สวัสดีครับ เพื่อนๆชาวพันทิพย์ทุกคน ขอบคุณหลายๆคนที่ติดตามและเข้ามาให้กำลังใจ รวมทั้งบางคนก็กลายเป็นมิตรภาพดีๆที่ผมได้พันทิพย์ มันดีไม่น้อยเลยครับที่เราได้รู้จักกันผ่านตัวหนังสือและผมจะรักษามิตรภาพที่หลายๆคนมอบให้ครับ
จากกระทู้ล่าสุดที่ผมได้ตั้งไว้เมื่อ 9 มีนาคม 2563 เวลา 06:12 น. ว่าผมได้เจอเหตุการณ์มันไม่คาดคิด ที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตายในเรื่องความรัก ผ่านมาครบ 1 เดือนเต็มพอดีในวันนี้ 9 เมษายน 2563 จากที่ได้หยุดงานยาวๆ ในช่วงโควิดระบาดหนัก ผมเลยได้มีเวลามานั่งแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ให้เกย์ๆทั้งหลายได้อ่านเพลินๆกันครับ แต่คราวนี้ผมคงจะเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมด เพื่อให้หลายๆไม่ต้องตั้งคำถามว่า ทำไมไม่แบบนั้น ทำไมไม่แบบนี้ อยากให้ลองคิดแบบง่ายๆ ว่าคุณเป็นผม ในสถานการณ์แบบที่ผมจะอยู่ คุณจะตัดสินใจยังไง
ผมชื่อมาร์คครับ (นามสมมติ) อายุตอนนี้ก็ 31 ปีครับ เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานสูงครับ ผมเรียนจบ ม.ต้น จากหมู่บ้านเล็กๆใน จ.สุรินทร์ ด้วยความยากจน ผมจึงต้องออกจากบ้านเพื่อเรียนต่อในระดับ ม.ปลาย โดยพักอาศัยเป็นผู้ช่วยผู้รับใช้ในคริสตจักร (พูดง่ายๆ เป็นเด็กวัดของศาสนาคริสต์) กิน นอน ในโบสถ์จนเรียนจบ ม.ปลาย จึงได้สอบเข้าเรียนต่อ ม.แห่งหนึ่ง ติดลำน้ำชี ในคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม เมื่อเรียนจบ ผมได้ไปทำงานที่ภูเก็ตเกือบ 5 ปี ย้ายมาที่กาญจนบุรี 1 ปี ย้ายมาเขาใหญ่ 1 ปี ก่อนจะเข้ามาที่ กทม. เมื่อปลายปี 2561 จนผมได้รู้จักเค้าคนนี้
ใน กทม. อะไรหลายๆ อย่างก็แตกต่างจาก ตจว มากมาย ผมต้องปรับตัวมากมายในหลายๆอย่าง รวมทั้งวิถีชีวิตและสังคม คงด้วยความเหงาผมก็เลือกได้ใช้ชีวิตในโลกโซเชี่ยลเพื่อพบปะผู้คนเพื่อไว้พูดคุย แลกเปลี่ยน ช่วยเหลือ เป็นเพื่อน รวมทั้งเพื่อเซ็กด้วยครับ จะว่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีเพื่อนใน กทม ก็ว่าได้เพราะผมเป็นคนพูดน้อยและเข้าหาใครไม่ค่อยเก่งด้วยมั้งครับ
ผมได้คุยกับ ผช คนหนึ่งผ่านแอพนกสีฟ้า เค้าชื่อ "ปลั๊ก" ครับ (ชื่อสมมติ) เป็นทหารสังกัดการบิน ประจำการที่กองบินทางภาคใต้ เราคุยกันมาพักใหญ่ๆ จนได้มีโอกาสนัดเจอกันในตอนที่เค้าเข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ฐานทัพดอนเมืองช่วงสั้นๆ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2562 