●● โควิด19 ตกงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ - ทำอย่างไรดี?...โดย น.พ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ●●

●● โควิด19 ตกงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ - ทำอย่างไรดี?...โดย น.พ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ●●

11 เมษายน 2563
โควิด19 ตกงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ
 
คุณหมอที่เคารพ

หนูกำลังจะตกงาน แฟนหนูตกงานแล้วเรียบร้อย เขาทำงานแบงค์ หนูอยู่ที่ ... กำลังท้องได้ 4 เดือน ตอนนี้บริษัทให้
หยุดทำงานที่บ้าน ลือกันว่าจะหั่นเงินเดือนเหลือครึ่งหนึ่ง หวั่นอยู่ลึกๆว่าบริษัทจะเลิกจ้าง แม้บริษัทไม่เลิกจ้างหนูก็
ไปต่อไม่ไหวแล้ว เงินเดือนสองคนรวมกันเคยได้ 6 หมื่นกว่า ตอนนี้เหลือคนเดียว ต้องผ่อนคอนโด และผ่อนรถ

หนูเป็นคนจังหวัด ... แฟนเขาเป็นคนจังหวัด ... แต่เป็นเด็กในเมือง ที่บ้านหนูมีที่ดินอยู่แปดไร่ ให้เขาเช่าทำนา แต่พี่น้อง
ยังไม่ได้แบ่งกัน มีสองคนพี่น้อง ตอนนี้หนูมืดแปดด้าน เครียด สงสารลูกที่จะเกิดมา หนูเคยมีความฝันมากมายในเรื่องว่า
วันหนึ่งเก็บเงินได้มากแล้วจะออกไปทำธุรกิจเล็กๆของตัวเอง  import-export แต่มันจบแล้ว หนูเพิ่งอ่านเจอคุณหมอ
ตอบน้องคนหนึ่งว่าไม่ควรมีลูก หนูอ่านแล้วร้องไห้

หนูควรจะทำอย่างไรดี คุณหมอแนะนำหนูด้วย
............................................................

     จดหมายคุณมาผิดที่หรือเปล่าเนี่ย มาถามหมอสันต์เรื่องการทำมาหากิน หิ หิ น่าขำ แต่เอาเถอะหมอสันต์มีนิสัย
ชอบตอบจดหมายแปลกๆที่หลงเข้ามา จึงหยิบจดหมายของคุณมาตอบ ให้คุณคิดเสียว่าได้ฟังคำตอบบ้าๆบ้างอาจจะ
ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น คุณถามมาประเด็นเดียว คือว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตจากนี้ไปดี แต่ผมขอตอบแยกเป็นประเด็น
ย่อยๆตามแต่ผมจะคิดได้นะ

1. โควิด 19 จะจบเมื่อไหร่

     การจะวางแผนอนาคตมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดาปัจจัยบางตัวที่ไม่มีใครรู้ความจริงสักคนก่อน นั่นคือเรื่อง
โควิด19 นี้จะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะจบ ทางรัฐบาล พวกนักธุรกิจ คนเล่นหุ้น คนค้าขาย ต่างหวังกันว่าสองสามเดือน
มันคงจะจบ

 แต่ว่าอย่าลืมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ "โรค" นะ แล้วใครละที่รู้เรื่องโรคดี คุณเคยได้ยินหมอคนไหนพูดบ้างไหมว่าอีก
สามเดือนโรคโควิด19 จะจบ ถ้าจะให้หมอสันต์เดา เรื่องในประเทศอีกไม่กี่เดือนอาจจะจบได้จริงถ้าคนไทยส่วนใหญ่
ร่วมมือกัน แต่เรื่องจะเปิดประเทศให้คนเดินทางเข้าออกได้ ให้คนต่างชาติเดินทางเข้ามาเมืองไทยได้ ซึ่งมันเกี่ยวกับ
ธุรกิจของคุณโดยตรงนั้น ผมว่าให้คุณมองไปที่ 18 เดือน ทั้งนี้ผมเดาเอาจากการคำคาดการณ์ของคณะกรรมการ
พัฒนาวัคซีนร่วมของกลุ่มประเทศยุโรป ว่ากว่าจะได้วัคซีน (ถ้าได้) จะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ที่ต้องรอวัคซีนก็
เพราะในยุโรปและอเมริกาเชื้อได้ระบาดเกินจุดที่จะไล่ตะครุบได้ทันเสียแล้ว ต้องรอวัคซีนลูกเดียว

