#dek63 เมื่อต้องเลือกระหว่างความฝันกับความจริง

กระทู้นี้เราตั้งมาเพื่อบ่นหรือระบายความสับสนที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ใครที่ผ่านเข้ามาอ่านสามารถให้ข้อมลรือให้กำลังใจเราได้นะคะ
.
.
คำเตือน  เราอยู่ในช่วงสับสนเต็มขั้น มีอะไรอยู่ในหัวเราเต็มไปหมด ถ้าเขียนวกไปวนมายังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ
.
.
เอาหล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว งั้นเรามาเริ่มกันเลย
ขอเกริ่นก่อนว่าเราเป็นเด็ก63 ที่กำลังจะเข้ามหาลัยปีนี้ค่ะ
เราเชื่อว่าเด็กมัธยมปลายต้องวาดภาพฝันของตัวเองในอนาคตไว้บ้าง
แน่นอนเราวาดภาพฝันของตัวเองว่าจะได้เรียนในคณะที่ชอบ ที่จุฬา
เรียนอย่างเข้มข้น สนุกกับกิจกรรมอย่างเต็มที่ ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้สุดเหวี่ยง ทำเกรดดีๆ หาทุนไปต่อต่างประเทศ ถ้าโชคดีก็อาจจะได้ทำงานที่นั่นเลย
ฟังดูดีใช่ไหมละคะ ภาพในฝันของเรามันยิ่งใหญ่มากจนไม่รู้จะอธิบายให้ทุกคนเห็นภาพได้ยังไง เอาเป็นว่าช่วงชีวิตตอนนั้นเราคงจะแฮปปี้มากๆ
.
.
แต่ๆๆๆ บททดสอบชีวิตก็โผล่มา ผลคือเราติดรอบโควต้า คณะสายสุขภาพที่มหาลัยหนึ่ง
เอาหล่ะ ความฝันของเราต้องเบรกเอี๊ยดดังมาก ตอนแรกกะจะไม่บอกใครอยากคิดเงียบๆคนเดียว ปรากฏว่ามันต้องไปตรวจสุขภาพนี่สิ
สุดท้ายก็ต้องไปกระซิบบอกแม่เงียบๆว่าติด ต้องให้แม่พาไปตรวจสุขภาพ คิดว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข ปรากฏแม่ป่าวประกาศต่อคนทั้งบ้าน
ขี้โม้กับคนในหมู่บ้านไปสามบ้านแปดบ้านว่าลูกติดคณะนี้ มหาลัยนี้ เห้อ กลุ้มเลย
คนที่บ้านนี้ก็เห็นดีเห็นงามที่สุด เพราะในบ้านรอคนเรียนสายสุขภาพมาหลายเจนแล้ว (คุณยายเล่าว่าเคยพาแม่ไปสอบพยาบาลทหาร แต่แม่ไม่ยอมไปรายงานตัวเพราะกลัวไม่มีตังเรียน ด้วยความที่คุณยายมีลูกหลายคน) พอไม่มีคนเรียนสายนี้เลย ทุกคนก็เห็นดีว่างานสายนี้ได้เงินค่อนข้างสูง คุณยายมีหลานหลายคนแต่ไม่มีใครเอาถ่านเลย เชิงเราเป็นความหวังสุดท้าย
.
.
ความกังวลแรกเลยคือ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคณะที่เราติดเลย ไม่รู้ว่าเรียนยังไงบ้าง ค่าเทอมเท่าไหร่ เรียนจบแล้วจะไปทำอะไรต่อ 
และแล้วเราก็พบความจริงว่าคณะที่เราติดค่าเทอม 50,000 บาท(ม.รัฐนะคะ) แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอะไรอีกมั้ย
อย่างที่บอกว่าบ้านเราฐานะกลางๆ แม่เราซึ่งเป็นซิงเกิ้ลมัมมีเงินเดือนประมาณสองหมื่นบาทกับค่าใช้จ่ายอีกเป็นพรวน
เราก็กังวลว่าจะเอาเงินไหนไปเรียนเคยถามแม่ตรงๆแล้วแม่ก็บอกว่าไหว แต่เรามองไม่เห็นหนทางเลย เราไม่อยากให้แม่ใช้ชีวิตแบบอดๆอยากๆเพื่อส่งลูกเรียน แล้วก็กังวลว่าถ้าเราเรียนไปกลางคันแล้วอยู่ๆแม่มาพูดว่าแม่ส่งไม่ไหวแล้ว ตายแล้ว เราไม่อยากเป็นหนี้ตั้งแต่อายุสิบแปดนะ
กับที่น้าเคยพูดกับแม่ว่าจะช่วยนะถ้าหลานจะเรียนนั้นนี้ เราก็มานั่งคิดว่าอ้าวถ้าให้ยืมแล้วต้องคืนมั้ย สุดท้ายจบแล้วก็ต้องมานั่งทำงานงกๆใช้หนี้อยู่ดี
หรือให้เงินเลย แต่เราไม่ชอบเลย ของฟรีไม่มีในโลกใครๆก็รู้ สุดท้ายถ้าเขากลับมาทวงบุญคุณ เราคงอยู่ในสภาพต้องทนทำตามที่เขาบอกแน่ๆ
.