การนัดเจอครั้งนี้ผมก็ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์ต่อแต่อย่างใดหรอกครับ เพราะจริงๆที่ทั้งเขาและผมนัดเจอกันเราแค่แลกความสุขของเซ็กซึ่งกันและกัน แต่เมื่อได้เจอ ได้คุย ได้รู้จักกัน ผมกลับตกหลุมรักเค้าเข้าเต็มๆ ผมไม่รู้ว่ามันเพราะอะไรเหมือนกัน ทั้งๆที่ผมก็แทบไม่รู้จักอะไรเค้าเลยในวันนั้น จากกันนั้นเราคุยกันเรื่อยมาและทุกๆครั้งที่เขาขึ้นมา กทม. จะต้องมาหาผมเสมอ เราคุยกันทุกวันหรือแทบจะทุกชั่วโมงก็ว่าได้ ยกเว้นแต่เวลานอนและทำงานเท่านั้น การคุยของเราก็เรื่องทั่วไป สารทุกข์สุขดิบ แชร์ประสบการณ์ชีวิต ความรัก ครอบครัว และหลายๆอย่างที่ควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวแต่เขาก็เล่าให้ผมฟัง จนผมรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปโดยไม่มีอะไรมากั้นไว้ ในระหว่างช่วงเวลานั้นเค้าก็บินไปมาเรื่อยๆระหว่างภาคใต้และ กทม ซึ่งแทบทุกครั้งที่สะดวกและมีโอกาสผมก็จะไปรับไปส่งหรือพาเค้าไปทำโน่นนี่ใน กทม. อยู่เสมอ
ผมมารู้จักเค้าจริงจังภายหลังจากที่เค้าบอกข่าวดีว่าจะย้ายกลับมาประจำการถาวรที่ กทม หลังจากที่อยู่ ตจว มาตลอด 15 ปีของการรับราชการทหาร ผมดีใจครับรอคอยวันนั้นที่เขาจะขึ้นมาอยู่ใกล้ผม และวันนั้นก็มาถึง พ่อเค้าไปรับและบอกพ่อเค้าว่าผมจะไปช่วยย้ายของ โดยนัยๆคำพูดของเค้าก็บ่งบอกว่ามีเจตนาที่จะให้ผมได้เจอกับครอบครัวของเค้าอย่างจริงจัง แต่น่าเสียดายนะครับที่วันนั้นผมต้องทำงานครับ และไม่ได้มีโอกาสไหว้พ่อแม่เค้า
16 พฤศจิกายน 2562 ผมได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับเค้าที่คอนโดเช่าใกล้ๆที่ทำงานเค้าย่านเมืองทองธานีเป็นการถาวร ด้วยเหตุผลคือ ผมตกงานโดยไม่ได้ตั้งตัว ไม่มีคนรู้จักหรือใครที่ไหนที่พอช่วยเหลือได้ เงินเก็บที่มีก็หมดไปกับภาระครอบครัวและชีวิตประจำวัน ตอนนั้นผมคิดแค่ 2 อย่างคือ กลับไปอยู่บ้านนอก ตจว หรือ ยังคงดิ้นรนต่อไปในเมืองหลวงแห่งนี้ รถผมถูกยึด ห้องผมหมดสัญญาเช่า ผมบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เค้าฟัง และเค้าตอบกลับผมว่ายินดีที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผมจากนี้ไป นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกมั่นใจและละทิ้งทุกอย่างที่มาใช้ชีวิตกับเขาคนนี้
