คิดเห็นอย่างไร กับคำที่ว่า “หน่วยงานราชการเป็นอย่างไร ประเทศไทยก็เป็นอย่างนั้น “

ก่อนอื่นผมอยากจะขอบอกก่อนนะครับ ว่าเรื่องนี้จะยาวสักหน่อยและสิ่งที่ผมเจอมา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้จะใส่ร้ายป้ายสีหน่วยงานราชการอื่นๆนะครับ เพียงแต่ว่าอยากจะขอติเตียน ให้คิดซะว่าติดเพื่อก่อละกันครับ ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดก็ตาม เพราะการที่เราจะเปลี่ยนองค์กรที่มีระบบอันล้าหลังแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่ายาก
ตอนนี้ผมทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ได้มีโอกาสได้ติดต่อกับหน่วยงานราชการมาก็พอควร มันทำให้ผมทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบราชการในประเทศไทย แต่ผมทราบดีว่าอาจจะเป็นแค่บางหน่วยงานเท่านั้น อย่ารอช้าดีกว่าครับปัญหาแรกที่ผมเจอ และส่งผมกระทบต่อตัวผมและองค์กรผมมาก นั่นก็คือ
          1.การติดต่องานราชการถือเป็นเรื่องที่ยากพอๆกับการทำให้ท่านผู้นำมีรอยหยักในสมองมากขึ้นเลยแหละ ครั้งหนึ่งผมจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับกรมๆหนึ่งเพื่อขอเข้ารับทำการทดสอบวัสดุ แน่นอนว่าได้ไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและติดต่อทางโทรศัพท์ คุณเชื่อไหมว่าความรู้สึกตอนนั้นประหนึ่งว่าคุณกำลังอยู่ในมหกรรมการโอนสายแห่งชาติ โอนไปแล้วก็โอนมา พอโอนไปอีกทีสายตัดซะงั้น 555 ซึ่งกว่าจะติดต่อกันได้ อาจจะต้องมี10 สายขึ้นไป และที่สำคัญ  ผมสังเกตหลายๆครั้ง กว่าที่พนักงานจะรับสายก็ใช้เวลานานราวกับว่าไม่มีคนประจำอยู่ในสำนักงานแห่งนั้น ก็เป็นเรื่องตลกๆดีนะครับ แต่พอถึงเวลาจำเป็นต้องติดต่อเรื่องสำคัญ มันก็หัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว กลายเป็นหัวร้อนแทน
          2.การทำหนังสือและการแจ้งข้อมูล คือสิ่งที่ทุกๆคนที่ติดต่อราชการ ล้วนแต่เอือมระอา เพราะการสื่อสารข้อมูลของพนักงาน ไม่ตรงกันเลย ครั้งหนึ่งผมเคยได้ทำการโทรศัพท์เพื่อไปถามถึงการส่งทดสอบวัสดุและการเข้าดูในระหว่างการทดสอบ เพื่อความโปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้าง(ที่ปรึกษาโครงการของลูกค้าประสงค์จะเข้าดู) เจ้าหน้าที่ได้แจ้งผมว่า จะต้องทำหนังสือมาทั้งการส่งทดสอบและการขอเข้าดูในวันที่จะเข้ามาทดสอบได้เลย พร้อมยืนยันว่าสามารถเข้ามาดูได้อย่างแน่นอน พอถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าคงเป็นไปด้วยความราบรื่น เพราะเราก็ได้ทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง แต่พอถึงวันที่จะไปส่งหนังสือ พร้อมกับนัดลูกค้าเข้าไปดู ปรากฏว่าพอไปถึง เจ้าที่หน้าทดสอบแจ้งว่าไม่สามารถเข้าไปดูได้ เพราะทางเราไม่มีนโยบายให้บุคคลภายนอกเข้ามาดูได้ คงจะเดาออกนะครับว่าผมหน้าเหวอแค่ไหน ผมก็บอกเขาไปว่า มีเจ้าหน้าที่ของทางกรมได้แจ้งว่าสามารถเข้ามาดูได้นะครับ แล้วใครจะรับผิดชอบ เข้าได้แต่ปัดให้ไปทดสอบที่อื่น พร้อมกับพูดประโยคนึง ที่ประชาชนอย่างผมสะอึกไปเลยทีเดียว “ผมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ให้ใครทดสอบที่นี่ก็ได้ครับ” เป็นไงละครับ โทรไปขอโทษลูกค้าแทบไม่ทัน ชีวิตมันโหดร้ายกว่าที่ผมคิดซะอีกนะเนี่ย
          3.สิ่งที่เรียกว่าค่าธรรมเนียม คือสิ่งเดียวกันกับคำว่า เงินใต้โต๊ะ แน่นอนว่าเป็นประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาด้วยตัวเอง หลายๆครั้งที่การติดต่อทางราชการเป็นไปด้วยความลำบาก ทั้งขึ้นตอนการทำธุรกรรมต่างๆและการติดต่อสื่อสาร ดังนั้นทางหน่วยงานของรัฐ จึงมีสิ่งที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมขึ้นมา แน่นอนครับว่าถ้าผมไม่เจอกับตัว ผมคงไม่แบกหน้ามาเล่าให้ฟังหรอกครับ เรื่องมีอยู่ว่า ผมให้ลูกน้องนำวัสดุไปส่งทดสอบที่กรมๆหนึ่ง แล้วก็เบิกเงินไปตามจำนวนค่าวัสดุดังที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งไว้ พอไปถึงลูกน้องได้โทรมาหาผม พร้อมกับบอกว่า “พี่ๆ เจ้าหน้าที่เขาบอกว่ามีค่าธรรมเนียมส่วนกลางอีก” ผมก็เลยถามว่าค่าธรรมเนียมอะไร เพราะปกติเราไปที่อื่น เขาไม่มี และเมื่อครั้งที่โทรถามเจ้าหน้าที่เขาไม่ได้แจ้งไว้ แจ้งแค่ราคาค่าทดสอบวัสดุ พอลูกน้องผมได้ฟังดังนั้น ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ไป เขาบอกว่า เป็นค่าธรรมเนียมมส่วนกลางไม่ออกบิล ผมก็เข้าใจในทันทีว่า มันคือเงินใต้โต๊ะนั่นเอง ผมเลยแจ้งหัวหน้าผม เขาก็ดำเนินการไปตามระเบียบ เพราะเข้าใจถึงการทำงานในระบบนี้ ไม่อยากมีปัญหาอะไรมาก
          น่าจะพอหอมปากหอมคอนะครับ กับสิ่งที่ผมได้เจอมา มันก็น่าสะเทือนใจหน่อยๆนะครับ สุดท้ายนี้ผมก็แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ที่ผมคิดว่า หลายๆคนก็คงจะได้ประสบพบเจอคล้ายๆกันไม่มากก็น้อย ไม่ได้จะมากล่าวหากันลอยแต่อย่างใด เชื่อไหมครับว่า ประเทศของเราจะยังคงเป็นแบบนี้ไปอีกนานเลยแหละ 555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่