้ากทีก็เลยพ่นให้หลายรอบ . . . หลายรอบขนาดไหนสังเกตที่ความวิบวับของกุ้งได้เลยจ้าา กว่าจะได้กินบอกได้คำเดียวว่า ฟุ้ง!!!
ซูชิอูนิ (Uni)
คำนี้จะเสิร์ฟคล้ายๆกับโฮตาเตะคำก่อนหน้า คือเสิร์ฟเป็นคำพร้อมข้าวซูชิ และห่อด้วยสาหร่ายย่าง เราไม่ใช่สายอูนิเท่าไหร่ T-T ก็เลยกินได้ แต่ไม่รู้ว่าดีขนาดไหน แต่ก็ดีกว่าที่เคยทาน สังเกตเห็นโต๊ะข้างๆคือถกเรื่องสายพันธ์อูนิกับคุณเชฟอย่างสนุกสนานเลยล่ะ
ซูชิไข่แซลมอน (Ikura)
ปกติแล้วเราจะไม่ค่อยชอบไข่แซลมอนเท่าไหร่ เพราะเวลากินเยอะๆจะรู้สึกเลี่ยน หรือ คาว แต่อย่างที่บอกค่ะว่าของร้านนี้โอเคอยู่ สามารถกินทั้งคำได้โดยไม่เลี่ยนเลย คุณเชฟเสิร์ฟมาให้แบบพูนๆกันเลยทีเดียว
☆ ปล. เนื่องจากตัวอักษรเต็ม ขอต่อในคอมเม้นท์นะคะ ☆
[CR] ครั้งหนึ่งในชีวิตกับประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นแบบ Omakase @Koko Japanese Restaurant
สวัสดีค่ะะ ในที่สุดก็ได้กลับมาเขียนกระทู้ใหม่ซ้ากกที ส่วนกระทู้ที่ติดไว้ว่าจะเขียนก็ยังไม่ถึงไหนเลย T-T จะพยามปัดฝุ่นให้สำเร็จช่วงนี้เนี่ยแหละ . . . เพราะว่างเกิ๊นน 555 ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่ว่างๆอยู่ เราก็มาหิวไปพร้อมกันได้เช่นเคยนะคะ และแน่นอนว่าก่อนจะเริ่มกันก็ขอฝากเพิ่มเติมสำหรับเพจเล็กๆของคนขี้เกียจ ที่ขยันกินเหลือเกินกันซักนิดนะ
FB : Momo no Paradise - モモのパラダイス https://www.facebook.com/momonoparadise
IG : Momo.diarys https://www.instagram.com/momo.diarys/
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ช่วงหลัง ๆ มานี้ร้านญี่ปุ่นหลายร้านในไทยเริ่มเสิร์ฟอาหารสไตล์ Omakase มากขึ้น (แม้ว่าช่วงนี้จะห่างหายกันไปบ้างเพราะสถานการณ์ COVID 19 ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก T-T) โดยที่อาหารญี่ปุ่นสไตล์นี้ก็คือการเสิร์ฟเมนูตามใจเชฟนั่นเองค่ะ แต่ละครั้งวัตถุดิบมักจะแตกต่างกันไป แล้วแต่ฤดูกาล หรือโปรโมชั่นของทางร้าน ส่วนมากจะเสิร์ฟเป็นคอร์ส ตั้งแต่ประมาณ 15-20 คำ / คอร์ส
ขอบอกว่าเห็นราคาแล้วช่างเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก เพราะส่วนมากจะเริ่มต้นที่ประมาณ 1,500 ++ ทั้งนั้นเลย . . . หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมคนเราต้องยอมเสียเงินพันกว่า เพื่อไปกินอาหารแค่ไม่กี่คำ ที่กินแล้วก็ไม่ค่อยอิ่ม //ฮาา บอกเลยว่า มันคือ "ศิลปะ" ค่ะ!!!
เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบต่างๆที่ล้วนแล้วแต่ถูกคัดสรรค์มาอย่างดี ไปจนถึงที่วิธีการทำ วิธีการเสิร์ฟ ที่คุณเชฟตั้งใจรังสรรค์มาเพื่อดึงดูดใจลูกค้าโดยเฉพาะ อาจจะมีถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง แล้วแค่คนชอบค่ะ แต่บอกเลยย ถ้าใครมีโอกาส ครั้งหนึ่งในชีวิตอยากให้ลองดูค่ะ
สำหรับเราโอกาสนั้นมาถึงแล้ววววว ตอนที่เกิดเหตุการณ์ COVID 19 เนี่ยแหละค่ะ 555 เพราะโดนเทจากทริปเกาหลีที่วางแพลนไว้ช่วงต้นเดือนมีนาคม ก็เลยเอาเงินที่จะไปเที่ยว ไปกินแทน!!! และถึงแม้ว่าตอนนี้ทางร้านจะปิดไปแล้วชั่วคราว แต่ก็อยากมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าหลังจากจบเหตุการณ์นี้เมื่อไหร่ เพื่อนๆที่เก็บกดจากหมูกระทะ บุฟเฟ่ต์ ชาบูชาบู หรือ เมนูอื่นๆ จะอยากลองเปิดประสบการณ์กันดูบ้าง
พูดถึงแต่น้ำมาเยอะแล้ว เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆคนไหนพร้อมแล้ว ตามมาดูกันดีกว่าค่ะ ว่า Omakase หน้าตาเป็นยังไง
สำหรับร้านที่เราเลือกคือที่นี่ค่ะ “Koko Japanese Restaurant” ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกร้านนี้? บอกเลยว่า . . . โปรโมชั่นล้วนๆ 555 เพราะตอนที่เราจอง ทางร้านมีดีลกับทาง Wongnai ค่ะ เหลือ 1,499++ เท่านั้น (เมื่อเทียบกับราคา Omakase ทั่วไปถือว่าไม่แพงเลย)
พอเห็นราคากับเมนูแล้ว และประกอบกับเรื่องการเดินทางที่ไม่ยากมาก ก็เลยตัดสินใจจองทั้นที จองดีลเสร็จ ก็โทรไปจองวัน-เวลากับทางร้าน แล้วเตรียมท้องรอได้เลยยยยย สำหรับ Omakase ของที่นี่จะรับ 4 รอบ / วันค่ะ คือ 12.00/16.00/18.00/20.00 ที่เราจองไว้จะเป็นรอบ 12.00 แนะนำว่าควรไปถึงก่อนเวลาซักนิดหนึ่งนะ
บรรยากาศ
ภายในร้านจะเป็นร้านเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก แบ่งเป็นโซน A La Cart และ Omakase ค่ะ ในส่วนของ Omakase จะเป็นโต๊ะนั่งเรียงกันหน้าเคาท์เตอร์เลย ด้านหน้าจะมีคุณเชฟมายืนปั้นและเสิร์ฟกันให้สด ๆ ตอนที่เราไปเค้าจะแบ่งเป็น 2 ฟาก คุณเชฟ 1 คนจะดูแลลูกค้าประมาณ 7-8 คน (แอบเห็นอีกฟากก็จะมีคุณเชฟอีกคนคอยดูแลอยู่)