แรกๆ ทุกอย่างดีครับ เค้าดูแลผมดีทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คำว่า รัก จากเค้าผมได้รับทุกวัน ตื่นนอนก่อนไปทำงานเค้าก็จะมากอดผมบนที่นอนก่อนจากห้องเสมอ ก่อนนอนก็จะต้องจับมือผมไปกอดเค้าก่อนเสมอ ผมยิ่งมั่นใจว่าผมเลือกคนไม่ผิด แต่เชื่อเถอะครับ โลกมักหมุนไปตามวัฏจักรของมันเสมอและไม่มีวันย้อนกลับมาที่เดิม นั่นเป็นสัญญาณเตือนให้ผมเริ่มตั้งตัวและเตรียมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตผมหลังจากนี้
เมื่อยิ่งใช้ชีวิตกันไปทุกวันๆ หลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป มันกลายเป็นคำถามกลับมาที่ผมว่าผมจะรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้หรือไม่ จากที่เคยกลับบ้านตรงเวลาก็เป็นกลับช้าบ้าง ดึกบ้าง จากที่เคยหุงหาอาหารมากินด้วยกันก็กลายเป็นกินคนละเวลา ต่างคนต่างกิน จากที่เคยต้องอยู่กับผมในวันหยุดก็กลายเป็นมีเหตุผลต้องออกไปจากห้องในวันหยุดเสมอ ยิ่งมีสัณญาณเตือนมากขึ้นๆ ผมยิ่งใจไม่ดี จากที่ผมเชื่อเสมอว่าผมคือคนที่โชคดีที่ได้รู้จักคำว่า "รักแท้ มีอยู่จริงในหมู่เกย์" แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่า ในหมู่เกย์อย่างผมที่เอากันยังไงก็ไม่ท้อง ไม่ต้องมีพันธะ มันจะมีรักแท้จริงๆ หรอ เรื่มแทรกเข้ามาในหัวผมเรื่อยๆ
ผมก็คงไม่โกหกว่าในช่วงระยะนั้นที่ย้ายเข้ามาในพื้นที่ของเขา ก็มีนอกลู่นอกทางบ้าง แต่มีครั้งใหญ่ถ้านับได้ก็ 3 ครั้งที่ผมนอกกายเค้า และในทุกๆครั้งผมไม่ได้ปกปิดอะไร เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันอาจจะเกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบ หรือโอกาส หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมจะบอกเขาเสมอว่าผมทำผิดและพร้อมยอมรับผิดทุกอย่าง และในทุกๆครั้ง เค้าก็ให้อภัยผม แต่การให้อภัยนั้นต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าจะกาย หรือใจ ของเราทั้งคู่ จนครั้งที่ 3 เค้าตบหน้าผมสองครั้งเค้าร้องไห้จนผมรู้สึกอยากตายให้พ้นๆไปจากชีวิตของเค้า ที่ทำผิดกับเค้ามาถึง 3 ครั้ง จนเมื่อเค้าตั้งสติได้ถึงได้เดินมาปลอบและให้อภัยผม วันนั้น 31 มกราคม 2563 ผมสัญญากับเค้าว่าเมื่อเค้าได้ยอมรับความผิดของผม ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกและมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน ที่เค้าทำแบบนั้นมันยิ่งตอกย้ำผมว่าผมจะต้องรักเค้าให้มากขึ้นๆๆอีก ทุกอย่างจึงคืนสู่สภาพปกติ ภายหลังจากวันนั้นผมก็ไม่มีแม้แต่นอกใจ นอกกาย หรือแม้แต่คุยกับคนอื่นก็ไม่มี ตั้งใจทำงาน เลิกงานกลับห้อง