.
ความกังวลต่อมาอย่างที่บอก เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคณะที่เรียนเลย ก็คิดว่าเราอาจจะเรียนได้ด้วยความที่เราเรียนสายวิทย์-คณิตมาตอนม.ปลาย แล้วเราก็เรียนค่อนข้างดี อาจจะผ่านมันมาได้ แต่เรียนจบก็ไม่รู้เลยจะเอายังไงต่อ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับด้านนี้จริงๆ
แล้วถ้าเกิดผ่านมันมาไม่ได้หล่ะ นี่คงเป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดในชีวิตเรา เพราะแค่ค่าเทอมก็ปาไปแล้วปีละแสน รวมกินใช้อยู่ใดๆอื่นๆอีกคงจะปาไปสองแสนแน่ๆ โหนี่เราจะต้องทิ้งเงินสองแสนกับเวลาชีวิตอันมีค่าของเราจริงๆหรอ 
.
.
และความกังวลที่สำคัญที่สุดคือเราจะต้องทิ้งฝันของเราไปจริงๆหรอเนี่ย คะแนนเรามีพร้อมยื่นรอบต่อไปและเราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเราจะติดคณะในฝันนั้นแน่ๆ แต่เราจะไม่ได้ยื่นจริงๆหรอเนี่ย (สำหรับคนที่ไม่ทราบเรื่องระบบ ถ้าเอารอบนี้แล้วก็จะไม่สามารถยื่นรอบต่อไปค่ะ) ในความรู้สึกของเราคือสายสุขภาพคงจะมั่นคงกว่าแน่ แต่ถ้าเรียนคณะนี้คงจะไปได้ไกลกว่าแหงๆ
.
.
พอเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเราก็มานั่งทบทวนตัวเองว่าจะเอายังไงต่อไป 
ช่วงม.6เราเป็นเด็กที่มีความสุขกับการใช้ชีวิตมากๆ เรามีแพสชั่นอันแรงกล้า เราเคยมั่นใจมาตลอดว่าถ้าได้เรียนคณะนี้ที่จุฬาเราคงจะแฮปปี้มากๆแน่ๆเพราะเราเคยทำกิจกรรมตอนม.5 แล้วแฮปปี้มากๆ คงจะดีถ้าเราไปอยู่ในคณะและมหาลัยที่ให้เราได้ทั้งกิจกรรมและการเรียนที่ดี เรื่องเงินไม่ต้องห่วงเพราะมันคงจะมีหลากหลายทางเลือกแน่ๆ
.
แน่นอนค่ะ พอปิดเทอมกักตัว ความคิดและแพสชั่นอันพุ่งพล่านก็สะดุดลง แล้วค่อยๆหายไป.....
พออยู่บ้าน คิดไปคิดมามันก็ไปดึงความรู้สึกกังวลใจลึกๆที่อยู่ในใจของเรา เอาจริงๆเราก็ไม่สามารถการันตีได้เลยว่าถ้าเราเรียนคณะที่จุฬาแล้วมันจะไปได้ด้วยดี ลึกๆแล้วเรารู้ข้อมูลเพียงบางส่วนของคณะนี้ แน่นอนว่านิสิตจุฬาส่วนใหญ่ได้งานอยู่แล้ว แล้วสถาบันมันก็ค่อนข้างมีผลกับการทำงาน แต่ใครจะบอกได้ว่าเราจะไปได้สวย อย่างน้อยก็สวยกว่าถ้าเรียนอยู่คณะสายสุขภาพที่ติดตอนนี้ อีกอย่างคือเราไม่รู้ว่าจะเข้ากับอาชีพนี้ได้มั้ย มีคุณครูที่เรานับถือเขาบอกว่าเราจะทนอยู่กับมันได้หรอ เราเป็นคนขี้เบื่อนะ ซึ่งนั่นก็เป็นความจริงที่เรารู้ตัวแล้วก็กังวลใจมาโดยตลอด
.