เมื่อเข้าไปนั่งทางร้านก็จะเช็คชื่อและรายละเอียดที่เราจองไว้ค่ะ นั่งรอซักพัก ดื่มน้ำซักหน่อย (มีชาเขียวร้อน-เย็นบริการในเซ็ท) เมื่อถึงเวลาคุณเชฟก็เริ่มเสิร์ฟค่ะ เค้าจะเริ่มตั้งแต่อธิบายชื่อตัวเอง (ขอโทษที่ฟังไม่ทันนะคะ T-T) ไปจนถึงอธิบายเมนูและวัตถุดิบต่างๆครบทุกจานเลยค่ะ เสียดายอุตส่าห์แอบจดข้อมูลการบรรยายของคุณเชฟไว้ แต่ดันเผลอลบซะงั้น ก็เลยอาจจะเล่าได้ไม่ละเอียดเท่าไหร่นะ
โต๊ะทำพิธีกรรมของคุณเชฟมีอุปกรณ์ครบครันเลยล่ะค่ะ
เมนู
สำหรับคอร์สที่เราเลือก ตามโฆษณาจะได้ 15 คำด้วยกัน ตามลิสต์ด้านล่างนี้ แต่ถึงเวลาจริงนับแล้วได้เยอะกว่านั้นนิดหน่อย สำหรับเราซึ่งเป็นสายถ่ายรูป การกินแบบนี้จะลำบากนิดหนึ่ง เพราะพอเสิร์ฟ 1 คำ คุณเชฟจะรอเรากินหมดก่อนถึงจะค่อยเสิร์ฟคำต่อไป . . . พอกินช้า (เพราะมัวแต่ถ่ายรูป) ก็กลัวว่าจะทำให้คนอื่นในรอบเดียวกันช้าไปด้วย สุดท้ายเลยรู้สึกเร่งๆ และกินไม่ค่อยทัน
อ้อ ก่อนเริ่ม เค้าจะถามด้วยว่ามีอะไรที่ไม่ทานบ้างไหม นี่ตอบด้วยความรวดเร็วว่า “ไม่มีค่ะ” ก่อนจะมานึกได้ทีหลังว่ามีนี่หว่า 555 จริงๆเป็นคนไม่ทานฟัวกราน่ะค่ะ แต่เอาน่า ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงแล้วมันต้องลองซักตั้ง!
ที่สำคัญ คุณเชฟจะถามเลยด้วยว่าใครไม่ทานวาซาบิบ้าง อันนี้สำคัญน้าา ใครทานไม่เป็นต้องรีบบอก เพราะส่วนมากเค้าจะใส่มาให้ในจานหรือในซูชิเลย เดี๋ยวจะโดนวางบอมบ์ไม่รู้ตัว
ว่าแล้วก็มาไล่ดูกันเลยดีกว่ามีอะไรในคอร์สนี้บ้าง จะน่ากินขนาดไหนน
ไข่ตุ๋นไข่แซลมอน (Chawan Ikura)
เปิดกันด้วยออเดิร์ฟอย่างแรกคือไข่ตุ๋นค่ะ เหมือนจะธรรมดาไปซักหน่อย แต่ถ้าพูดถึงความพิเศษเราว่าก็พิเศษตรงไข่แซลมอนเนี่ยแหละ เพราะไข่แซลมอนที่ทางร้านเสิร์ฟจะเป็นไข่แบบไซส์ใหญ่กว่าที่เคยเห็นในร้านทั่วไป เคี้ยวแล้วรู้สึกเด้งๆ กรุบๆ ไม่เละ ไม่นิ่ม ไม่คาว แถมไม่เลี่ยนด้วย ตัวไข่ตุ๋นเองเนื้อสัมผัสก็ทำออกมาได้ดีเลยล่ะ
เต้าหู้ซอสงาขาวญี่ปุ่น (Cold avodo tofu salad)
ออเดิร์ฟอีกตัวตามมาติดๆ เรียกกันบ้านๆก็สลัดเต้าหู้ธรรมดาเนี่ยแหละ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่พอยกมาปุ๊ปนึกได้ทันทีว่า เต้าหู้ขาวญี่ปุ่นแบบนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ไม่ชอบนี่นา ยกเว้นถ้าใส่มาในซุปมิโซะก็พอกินได้หน่อย แต่พอกลั้นใจกินเท่านั้นแหละ มันก็อร่อยดีแฮะ เนื้อเต้าหู้ของทางร้านจะแน่นกว่าปกติ มันเลยรู้สึกเข้ากันแบบแปลกๆกับซอสงาที่ราดมา กินรวมๆกับอโวคาโด้ + ไข่แซลมอนก็อร่อยไปอีกแบบ และแน่นอนว่าไข่แซลมอนก็ยังคงคอนเซปต์เม็ดใหญ่ตามเดิม