2. สภาพการทำมาหากินทั่วไปมันจะเป็นอย่างไร

     คราวนี้เรามาพูดถึงเรื่องการจะทำมาหากิน ตรงนี้ก็จำเป็นต้องเดาอีก ไม่งั้นวางแผนอนาคตไม่ได้ คราวนี้ผมต้องเดา
เรื่องที่ผมไม่ได้เรียนมา วิธีเดาผมก็เดาเอาจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆในอเมริกา ณ วันนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นข้อมูลเชิงลึกอะไร
ผมก็แค่อ่านเอาจากนิตยสารไทม์ที่ผมบอกรับเป็นสมาชิกมาหลายสิบปีแล้วเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆแดงๆเห็นๆแล้ว
มีดังนี้

     (1) คนอเมริกันถูกให้ทำงานอยู่ที่บ้าน 70 ล้านคน แปลว่าคนเหล่านี้ต่อไปส่วนหนึ่งจะไม่มีงานทำเพราะงานที่ทำ
           ที่บ้านได้ก็รู้ๆก้นอยู่ว่ามันไม่ใช่งานจำเป็นเสียทั้งหมด

     (2) คนอเมริกันสิบกว่าล้านคนยื่นขอเงินเดือนคนว่างงาน แปลว่าพวกนี้ตกงานไปเรียบร้อยแล้ว

     (3) ตลาดหุ้นได้ตกจากราว 29,000 จุดเหลือราว 20,000 จุด คือตกบ้าเลือดยิ่งกว่ายุควิกกฤติแฮมเบอร์เก้อร์
           เมื่อปี 2008

     (4) รัฐบาลแจกเงินแก้ปัญหาไปแล้ว 2 ล้านล้านเหรียญแต่ไม่พอ หนังสือพิมพ์ไทม์เคาะตัวเลขว่าต้องใช้ราว
           6 ล้านล้านเหรียญจึงจะกู้เศรษฐกิจได้ ซึ่งรัฐบาลคงต้องทำอย่างนั้นแหงๆ อันจะมีผลให้เงินดอลล่าร์กลายเป็น
           แบงค์กงเต๊ก

     (5) รัฐบาลออกกฎหมายอุ้มแบงค์ ชนิดที่ว่าไม่ต้องมีเงินสำรองไว้กับธนาคารกลางก็ได้และธนาคารกลางได้เข้าไป
           ซื้อสินทรัพย์ขี้หมาของแบงค์ไว้หมด แปลไทยเป็นไทยก็คือระบบธนาคารของสหรัฐน่าจะเจ๊งกะบ๊งไปแล้ว
           เรียบร้อยทั้งระบบแต่รัฐเอาเงินภาษีไปอุ้มไว้เพราะกลัวสังคมปั่นป่วน

     (6) ร้านรวงบริษัทห้างร้านในอเมริกาตอนนี้ปิดเกือบหมดเพราะไม่มีคนซื้อ เครื่องบินหยุดบิน เรือหยุดออก
            รถโดยสารส่วนใหญ่หยุดวิ่ง

     ทั้งหมดที่เกิดที่อเมริกาวันนี้ คือสิ่งที่จะเกิดกับเมืองไทยวันพรุ่งนี้ รายละเอียดผมขออนุญาตไม่ล้วงลึกเพราะมัน
ไม่สร้างสรรค์ ผมพูดได้แต่ว่าต่อแต่นี้ไปในโลกใบนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม บริษัทที่จะเจ๊งไปรอบนี้จะมีจำนวนมาก
 และในบรรดาที่เจ๊งจะมีจำนวนมากที่จะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว คือไปแล้วไปเลยสวีวี่วี อาชีพหลายอาชีพจะหายไป
 อาชีพใหม่ๆแปลกๆจะเกิดขึ้นแทน สิ่งที่แน่นอนมีอย่างเดียวคือ..ความไม่แน่นอน