แต่รู้มั้ยครับว่ามันพีคกว่านั้น... ไม่กี่วันก่อนวาเลนไทน์ ผมจำได้ว่า 9 กุมภาพันธ์ 2563 เราไปเวียนเทียนที่วัดด้วยกันวันมาฆบูชา มันมีความสุขมากสำหรับผมแม้ในวันนั้นเราจะงอนๆกันตามประสา แต่มันทำให้ผมรู้สึกดีที่เค้าชวนผมไปทำบุญ แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับ ตื่นเช้าวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563 ผมไปทำงานช่วงสายๆ แฟนผมได้คุยกับคนๆนึงในแชทไลน์ เนื้อหาก็
"ว่างมั้ย มา...กัน แฟนไปทำงาน" "เจอกันตอนเย็นนะ" "เป็นไงชอบมั้ย" "คิดถึง" "พรุ่งนี้ เจอกันอีกนะ"
ผมมาเห็นแชทนี้ในวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งก็คือวันที่ผมโพสในกระทู้ก่อนหน้าครับ ทำไมผมถึงเห็นหรอครับ ร้อยวันพันปีผมก็ไม่จับอะไรส่วนตัวของเค้านะครับ แต่วันนั้นเค้าอาบน้ำ หัวผมไม่รู้มันคิดอะไร หยิบโทรศัพท์เค้าขึ้นมาเปิดดู ถึงได้ช๊อค อึ้งไปเลยทีเดียว... ผมเก็บเงียบ ไม่บอกเขาว่าผมเห็นอะไรบ้าง และเขาก็ไม่รู้ว่าผมทำอะไรในระหว่างที่เขาอาบน้ำ ผมนั่งถามตัวเองว่าผมทำผิดอะไร ผมยังไม่ดีพอสำหรับเขาหรอ ทำไมเขาถึงทำกับผมแบบนี้ น้ำตาผมไหลอาบสองแก้มโดยที่ผมหลบไม่ให้เขาเห็น คืนนั้นสมองผมมันยิ่งบอกให้ผมหาคำตอบว่าผมจะทำยังไงกับเรื่องนี้ต่อไป ...ในระหว่างที่เขาหลับ ผมทำการบันทึกหลักฐานทั้งหมด มันทำให้ผมได้รู้ว่า ตลอดเวลาที่เขาบอกรักผมทุกวันนั้นเพื่อให้ผมตายใจไม่สงสัยในตัวเขาก็เท่านั้น เพราะนอกจากคนนี้ยังมีอีกมายมายมี่เค้าทำแบบนี้ ยังย้อนไปถึงแม้กระทั่งนับแต่วันแรกที่ผมย้ายเข้ามา มันเกิดขึ้นมาโดยตลอดโดยที่ผมไม่ได้เอะใจซักนิด แม้ในบางวันมันอาจจะมีอะไรให้ผมได้สงสัยอยู่บ้าง เช่น ทำไมมีผ้าขนหนูใหม่เอาออกมาใช้ หรือเศษทิชชู่ในถังขยะที่มีมากกว่าปกติ แต่เค้าก็ปิดผมจนมาถึงวันนี้ ทุกคำถามที่ผมถามมาตลอด ผมเจอแต่การโกหก ทุกๆอย่างมันเปิดเผยในวันนี้ แม้ที่เขาบอกว่าเค้าไปทำงานวันหยุด แต่จริงๆคือเค้าไปทำแบบนั้นกับคนอื่นเสมอ ที่ผมเจ็บปวดไปกว่านั้นคือมันเกิดขึ้นในห้องผม บนที่นอนของผม บนที่นอนของเราที่เรานอนด้วยกันทุกวัน ผมย้อนกลับมาถามตัวเองจนทุกวันนี้ ว่าผมจะทำใช้ชีวิตยังไงต่อไป
จากวันนั้นถึงวันนี้ เราคุยกันน้อยลง ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง นอนเตียงเดียวกันแต่ผ้าห่มคนละผืน กินใครกินมัน อยู่ใครอยู่มัน เสมือนเราอยู่บนโลกใบนี้เพียงแค่ใช้ออกซิเจนร่วมกันเท่านั้น ผมบอกเขาตรงๆ ว่าผมก็เสียใจและผมรับไม่ได้กับสิ่งที่กิดขึ้น คำถามเป็นพันเป็นร้อยที่ผมถามออกไป ผมกลับไม่ได้คำตอบแม้แต่คำตอบเดียวกลับมา ถ้านี่จะเป็นการแก้แค้นที่เขาทำกับผม ผมก็ขอให้เขาหยุดได้มั้ย... รู้มั้ยครับ เขาบอกผมว่าไง เขาบอกจะหยุดเพื่อผม แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เค้าอยู่กับโลกของเขามาทั้งชีวิต เขาขอเวลาในการปรับตัว...