สัตว์โลกที่ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่น่าอยู่ได้

 “แพะปีนต้นไม้”



 ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโมร็อกโก เกษตรกรที่นี่ใช้แพะพื้นเมืองเป็นเครื่องมือในการเก็บเกี่ยวเมล็ดของต้น "Argan" หรือ อาร์แกน ต้นไม้ที่แพะปีนอยู่ตามภาพ เมล็ดของมันอุดมไปด้วยน้ำมันที่มากด้วยคุณประโยชน์ ถูกใช้ประกอบอาหารและเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางที่นิยมอย่างมากในทวีปยุโรป

แพะพื้นเมืองดังกล่าวมีกีบเท้าที่สามารถปีนป่ายต้นไม้ได้ดีเช่นเดียวกับแพะภูเขา ด้วยความที่เมล็ดของต้นอาร์แกนมีผิวที่แข็งมาก ทำให้เกิดไอเดียที่ให้แพะกินเมล็ดเหล่านั้น แล้วรอเก็บเมล็ดจาก "อึแพะ" แทน แพะก็อิ่มคนก็ได้เมล็ดนำไปสกัดน้ำมัน ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะวินๆ กันทั้งคู่ แต่ปรากฎว่า น้ำมันอาร์แกนเป็นที่นิยมในท้องตลาด ส่งผลให้ชาวบ้านหันมาเลี้ยงแพะกันมากขึ้น ทำให้ต้นไม้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญเสียหายและมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องออกกฎให้สามารถใช้แพะในการเก็บเมล็ดอาร์แกนได้เพียงปีครั้งในช่วงที่เมล็ดสุกแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การใช้แพะเก็บเมล็ดอาร์แกนจะพบได้น้อยลงไปมาก เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่หันมาใช้วิธีการเก็บเมล็ดด้วยมือแทน เพื่อดูแลรักษาสภาพของต้นอาร์แกนไว้ และมีข้อมูลระบุว่าการใช้แพะเก็บเมล็ดอาร์แกนทำให้มีกลิ่นสาบของแพะในน้ำมันดังกล่าวด้วย วิธีดังกล่าวจึงค่อยเสื่อมความนิยมลง 



ปัจจุบันนี้ แพะปีนต้นไม้จึงกลายเป็นการแสดงเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวเพื่อแลกกับการถ่ายรูปครั้งละ 10 เซ็นต์ (ราว 3.50 บาท) แทนไปแล้ว
ข้อมูลและภาพจาก  SpokeDark
Cr.http://www.liekr.com/post_152231.html




เมืองเชอร์โนบิลในปัจจุบัน มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมายกว่าที่คิด
 



(สุนัขหมาป่าที่เคยมีรายงานการพบเห็นที่เชอร์โนบิล)

ตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุเตาปฏิกรณ์หลอมละลายที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศยูเครนเมื่อปี 1986 พื้นที่ของเมืองเชอร์โนบิลก็กลายเป็นสถานที่ที่เติมไปด้วยกัมมันตรังสีรุนแรง จนทำให้พื้นที่แถวๆ นั้นกลายเป็นพื้นที่ร้างที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
 
ล่าสุดในวารสาร “Food Webs” ฉบับเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2019 ได้ตีพิมพ์งานวิจัยใหม่ล่าสุด พบว่าในปัจจุบันที่เชอร์โนบิลนั้นไม่เพียงแต่มีสัตว์ป่าเข้าไปอาศัยอยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังมีปริมาณสัตว์ป่าในธรรมชาติที่สูงมากๆ อย่างไม่น่าเชื่อ

โดยงานวิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์เจีย ที่เข้าไปตรวจสอบเขตยกเว้นของเชอร์โนบิลตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา และมีการตั้งกล้องตรวจจับสิ่งมีชีวิตทั่วพื้นที่ที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่   จากการตรวจสอบวิดีโอที่ได้มาทีมนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ต่างกันถึง 15 ประเภทในพื้นที่ ประกอบไปด้วยสัตว์ปีก 5 สายพันธุ์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 10 สายพันธุ์
โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่น่าสนใจที่ถูกค้นพบนั้นได้แก่ หนู หมาป่า แรคคูน ตัวมิงค์ ตัวนาก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้ได้