3. ความนี้มาวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของคุณ

     สมัยหนุ่มๆผมเคยตั้งบริษัททำธุรกิจมาสองสามบริษัท กำไรบ้างเจ๊งบ้าง (ส่วนใหญ่เจ๊ง) และมีอยู่ช่วงหนึ่งต้อง
ดูแลบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องลงหลุม (คือเจ๊งและขอพักการชำระหนี้) หากเอาความรู้เก่า
มาสมมุติว่าครอบครัวคุณเป็นบริษัท สถานะของบริษัทของคุณตอนนี้ก็คือ

     (1) สินทรัพย์มีพอๆกับหนี้สิน แต่เป็นสินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินสดยาก ไม่ว่าจะเป็นคอนโดหรือรถยนต์

     (2) ขาดสภาพคล่อง มีเงินสดแค่ห้าหมื่นกว่าบาท (แต่ไม่แปลกนะ คนไข้ของผมที่ทำงานกับตัวเลขพวกนี้บอกผมว่า
           คนไทย 80% มีเงินสดอยู่ในแบงค์ต่ำกว่าห้าหมื่นบาท)

     (3) รายจ่ายมากกว่ารายได้ พูดแบบบ้านๆก็คือธุรกิจกำลังขาดทุนอยู่ทุกวัน

     ถ้าเป็นธุรกิจ แนวทางการแก้ปัญหาก็คงไม่ยาก

(1) คือรักษาสภาพคล่องสุดชีวิต

(2) ลดรายจ่ายจนเลือดหยุดไหล

(3) ประนอมหนี้

(4) ชลอการชำระหนี้

(5) ขายสินทรัพย์มาเสริมสภาพคล่อง

(6) แล้วค่อยๆสร้างรายได้ทีละเล็กทีละน้อยแบบค่อยๆคลานขึ้นมาใหม่

(7) ถ้าไปไม่รอดก็ชักดาบหนี้ ลงหลุม รอเทวดามาทำ rehab ถ้าเทวดาไม่มาก็ล้มละลายไป

4. คำแนะนำคือ..กลับไปตั้งต้นที่สนามหลวง

     แม้จะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ใช่ธุรกิจ การแก้ปัญหาก็ทำแบบเดียวกัน ผมแนะนำคุณว่า

     4.1 เปลี่ยนแนวทางชีวิตใหม่ เอาความสุขสงบของชีวิตครอบครัวที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าเป็นเป้าหมายของชีวิต
           ไม่ใช่เอาการร่ำรวยเงินทองเป็นเป้าหมายของชีวิต เพราะเมื่อเงินกลายเป็นเงินกงเต๊กมันก็ไม่มีความหมายอะไร
           อยู่แล้ว

     4.2 ให้คุณยึดกุมสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต 4 อย่าง คือ