นั่นแปลว่า ถ้าผมยอมรับข้อเสนอนี้ ผมจะต้องทนสิ่งที่มันเกิดขึ้นซ้ำๆนี้ให้ได้ ผมก็ถามใจตัวเองว่าผมไหวได้แค่ไหน คำตอบคือผมไม่สามารถรับมันต่อไปได้อีกแม้ผมจะรักเขามากแค่ไหนก็ตาม ตอนแรกผมยังคิดว่าเมื่อผมจับได้แบบนี้เค้าคงหยุดทำและเกรงใจผมบ้าง แต่...ผิดครับ มันกลับกลายเป็นข้อต่อรองสำหรับการใช้ชีวิตคู่ของเรา เค้าบอกผมว่าเขาไม่โอเคกับการที่ผมไปดูอะไรที่เป็นส่วนตัวของเขา (จริงๆ ผมก็อยากถามกลับ ว่าถ้าไม่ตัดสินใจดูในวันนั้น ผมคงต้องกินหญ้าต่อไปจนถึงวันนี้) ถ้าจะอยู่กันต่อผมต้องไม่ทำแบบนี้ ในขณะที่เขาก็ยังแชทๆกับคนพวกนั้นทุกวันๆ
ถามว่าผมเจ็บมั้ยหรอครับ เจ็บนะ เจ็บมาก ผมต้องอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยู่ด้วยกันแต่ต้องไม่รู้จักกัน กินข้าวก็ต้องกินคนเดียวทั้งที่เขาก็นั่งอยู่ข้างหลัง มันก็ตลกดีนะครับ (แต่ขำไม่ออก) จากนี้ผมก็พยายามอดทนที่สุดให้ก้าวผ่านมันไปให้ได้ ผมมองหาที่พักใหม่เพื่อย้ายออกไปจากชีวิตเค้า แต่ก็มาเจอพิษโควิดเข้าไปอีก ที่คอนโดห้ามเคลื่อนย้ายทั้งคนและทรัพย์สินเข้าและออกจนกว่าจะผ่านพ้นโควิดไป ...กลายเป็นผมต้องอยู่ในห้องนี้กับเค้าตลอด 24 ชม. แบบ "คนเคยรัก แต่ไม่รู้จักกันแล้ว" มันทรมานเหลือเกินครับ
ผมไม่รู้ว่าใจของผมมันจะแข็งพอจนวันนั้นที่ผมได้ย้ายออกมาถึงรึเปล่า ผมกลัวแค่ว่าความรักในใจของผมจะให้อภัยเค้าในสิ่งเหล่านั้น...แล้วผมต้องกลับมาเจ็บปวดแสนสาหัสอีกครั้งซ้ำๆ ก็เท่านั้นเอง
#ไม่ว่าโลกมันจะหมุนไปยังไง มันจะเหวี่ยงเราไปเจอกับอะไรมากมายแค่ไหน ผมก็บอกกับตัวเองเสมอว่า...ชีวิตมันต้องเดินต่อไป
เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ 9 เมษายน 2563
มาอัพเดทชีวิต+ความรัก+ในช่วงพิษโควิด
จากกระทู้ล่าสุดที่ผมได้ตั้งไว้เมื่อ 9 มีนาคม 2563 เวลา 06:12 น. ว่าผมได้เจอเหตุการณ์มันไม่คาดคิด ที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตายในเรื่องความรัก ผ่านมาครบ 1 เดือนเต็มพอดีในวันนี้ 9 เมษายน 2563 จากที่ได้หยุดงานยาวๆ ในช่วงโควิดระบาดหนัก ผมเลยได้มีเวลามานั่งแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ให้เกย์ๆทั้งหลายได้อ่านเพลินๆกันครับ แต่คราวนี้ผมคงจะเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมด เพื่อให้หลายๆไม่ต้องตั้งคำถามว่า ทำไมไม่แบบนั้น ทำไมไม่แบบนี้ อยากให้ลองคิดแบบง่ายๆ ว่าคุณเป็นผม ในสถานการณ์แบบที่ผมจะอยู่ คุณจะตัดสินใจยังไง