ภาพของตัวนากที่ถูกถ่ายไว้ในระหว่างการวิจัย


สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ เช่น ไบรซัน


นกอินทรีย์หางขาวกับที่อยู่ใหม่ของมัน


กวางมูสที่ถูกพบในปี 2015


ที่จริงงานวิจัยนี้ไม่ใช่งานวิจัยแรกที่มีการค้นพบสัตว์จำนวนมากในเชอร์โนบิล  เพราะในปี 2015 นักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาสำรวจเชอร์โนบิลก็เคยพบกับกวาง หมูป่า และหมาป่า ในจำนวนมากมาแล้ว
อย่างไรก็ตามจากการวิจัยครั้งใหม่นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าสัตว์ที่มีปริมาณมากในที่นี้มักจะเป็นสัตว์กินซากเสียเป็นส่วนใหญ่ และจากการที่ปลาที่นักวิทยาศาสตร์ทดลองปล่อยกว่า 98% โดนจับกิน พวกเขาก็เชื่อว่าสัตว์น้ำในพื้นที่น่าจะกลายเป็นเหยื่อที่สำคัญต่อระบบนิเวศใหม่ไปแล้ว
 
ถึงแม้ว่าสัตว์ป่าจะเริ่มกลับมายังเชอร์โนบิลแล้วก็ตามพื้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยต่อมนุษย์แล้วอยู่ดี และกว่าที่พื้นที่แห่งนี้จะกลับมามีสภาพเหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของมนุษย์อีกครั้งก็คงจะกินเวลาอีกนานแสนนานเลย
ที่มา iflscience และ sciencedirect
Cr.https://www.catdumb.com/chernobyl-wildlife-is-return-and-more-than-ever-378/




แมลงวันแห่งทะเลสาบแห่งความตาย



Dead sea เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีเกลือเข้มข้นสูงมาก  ซึ่งน้ำเกลือเข้มข้นนี้เองจะดึงน้ำออกจากเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจนกระทั่งขาดน้ำตาย จึงทำให้ไม่มีสัตว์น้ำตัวใหญ่ ๆ เช่น ปลา กุ้ง ปู หอยหรือแมลงให้เห็นในทะเลสาบ จึงเป็นที่มาของทะเลสาบที่ ‘ไร้ชีวิต’…

ถึงแม้จะได้ชื่อว่า ‘ไร้ชีวิต’ แต่ก็มีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าอย่างสาหร่ายเซลล์เดียวและแบคทีเรียบางสปีชีส์สามารถอยู่รอดในน้ำเค็มสุดขั้ว (Extremely salty environment) แบบนั้นได้

ยังมีทะเลสาบน้ำเค็มอื่น ๆ อีกหลายที่ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีสัตว์น้ำตัวใหญ่ที่ตามนุษย์มองเห็นได้อาศัยอยู่  แต่ที่ทะเลสาบน้ำเค็มโมโนของรัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา (California’s Mono Lake, US) ที่แม้จะมีความเค็มมากกว่าน้ำทะเลถึง 3 เท่า ซึ่งปกติไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำใด ๆ … กลับมีสัตว์ที่เราสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าอาศัยอยู่ นั่นคือ … แมลงวันน้ำเค็ม (Alkali fly, Ephydra hians)

แมลงวันน้ำเค็มชนิดนี้ดำรงชีวิตอยู่โดยการกินจุลชีพขนาดเล็กเป็นอาหาร มันสามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งบนผิวน้ำและใต้น้ำในทะเลสาบโมโนโดยไม่ขาดน้ำตาย เนื่องจากแมลงชนิดนี้สามารถสร้างฟองอากาศปกคลุมรอบตัว  ซึ่งฟองนี้เองเป็นกำแพงอากาศกั้นระหว่างตัวมันและน้ำเค็ม ทำให้น้ำในร่างกายไม่ไหลออกจากตัวไปสู่ภายนอกเพราะตัวไม่โดนน้ำ จึงทำให้แมลงวันน้ำเค็มไม่ประสบภาวะขาดน้ำดังเช่นสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในน้ำเค็มชนิดอื่นที่ร่างกายสัมผัสกับน้ำเค็มโดยตรง