            (1) มีที่อยู่ของตัวเองที่ไม่ต้องเช่าเขา

            (2) มีอาหารดีกินในรูปแบบที่ไม่ต้องแพง

            (3) มีสุขภาพดี

            (4) ได้ใช้ชีวิตไปทีละขณะอย่างสงบเย็น

     4.3 ผมคาดหมายว่าบริษัทของคุณจะเจ๊งค่อนข้างแน่ เพราะขนาดบริษัทโบอิ้งอันใหญ่โตอัครฐานยังจะเจ๊งเลย
 ถ้ารัฐบาลอเมริกันไม่อุ้มต้องเจ๊งแหงๆ ดังนั้นให้คุณวางแผนขายสมบัติ ทั้งหุ้น คอนโด รถยนต์ ข่าวของเครื่องใช้อะไร
ขายได้ขายหมด รีบขายซะตอนนี้ก่อนที่ในตลาดจะมีแต่คนเปิดท้ายขายของ ขายทางเน็ทก็ได้ อย่างเช่นรองเท้ามี
สิบคู่ขายถูกๆทิ้งเสียเก้าคู่ แล้วเก็บเงินสดกล้บไปอยู่บ้านนอก หุ้นก็ขายเสียด้วย อย่าลืม คุณอย่าไปอาลัยอาวรณ์กับ
หุ้นและอย่าไปเชื่อที่คนเขาว่ามันจะตกเล็กๆแค่เป็นตัว J ไม่ใช่ตัว U คนพูดอย่างนั้นแสดงว่าเกิดไม่ทันการเล่นหุ้นยุค
ซัดดัม (สงครามอเมริกากับอิรัก) แต่ผมว่ามันจะเป็นตัว U ไม่ใช่ U แบบท้องช้างด้วย คือเป็นตัว U แบบท้องงูเหลือมเลย
ทีเดียว ขายทิ้งไปก่อน วันหน้าพอโควิด19 จบคุณอยากซื้อใหม่ก็ซื้อได้ ได้ของดีกว่าและถูกกว่าตอนนี้เสียอีก ตอนนี้
ให้สงวนเงินสดสุดชีวิต หนี้ที่ติดผ่อนรถและคอนโดอยู่ก็ไม่ต้องชำระเขาตรงเป๊ะๆหรอก อิดๆออดๆบ้าง กระบิดกระบวนบ้าง คือจ่ายให้ช้าลงหรือบางเดือนขอจ่ายครึ่งเดียว บางเดือนขาด แต่อย่าชักดาบแบบหายหน้าไปเลย แค่ตะแบงก็พอ
 ปะจังหวะเหมาะๆก็ขอตั้งโต๊ะเจรจาประนอมหนี้ ไม่แน่นะ ต่อไปรัฐบาลอาจจะออกซอฟท์โลนมาให้คุณชำระหนี้ดอก
แพงพวกนี้ก็ได้ ตอนนี้ก็เห็นว่าเริ่มออกซอฟท์โลนดอกต่ำระดับ 0.1% ผ่านแบงค์ออมสินมาแล้ว เพียงแต่ว่าออกให้
แบงค์พานิชย์ไปปล่อยกู้ต่อที่ 2% เพื่อให้แบงค์พานิชอยู่ได้ไม่พากันเจ๊งไปเสียก่อน ต่อไปอาจจะมีซอฟท์โลนให้คนขู่
จะทิ้งบ้านก็ได้ ดังนั้นถ้าขายคอนโดยังไม่ได้ก็ให้คุณใช้วิธีตะแบงหนี้รอจังหวะไปก่อน ส่วนรถยนต์นั้น..ด้วยความเคารพ ขายทิ้งได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น