ผมชื่อมาร์คครับ (นามสมมติ) อายุตอนนี้ก็ 31 ปีครับ เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานสูงครับ ผมเรียนจบ ม.ต้น จากหมู่บ้านเล็กๆใน จ.สุรินทร์ ด้วยความยากจน ผมจึงต้องออกจากบ้านเพื่อเรียนต่อในระดับ ม.ปลาย โดยพักอาศัยเป็นผู้ช่วยผู้รับใช้ในคริสตจักร (พูดง่ายๆ เป็นเด็กวัดของศาสนาคริสต์) กิน นอน ในโบสถ์จนเรียนจบ ม.ปลาย จึงได้สอบเข้าเรียนต่อ ม.แห่งหนึ่ง ติดลำน้ำชี ในคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม เมื่อเรียนจบ ผมได้ไปทำงานที่ภูเก็ตเกือบ 5 ปี ย้ายมาที่กาญจนบุรี 1 ปี ย้ายมาเขาใหญ่ 1 ปี ก่อนจะเข้ามาที่ กทม. เมื่อปลายปี 2561 จนผมได้รู้จักเค้าคนนี้
ใน กทม. อะไรหลายๆ อย่างก็แตกต่างจาก ตจว มากมาย ผมต้องปรับตัวมากมายในหลายๆอย่าง รวมทั้งวิถีชีวิตและสังคม คงด้วยความเหงาผมก็เลือกได้ใช้ชีวิตในโลกโซเชี่ยลเพื่อพบปะผู้คนเพื่อไว้พูดคุย แลกเปลี่ยน ช่วยเหลือ เป็นเพื่อน รวมทั้งเพื่อเซ็กด้วยครับ จะว่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีเพื่อนใน กทม ก็ว่าได้เพราะผมเป็นคนพูดน้อยและเข้าหาใครไม่ค่อยเก่งด้วยมั้งครับ
ผมได้คุยกับ ผช คนหนึ่งผ่านแอพนกสีฟ้า เค้าชื่อ "ปลั๊ก" ครับ (ชื่อสมมติ) เป็นทหารสังกัดการบิน ประจำการที่กองบินทางภาคใต้ เราคุยกันมาพักใหญ่ๆ จนได้มีโอกาสนัดเจอกันในตอนที่เค้าเข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ฐานทัพดอนเมืองช่วงสั้นๆ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2562 การนัดเจอครั้งนี้ผมก็ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์ต่อแต่อย่างใดหรอกครับ เพราะจริงๆที่ทั้งเขาและผมนัดเจอกันเราแค่แลกความสุขของเซ็กซึ่งกันและกัน แต่เมื่อได้เจอ ได้คุย ได้รู้จักกัน ผมกลับตกหลุมรักเค้าเข้าเต็มๆ ผมไม่รู้ว่ามันเพราะอะไรเหมือนกัน ทั้งๆที่ผมก็แทบไม่รู้จักอะไรเค้าเลยในวันนั้น จากกันนั้นเราคุยกันเรื่อยมาและทุกๆครั้งที่เขาขึ้นมา กทม. จะต้องมาหาผมเสมอ เราคุยกันทุกวันหรือแทบจะทุกชั่วโมงก็ว่าได้ ยกเว้นแต่เวลานอนและทำงานเท่านั้น การคุยของเราก็เรื่องทั่วไป สารทุกข์สุขดิบ แชร์ประสบการณ์ชีวิต ความรัก ครอบครัว และหลายๆอย่างที่ควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวแต่เขาก็เล่าให้ผมฟัง จนผมรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปโดยไม่มีอะไรมากั้นไว้ ในระหว่างช่วงเวลานั้นเค้าก็บินไปมาเรื่อยๆระหว่างภาคใต้และ กทม ซึ่งแทบทุกครั้งที่สะดวกและมีโอกาสผมก็จะไปรับไปส่งหรือพาเค้าไปทำโน่นนี่ใน กทม. อยู่เสมอ