ทำไมแมลงวันสปีชีส์นี้ถึงสร้างฟองโอบรอบตัวในน้ำเค็มขนาดนั้นได้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้เก็บตัวอย่างแมลงวันน้ำเค็ม Ephydra sp. จำนวนหนึ่ง พร้อมกับแมลงวันสปีชีส์ใกล้เคียงสปีชีส์อื่นอีก 6 ชนิด ไปทดลองก่อฟองอากาศในน้ำที่มีเกลือเข้มข้นแตกต่างกัน โดยเกลือที่ใช้ในการทดลองคือโซเดียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นเกลือที่พบในทะเลสาบโมโน​ (Na2CO3 หรือรู้จักในนาม โซดาซักผ้า) และสังเกตการสร้างฟองอากาศรอบตัวของแต่ละสปีชีส์ในสภาวะความเค็มที่ต่างกันไป



จากรายงานของ The Proceeding of National Academy of Sciences ได้ความว่า สาเหตุที่แมลงวันน้ำเค็ม Ephydra sp. สามารถสร้างฟองอากาศโอบตัวในน้ำเค็มจัดได้  เนื่องจากเหตุผลสองประการ คือ

หนึ่ง แมลงวันสปีชีส์นี้มีขนเรียงรอบตัวแนบชิดกันและเป็นระเบียบที่เอื้อต่อการก่อตัวของฟองอากาศ ในขณะที่สปีชีส์อื่น ๆ นั้น ขนห่างกันและทิ่มฟองอากาศแตกก่อนจะก่อตัว และ
สอง คือ แมลงวัน Ephydra sp. มี Wax ชนิดพิเศษที่เคลือบตัวกั้นน้ำเกลือที่ความเค็มมาก ๆ ได้ แต่ Wax ของแมลงวันสปีชีส์อื่นกันได้เพียงน้ำที่มีเกลือเจือจางเท่านั้น
การวิวัฒนาการนี้ทำให้มันสามารถอยู่ในทะเลสาบโมโนและกินสาหร่ายในแหล่งน้ำได้โดยปราศจากคู่แข่ง พอมีแมลง ก็ทำให้สัตว์ผู้ล่า อย่างเช่น นก สามารถอยู่อาศัยแถวทะเลสาบโมโนได้ และเกิดระบบนิเวศที่หลากหลายรอบทะเลสาบ

เรียบเรียงและแปล โดย กฤตณัฐ ชูดวง
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพ  Sciencemag.org
This fly survives a deadly lake by encasing itself in a bubble. Here’s how it makes it.
Nov 20th, 2017, 3 PM. Articled By Elizabeth Pennisi
https://www.sciencemag.org/…/fly-survives-deadly-lake-encas…
ภาพทะเลสาบ Mono: Tripadvisor
Cr.https://www.facebook.com/biologybeyondnature/photos/แมลงวันแห่งทะเลสาบแห่งความตายecosystem-lifeconservation-monolakeหลายคนคงเคยได้ยิ/1262669000562344/

นกแก้ว Monk Parakeet ที่ Brooklyn College ประเทศอเมริกา


ที่มาของพวกมันเชื่อว่าในยุค 1960’s นกเหล่านี้ได้หนีออกมาจากการขนส่งเพื่อไปร้านสัตว์เลี้ยงก่อนที่จะเพิ่มประชากรจนมีรังอยู่มากกว่า 300 แห่งในสามรัฐ
โดยพวกมันจะอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เยอะที่สุดและที่สำคัญคือพวกมันชอบความร้อนจนทำให้ไปสร้างรังกันตรงหม้อแปลง ซึ่งบางครั้งก็จะมีไฟฟ้าช็อตหรือไฟไฟม้ไปบ้างแต่พวกมันก็ไม่สนใจ
เจ้าหน้าที่เคยพยายามที่จะไล่พวกมันไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นก็คงต้องทำใจและชื่นชมความงามของมันไปแทน
ที่มา: thechive
Cr.https://www.catdumb.com/strangest-locations-animal-339/  By เหมียวตะปู