ปลาฮามาจิซาชิมิ (Hamachi Sashimi)
เมนูนี้ไม่ได้อยู่ในลิสต์รายการของทางร้าน แต่เราปลื้มนะ ถือว่าเป็นฮามาจิซาชิมิที่ใช้ได้เลยสำหรับเรา รู้สึกสด เนื้อนุ่มด้วย ที่สำคัญคือไม่เปรี้ยว! ความทรงจำการกินฮามาจิของเราคือบางร้านชอบทำออกมาแบบเปรี้ยว ไม่รู้ว่าเค้าเอาไปดองกับอะไรก่อนรึเปล่าก็เลยไม่ค่อยปลื้ม แต่ของที่นี่ถือว่าดี เสิร์ฟมาพร้อมไข่แซลมอน และรองด้วยใบโอบะ (ที่ปกติไม่กิน แต่ก็กลั้นใจกินเพื่อความคุ้มค่า) ที่สำคัญคือมีทองคำ? แต่งมาให้ด้วย เพิ่มความอลังการนิสนุง
ซูชิปลามาได (Madai)
เริ่มต้นซูชิคำแรกด้วยปลามาได อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะสลับกับเมนูต่อไปรึเปล่า เพราะหน้าตาคล้ายกันเกิ๊นนน แต่ถือว่าเป็นปลาแปลกๆที่นานๆทีจะได้กินค่ะ คุณเชฟจะปั้นอย่างพิถีพิถันและค่อยๆเสิร์ฟให้ทุกคนบนจานไม้ที่วางอยู่ด้านหน้า จากนั้นคุณเชฟจะรีบเน้นย้ำทันทีว่าเวลาทาน Omakase ให้ใช้มือ ไม่ต้องใช้ตะเกียบ เพื่ออรรถรสในการทาน
ขอสารภาพอีกอย่างคือไม่แน่ใจว่าวิธีการที่ถูกต้องทำยังไง สามารถยกจานลงมาได้หรือไม่ 555 อันนี้ไม่กล้าขยับจานเลยใช้วิธีเอื้อมมือแทน บอกเลยว่าสุดแขนจ้าา
ตอนที่เห็นตอนแรกเหมือนจะธรรมดานะ แต่ปลาของเค้าคือสดจริง ไม่คาวเลย!!! ที่ชอบอีกอย่างคือขนาดของข้าวที่ไม่ใหญ่จนเกินไป
ซูชิปลาฮิราเมะ (Hirame)
คำนี้จะหน้าตาคล้ายๆกับคำแรก ต่างกันตรงที่ท็อปปิ้งด้านบนจะมี Yuzu kosho ท็อปมาให้นิดหนึ่ง บอกเลยว่าเราเป็นสาวกเจ้า Yuzu kosho ที่ว่านี่ค่ะ ลองครั้งแรกก็ติดใจเลย มันจะมีความหอม รสชาติอมเปรี้ยวนิดๆแบบยูซึ แต่ก็มีความเผ็ดแซมออกมาอย่างลงตัว อธิบายไม่ถูก แต่ถ้าได้ลองรับรองว่าติดใจค่ะ และมันเข้ากันกับเนื้อปลาเป็นอย่างดีเลย
แอบถามคนญีปุ่่นมา เค้าบอกว่า Yuzu kosho คือเครื่องปรุงรสชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นค่ะ เป็นตัวผิวยูซึผสมกับพริกญีปุ่่น+เกลือ ปกติใช้เป็นพวกน้ำจิ้มเกี้ยวซ่า โอเด้ง ได้ด้วย
ซูชิปลาฮามาจิ (Hamachi)
