ฝากถึงพี่อั้มพัชราภา ผู้ปิดทองหลังพระ ในทางธรรม ถูกใจฟ้าดินดีกว่าถูกใจคนเป็นล้านนะพี่

ยังจำได้ดีว่าเมย์เฟื่องได้เคยพูดถึงว่าการที่อั้มเป็นอั้มพัชราภาที่มีชื่อเสียงยาวนานผู้คนมากมายรักและชื่นชม ส่วนสำคัญคือพี่เขาได้สร้างกุศลอย่างเงียบๆสม่ำเสมอและมากมาย ไม่ว่าอาจจะเป็นเพราะโลกธรรม นานาจิตตัง ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา คิดว่าผู้หญิงอย่างพี่อั้มคนที่ตรงในการทำความดีจริงๆ เขาไม่อ่อนแอเพราะการพาดหัวข่าว(ที่เน้นกระแส)และโลกธรรมหรอกค่ะ แต่จะยิ่งสร้างกำลังใจให้พี่อั้มมากขึ้น ปกติไม่ค่อยจะชอบยุ่งหรือใส่ใจดาราเลย ยกเว้นดาราที่เขาสร้างประโยชน์ให้คนอื่นหรือแม้แต่สรรพสัตว์มากมาย คนนี้ คงต้องขอ ไม่ใช่ขอเงิน แต่ขอป่าวประกาศความดีและให้กำลังใจให้พี่อั้มยึดมั่นทำความดีปิดทองหลังพระต่อไปค่ะ 

พี่อั้ม หนูได้ข้อคิดจากโอวาทสี่ท่านเหลียวฝาน อยากแชร์ให้พี่ฟัง สมมุติว่าพี่ได้อ่านละกัน 
>>>>>>การทำความดี มีหลายรูปแบบ ต่างมีหลักการต่างกัน เราต้องแบ่งแยกชัดเจน ถ้าไม่เช่นอย่างนั้น การทำความดีโดยไม่เข้าใจเหตุผล จะทำให้เราคิดเอาเองว่าได้บุญ แท้ที่จริงแล้วคือการทำบาป ซึ่งมันจะทำให้เสียแรงเปล่า ทำสิ่งที่เป็นผลดีต่อผู้อื่น และผู้อื่นได้รับประโยชน์นั้น ไม่ว่าจะด่าหรือตีคนต่างเป็นสิ่งดี ส่วนเรื่องที่เป็นผลดีต่อตนเอง แม้ว่าจะนอบน้อม มีมารยาทต่อผู้อื่น ต่างก็เป็นเรื่องไม่ดีได้ ดังนั้นเรื่องดีที่คนคนหนึ่งทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์แล้วไซร้ ให้กับส่วนรวม ให้ส่วนรวมคือจริง ถ้ามัวแต่คิดถึงตัวเอง จะได้ประโยชน์อะไร นั่นคือส่วนตัว ให้ส่วนตัว คือเท็จ   ถ้าเป็นความดีที่เกิดขึ้นจากใจ เป็นความจริง แต่ถ้าทำไปตามน้ำ ถือว่าปลอม ยังมีการทำดีโดยไม่หวังผล ไม่หวังชื่อเสีย กรรมดีที่กระทำลงไป เป็นจริง แต่ว่าถ้าการทำความดีนี้ หวังผลและวางแผนเอาไว้ เป็นเท็จ ไม่ว่าเรื่องใด ก็ต้องดูและพิจารณา
 