แล้วเราก็มานั่งถามตัวเองว่าจริงๆแล้วความต้องการจริงๆที่เราอยากเรียนคณะนี้ในจุฬาเป็นอะไรกันแน่ 
คำตอบคือเราอยากออกจากชีวิตอันน่าเบื่อที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราเบื่อบ้านมากๆและเบื่อมานานแล้ว เบื่อความเรื่อยเปื่อยของชีวิตที่เจออยู่
ถ้าไปอยู่ในสังคมที่มันกระตุ้นผลักดันให้เราใช้ความทะเยอทะยานของเราอย่างเต็มที่คงจะเป็นเรื่องที่วิเศษมาก
ทุกคนคงคิดว่าถ้ามีไฟอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ที่เราต้องการคือสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นตัวสำคัญค่ะ  เราเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงแต่ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่กระตุ้นเราจะเป็นคนที่ขี้เกียจมากกกกกกก  อย่างที่บอกว่าเคยทำกิจกรรมตอนม.5 ได้รับหน้าที่อันทรงเกียรติหน้าที่หนึ่ง แล้วเราก็จบมันได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมกับคว้าเกรดสี่มาครองแบบสวยๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นเด็กเรียนกลางๆไม่เอาอะไรเลยแท้ๆเพื่อนก็คบอยู่ไม่กี่คน
เรื่องเบื่อบ้าน เราก็ต้องการหาที่ที่สามารถส่งเราไปแบบไม่เสียดายที่จะต้องออกจากบ้านมาเดินเส้นทางนี้และเป็นเส้นทางที่สุดท้ายครอบครัวก็ต้องยอมรับมัน ไม่อยากครึ่งๆกลางๆกับอะไรทั้งสิ้น อยากให้มันสุดๆไปเลย ก็เพราะชีวิตวัยรุ่นมันมีครั้งเดียวนี่
.
.
.
แล้วจะมัวมากังวลอะไรอยู่หล่ะ ในเมื่อไฟในตัวมันลุกโชนขนาดนี้
อยู่ดีๆคำพูดนึงที่เคยได้ยินมาก็แว้บขึ้นมาในหัว "พ่อแม่คงอยากจะให้ลูกเรียนในคณะที่เห็นอนาคตชัดเจน" 
เป็นประโยคที่เจ็บปวดมากแต่มันคือเรื่องจริง ถ้าเราเรียนสายสุขภาพแม่ก็คงจะสบายใจ...
.
เคยคุยกับพี่ที่รู้จักตั้งแต่ยังไม่ได้คิดเรื่องที่เรียน พี่เขาเรียนในคณะที่ตัวเองชอบเนื่องด้วยพ่อแม่พี่เค้าทำราชการ เกษียณไปก็มีเงินใช้ ลูกไม่ต้องมาคิดอะไรให้มันมากมาย พี่เขาเคยบอกว่า พี่ดีที่พ่อแม่พี่ไม่เป็นไร เขามั่นคงแล้ว พี่เลยเรียนในคณะที่พี่ชอบได้ แต่เรายังมีแม่ที่ต้องดูแล เราคงจะต้องคิดถึงแม่หน่อย
เห้อ เอาเป็นว่าเราจุกมาก ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย
.
.
เราเคยคิดว่าชีวิตนี้มันเป็นของเรา ทำไมเราต้องมาทำตามความต้องการของแม่ด้วย แม่ที่ไม่เคยสนใจความต้องการเลย แม่ที่เลี้ยงลูกแบบให้ขวนขวายเอาเองทุกอย่าง ขนาดตอนที่อ่านหนังสือเข้ามหาลัยเป็นบ้าเป็นหลัง แม่ยังเปิดทีวีรบกวน เคยพูดกับแม่ดีๆก็แล้ว ขอให้หยุดแค่ช่วงนี้แม่ก็ทำให้กันไม่ได้ แถมตวาดกลับมาอีกว่าพื้นที่ส่วนรวมทุกคนก็ต้องมีเวลาของตัวเองบ้างนี่เป็นเวลาของแม่ที่จะดูทีวี ก็ได้แต่หวังว่าช่วงที่เราออกจากบ้านไปเรียนมหาลัยแม่จะได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่กับชีวิตที่อยากให้เป็น เราเคยทะเลาะกับแม่เรื่องสอบเข้าเพราะเราเล่าให้แม่ฟังหลายรอบแต่แม่ไม่เคยสนใจและใส่ใจ แม่เอาแต่บอกว่าถ้าเราไม่พูดแล้วแม่จะรู้ได้ยังไง ทั้งที่เราก็พยายามอธิบายแม่หลายครั้ง กูเกิ้ลแม่ก็ใช้เป็นแต่แม่ไม่เคยหาข้อมูลเลย แม่ไม่เคยกระตือรือร้นอะไรเลยเรื่องของเรา ตอนม.6 เรียนมันเหนื่อยมากท้อมากพอกลับบ้านมาเจอแม่ที่เครียดเรื่องที่ทำงานแล้วเก็บเอากลับมาที่บ้าน เรานี่หมดกำลังใจในชีวิตเลย แล้วแม่ก็ไม่เคยพูดเรื่องมหาลัยกับเราอย่างจริงๆจังๆด้วย (แต่ก็แม่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อย่างน้อยก็ยังคงเลี้ยงดูเรามาจนสิบแปดปีแล้วก็สอนให้เราเป็นคนดี)
(เราอาจจะเขียนจากความอัดอันตันใจนิดนึง)
.
.
ไม่รู้จะระบายอะไรแล้ว ถ้ามีอะไรอีกเราจะลงในคอมเม้นนะคะ
ถ้าเราเขียนอะไรผิดไป อย่าว่าเราได้มั้ย
ตอนนี้เราคงมีพลังไม่พอที่จะรับจริงๆ
.
.
พอเขียนมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเขียนเก่งนะเนี่ย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่