     ไปอยู่บ้านนอกแล้วก็ให้สร้างที่อยู่ง่ายๆแบบเพิงพักขึ้นมาในที่ดินที่มีอยู่โดยไม่ต้องเช่าเขา ปักหลักอยู่แบบพี่งตัวเอง
ให้ได้ก่อน วางแผนให้เงินที่มีอยู่พอใช้ไปอย่างน้อย 18 เดือน หัดผลิตอาหารเอง เหลือก็แลกเปลี่ยนกับคนอื่น ถ้าโอกาสอำนวยก็ขายผลผลิตส่วนที่เหลือจากที่เรากินและใช้เองไปบ้าง แต่อย่าไปตั้งต้นว่าจะผลิตอะไรขายให้คนอื่น ให้ตั้งต้น
ว่าจะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้โดยไม่ต้องไปง้อขายอะไรให้ใครก่อน อย่าไปหวังรวยเพราะเกษตร เนื่องจากในชีวิตจริงให้
งาช้างงอกออกมาจากปากหมายังจะง่ายเสียยิ่งกว่าคนจะรวยเพราะการทำเกษตรกรรม ในการทำเกษตรกรรมอย่าคิด
ทำเป็นอาชีพ เพราะมันยึดเป็นอาชีพไม่ได้ ความจริงคนเราจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพดอก
 แค่พึ่งตัวเองได้ก็มีความสุขได้แล้ว ให้คุณทำเกษตรกรรมแบบ "เกษตรเพื่อชีวิตและเพื่อโลกและสังคม" หมายความว่า
ทำเกษตรแล้วชีวิตคุณมีความสุขมากขึ้น มีอาหารสุขภาพกิน ลูกสามีได้อยู่กันพร้อมหน้า และคุณปลูกต้นหมากรากไม้
ให้โลกนี้มันเขียวขึ้น และถ้าคุณเอ็นจอยคุณอาจรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรเพื่อช่วยกันและกันในเรื่อง
การลดต้นทุนการผลิต การเลือกใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีการสื่อสารและการตลาดสำหรับสินค้า
ที่ผลิตได้มากเกินการบริโภคของตัวเอง หากทำได้นี่ก็จะเป็นการทำงานเพื่อสังคมในรูปแบบหนึ่ง

     เมื่อได้ไปอยู่บ้านนอกจริง ให้ถือเป็นโอกาสทองที่จะได้ทำสิ่งที่สำคัญยิ่งในชีวิต นั่นคือการเรียนรู้ที่จะมีความสุขที่
แท้จริงจากการกลับเข้าไปสู่ข้างในตัวเอง เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ใช่จะไปหาได้จากความสำเร็จหรือการ
หยิบฉวยอะไรจากสถานะการณ์ภายนอกซึ่งเป็นโลกของความคิด อย่าไปอาลัยอาวรณ์อะไรกับสมมุติในทางโลก
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน วุฒิการศึกษา การมีเงิน การได้บลัฟคนอื่น การได้เป็นที่อิจฉาของคนอื่น
 เหล่านั้นคืออัตตาซึ่งเป็นเพียงการหลงอยู่ในโลกของความคิด

     อย่ากลัวอะไร เพราะความกลัวก็เป็นเพียงความคิดแต่ว่ามันมีอำนาจล้นฟ้าที่จะทำให้คุณเป็นทุกข์ ให้คุณเอาชนะ
ความกลัวด้วยการยอมรับทุกอย่างตามที่มันเป็น ที่สุดของสิ่งที่ยากจะรับได้คือความตาย ให้คุณยอมรับทุกอย่างได้
แม้กระทั่งความตายถ้ามันเกิดขึ้นก็ยอมรับได้ ทำไมจะยอมรับไม่ได้ละในเมื่อทุกคนเกิดมาก็ต้องตายหมดไม่มีใครรอด
สักคน เมื่อยอมรับความตายได้อย่างอื่นก็ยอมรับได้หมดแล้วคุณจะได้ไม่ต้องกลัวอะไร อย่าไปคิดคาดการณ์อะไร
อย่าไปลุ้นยอดโควิดในแต่ละวัน ต่อไปจะเป็นฉันใด ช่างแม่ม..ม ให้ใช้ชีวิตแบบอยู่กับเดี๋ยวนี้ไปทีละขณะ ทีละขณะ
ความสุขที่แท้จริงหาได้จากการวางความคิดทิ้งไปให้หมดแล้วกลับเข้าไปสู่ "ความรู้ตัว" ที่ข้างใน ที่ตรงนั้นมันเป็น
ความสงบเย็นที่ไม่มีสุขอะไรจะยั่งยืนกว่า วิธีทำก็เริ่มด้วยการหัดนั่งสมาธิ อ่านเอาจากบทความเก่าๆในบล็อกนี้ก็ได้
ผมเขียนไว้แล้วเยอะมาก

โชคดีนะ

     "..ไปดีเถิดนะ 
     พี่ขออวยพร 
     ให้เจ้าไปดี.."

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

Cr.   :  https://visitdrsant.blogspot.com/2020/04/19.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่