อะไรคือความดีจริงดีหลอก คนทั่วไปคิดว่า คนที่มีนิสัยไม่ดื้นรั้นเป็นคนดี แต่นักปราชญ์คิดว่าคนที่เป็นตัวของตัวเอง กล้าคิดกล้าทำ จึงเป็นคนดี เพราะคนว่านอนสอนง่ายไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงทุกคนว่าเขาดี ยกย่องว่าเป็นสุภาพชน แต่ก็เป็นคนที่ชักจูงง่าย ไม่มีตัวเอง ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีคุณธรรมความกล้า เมื่อเป็นเช่นนี้ จะรู้ได้ว่าเทวดาฟ้าดินมีทัศนคติเกี่ยวกับดีชั่วสอดคล้องกับนักปราชญ์ ส่วนปุถุชนชาวโลกกลับเห็นตรงข้าม ดังนั้นถ้าอยากสะสมความดี ต้องไม่ไหลไปตามวิถีแห่งโลก หลับหูหลับตาเอาใจคนอื่น เราจะต้องเริ่มจากที่ใจ ไตร่ตรองเอาเอง ใช้ใจซักฟอกจิตให้สะอาด ช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน อย่านี้แล้วจึงเป็นความดีอย่างแท้จริง ถ้ามีเจตนาแอบแฝงแม้แต่น้อย หรือจิตใจเอนเอียง อย่างนั้นถือว่าจอมปลอม เป็นความดีที่เท็จ ความดีที่คนหนึ่งทำไป มักทำแล้วมีคนรับรู้ ก็คือทางโลก ส่วนความดีที่ทำแล้วคนอื่นไม่รู้ เรียกทางธรรม คนที่ทำความดีทางธรรม สวรรค์จะตอบแทนให้เขาเอง ส่วนคนที่ทำความดีทางโลก ทุกคนก็จะสรรเสริญเขา ชมเชยเขา เขาจะได้รับเกียรติคุณทางโลก ส่วนชื่อเสียงของคนนั้น ถ้ามากเกินความจริงก็จะเจอเคราะห์กรรม เพราะเทพยดาไม่ชอบคนที่หลงชื่อเสียง ดังนั้นคนที่มีชื่อเสียง ถ้าเป็นชื่อเสียงจอมปลอม ไม่มีคุณความดีเพียงพอ เคราะห์กรรมที่เขาได้รับก็จะมากเป็นพิเศษ ในทางกลับกัน ถ้าคนคนนึงไม่มีความผิด แต่ถูกปรักปรำ  อยู่ดีถูกคนประณามหยามเหยียด แล้วเขาสามารถหวานอมขมกลืนได้ ลูกหลานของเขาก็มักจะมีโอกาสดีเข้ามาโดยฉับพลัน
 
การจะดูแค่คนนึงว่าเป็นคนดี จะมองการกระทำไม่ได้ ต้องดูผลต่อมาจากการกระทำนั้นด้วย หรือก็คือจะมองปัจจุบันไม่ได้ จะต้องผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และก็ไม่ควรดูสิ่งที่ตัวเองได้รับ ต้องดูว่า มีผลต่อส่วนรวมแค่ไหน  การทำความดีต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ แล้วอย่านำมานึกถึงบ่อยๆ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็สามารถเต็มเปี่ยมได้ ถ้าหากเป็นความดีที่มีผลแอบแฝง อยากได้ผลตอบแทน แม้ทำความดีชั่วชีวิต ก็ได้ความดีครึ่งเดียว อย่างเช่น การบริจาคเงินช่วยคนอื่น 1. ใจเราต้องไม่คิดว่าเราเป็นผู้ให้ อย่าคิดว่าการที่เรายอมยกเงินให้คนอื่นเป็นสิ่งที่น่าเลื่อมใส 2. ภายนอกก็อย่าสนใจว่าใครเป็นผู้รับ อย่าทำให้ผู้รับรู้สึกว่าได้รับบุญคุณจากเรา  3. ต้องไม่มองที่เงินบริจาค สามข้อนี้ต้องมองให้บรรลุ ถึงเรียกว่า สามว่างเปล่า 1. จิตว่างเปล่า ไม่เหลือร่องรอย อย่างงี้ ถึงแม้เงินแค่อีแปะเดียว ก็สามารถทำลายเคราะห์กรรมได้เป็นพัน นั่นคือบริจาคเงินแล้วจดจำไว้ ทำดีแล้วหวังผล ทำทานแต่เสียดาย แม้บริจาคเงินเป็นหมื่นก็ได้ผลแค่ครึ่งเดียว >>>>>>> ทำความดีให้ถูกใจฟ้าดินดีกว่าถูกใจคนเป็นล้านนะพี่ สู้ๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่