ช่างภาพสัตว์ป่าถ่ายภาพหายากของสิงโต ที่นอนหลับโชว์พุงห้อยบนต้นไม้



ภาพถ่ายที่หาดูไม่ง่ายของสิงโตในอุทยานแห่งชาติ โดยช่างภาพสัตว์ป่า Vince Burton วัย 46 ปี ซึ่งถ่ายได้ในอุทยานแห่งชาติควีนอลิซาเบ็ธ ประเทศยูกันดา แสดงให้เห็นสิงโตตัวผู้และตัวเมียสองตัวนอนอยู่บนกิ่งไม้จนเกือบจะตกอยู่แล้วขณะนอนหลับ ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมพวกมันเป็นจำนวนมาก

สิ่งที่น่าสนใจก็คือสิงโตตัวผู้ซึ่งนอนหลับอยู่บนต้นไม้ และตัวและหางของมันก็ห้อยลงมาทำให้ภาพๆนี้กลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์เลยทีเดียว สำหรับสิงโตไม่ได้มีชื่อเสียงในการปีนต้นไม้เหมือนกับเสือดาวเท่าไรนัก เป็นเพราะว่าน้ำหนักตัวของมันค่อนข้างเยอะ

สำหรับสิงโตในอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ได้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดทำให้มันหาสถานที่ในการหลบแดดและรับลมให้มากขึ้น แต่บางครั้งพวกมันก็หาที่หลบหนีแมลงวันที่ชอบสร้างความรำคาญให้แก่พวกมันด้วยเหมือนกัน
ที่มา : Dailymail
Cr.https://dog-vs-cat.com/lion-nap-on-tree-social-16-2-2020 / by Kaitoon




เมื่อกวางกว่า 100 ตัวมารวมอยู่ที่เดียวกัน



ที่เมืองนาระ ประเทศญี่ปุ่นมีสวนกวางนาราซึ่งเป็นสถานที่ที่คนรักสัตว์ควรไปเยี่ยมชมอยู่ เนื่องจากที่นี่มีกวางอาศัยอยู่มากมายกว่า 1,000 ตัว
และหากคุณได้ได้ไปเยี่ยมชมสวนกวางนาราในหน้าร้อน จะยิ่งมีความพิเศษมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะคุณอาจจะได้เห็นการรวมตัวของกวางหลาย 100 ตัวโดยไม่คาดคิด

ในช่วงเวลาประมาณ 18.30 น.ของฤดูร้อน กวางที่อยู่รอบๆ สวนกวางนาราจะมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา  พวกมันไม่ได้รวมตัวกันแค่นานๆ ครั้งเท่านั้น แต่มันจะรวมตัวกันแบบนี้เป็นประจำในช่วงเวลาเดิมของทุกปี คนท้องที่แถวนั้นจึงเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Shikadamari ซึ่งแปลว่า ‘จุดรวมพลกวาง’
 
เนื่องจากพวกกวางรวมตัวกันในช่วงเวลาเดิมทุกปี พวกมันจึงกลายเป็นจุดนใจของนักท่องเที่ยว และช่วยเรียกคนมาเที่ยวในช่วงนี้ได้ดีด้วย
ทว่าถึงพวกมันจะรวมตัวกันเป็นประจำ ก็ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าพวกมันมารวมตัวกันตรงนี้ทำไม แม้แต่องค์กรอนุรักษ์กวางนาราที่ดูแลพวกมันก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน
จากข้อมูลของทางองค์กรอนุรักษ์กวางนนาราแล้ว ที่นี่มีกวางอยู่ทั้งสิ้น 1,388 ตัว และในการรวมตัวแต่ละครั้งน่าจะมีกวางประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมดมาอยู่ด้วยกัน  แปลว่าการรวมตัวครั้งนี้จะทำให้คุณได้เห็นกวางกว่า 600 ตัวเลยทีเดียว 
ที่มา: Sora News 24
Cr. https://animal.catdumb.com/over-100-deers-gathering-nara-700/ By เหมียวอาตี๋


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่