สำหรับคำนี้จะเป็นปลาตัวเดียวกับที่เสิร์ฟมาเป็นซาชิมิในตอนแรก แต่รอบนี้มาพร้อมกับข้าวค่ะ พิเศษคือด้านบนจะมีท็อปปิ้งซอสสาหร่ายสูตรพิเศษมาให้ด้วย จริงๆเราว่ามันก็ไม่ได้รสสาหร่ายขนาดนั้น แต่กินแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี ขอยืนยันอีกรอบว่าฮามาจิที่นี่อร่อย ไม่ติดเปรี้ยวเลย
หอยโฮตาเตะย่างเตาถ่านห่อด้วยสาหร่าย (Hotate Yaki)
ระหว่างที่รอเสิร์ฟเมนูต่อไป คุณเชฟก็เริ่มตั้งเตา และเริ่มย่างหอยโฮตาเตะ หรือก็คือหอยเชลล์นั่นเองค่ะ ระหวางนั้นคุณเชฟจะเสิร์ฟเมนูอื่นขั้นเวลา จนเจ้าหอยเชลล์ได้ที่ก็พร้อมทานได้เลย
โดยจะเสิร์ฟเป็นคำเช่นเดิม พิเศษคือเค้าจะย่างสาหร่ายแผ่นโตก่อน จากนั้นใส่ข้าวซูชิข้างใน ซึ่งจะไม่ใช่ข้าวธรรมดา แต่เป็นข้าวคลุกไข่หอยเม่นมาเรียบร้อยแล้ว สีจะออกเหลืองๆหน่อย จากนั้นก็ท็อปด้วยโฮตาเตะที่เพิ่งย่างสดๆ บอกเลยว่าหอมอร่อย โฮตาเตะก็มาแบบชิ้นใหญ่พอดีคำ เนื้อเด้งดึ๋ง ราดซอสมาให้แล้วด้วย ไม่ต้องจิ้มโชยุเพิ่มจ้าา
กุ้งหวาน (Amaebi)
ในบรรดาเมนูทั้งหมดเราปลื้มเมนูนี้เป็นพิเศษค่ะ โดยเฉพาะวิธีการเสิร์ฟ เค้าจะเสิร์ฟมาในแก้วคอกเทล รองด้านล่างก่อนด้วยใบโอบะ ตัวข้าวที่เสิร์ฟจะเป็นข้าวสูตรพิเศษคลุกด้วยมันปู ท็อปด้วยเจ้ากุ้งหวานและมีไข่แซลมอนแต่งมาให้อีกชั้น
ที่พิเศษที่สุดคือคุณเชฟจะมีการพ่นสเปรย์ทองคำให้ด้วย ถ้าถ่ายรูปไม่ทันสามารถขอให้พ่นซ้ำให้ได้ คุณเชฟคงเห็นว่านี่ถ่ายรูปไม่ทันซ้ากทีก็เลยพ่นให้หลายรอบ . . . หลายรอบขนาดไหนสังเกตที่ความวิบวับของกุ้งได้เลยจ้าา กว่าจะได้กินบอกได้คำเดียวว่า ฟุ้ง!!!
ซูชิอูนิ (Uni)
คำนี้จะเสิร์ฟคล้ายๆกับโฮตาเตะคำก่อนหน้า คือเสิร์ฟเป็นคำพร้อมข้าวซูชิ และห่อด้วยสาหร่ายย่าง เราไม่ใช่สายอูนิเท่าไหร่ T-T ก็เลยกินได้ แต่ไม่รู้ว่าดีขนาดไหน แต่ก็ดีกว่าที่เคยทาน สังเกตเห็นโต๊ะข้างๆคือถกเรื่องสายพันธ์อูนิกับคุณเชฟอย่างสนุกสนานเลยล่ะ
ซูชิไข่แซลมอน (Ikura)
ปกติแล้วเราจะไม่ค่อยชอบไข่แซลมอนเท่าไหร่ เพราะเวลากินเยอะๆจะรู้สึกเลี่ยน หรือ คาว แต่อย่างที่บอกค่ะว่าของร้านนี้โอเคอยู่ สามารถกินทั้งคำได้โดยไม่เลี่ยนเลย คุณเชฟเสิร์ฟมาให้แบบพูนๆกันเลยทีเดียว
☆ ปล. เนื่องจากตัวอักษรเต็ม ขอต่อในคอมเม้นท์นะคะ ☆
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น