ผมมารู้จักเค้าจริงจังภายหลังจากที่เค้าบอกข่าวดีว่าจะย้ายกลับมาประจำการถาวรที่ กทม หลังจากที่อยู่ ตจว มาตลอด 15 ปีของการรับราชการทหาร ผมดีใจครับรอคอยวันนั้นที่เขาจะขึ้นมาอยู่ใกล้ผม และวันนั้นก็มาถึง พ่อเค้าไปรับและบอกพ่อเค้าว่าผมจะไปช่วยย้ายของ โดยนัยๆคำพูดของเค้าก็บ่งบอกว่ามีเจตนาที่จะให้ผมได้เจอกับครอบครัวของเค้าอย่างจริงจัง แต่น่าเสียดายนะครับที่วันนั้นผมต้องทำงานครับ และไม่ได้มีโอกาสไหว้พ่อแม่เค้า
16 พฤศจิกายน 2562 ผมได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับเค้าที่คอนโดเช่าใกล้ๆที่ทำงานเค้าย่านเมืองทองธานีเป็นการถาวร ด้วยเหตุผลคือ ผมตกงานโดยไม่ได้ตั้งตัว ไม่มีคนรู้จักหรือใครที่ไหนที่พอช่วยเหลือได้ เงินเก็บที่มีก็หมดไปกับภาระครอบครัวและชีวิตประจำวัน ตอนนั้นผมคิดแค่ 2 อย่างคือ กลับไปอยู่บ้านนอก ตจว หรือ ยังคงดิ้นรนต่อไปในเมืองหลวงแห่งนี้ รถผมถูกยึด ห้องผมหมดสัญญาเช่า ผมบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เค้าฟัง และเค้าตอบกลับผมว่ายินดีที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผมจากนี้ไป นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกมั่นใจและละทิ้งทุกอย่างที่มาใช้ชีวิตกับเขาคนนี้
แรกๆ ทุกอย่างดีครับ เค้าดูแลผมดีทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คำว่า รัก จากเค้าผมได้รับทุกวัน ตื่นนอนก่อนไปทำงานเค้าก็จะมากอดผมบนที่นอนก่อนจากห้องเสมอ ก่อนนอนก็จะต้องจับมือผมไปกอดเค้าก่อนเสมอ ผมยิ่งมั่นใจว่าผมเลือกคนไม่ผิด แต่เชื่อเถอะครับ โลกมักหมุนไปตามวัฏจักรของมันเสมอและไม่มีวันย้อนกลับมาที่เดิม นั่นเป็นสัญญาณเตือนให้ผมเริ่มตั้งตัวและเตรียมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตผมหลังจากนี้
เมื่อยิ่งใช้ชีวิตกันไปทุกวันๆ หลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป มันกลายเป็นคำถามกลับมาที่ผมว่าผมจะรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้หรือไม่ จากที่เคยกลับบ้านตรงเวลาก็เป็นกลับช้าบ้าง ดึกบ้าง จากที่เคยหุงหาอาหารมากินด้วยกันก็กลายเป็นกินคนละเวลา ต่างคนต่างกิน จากที่เคยต้องอยู่กับผมในวันหยุดก็กลายเป็นมีเหตุผลต้องออกไปจากห้องในวันหยุดเสมอ ยิ่งมีสัณญาณเตือนมากขึ้นๆ ผมยิ่งใจไม่ดี จากที่ผมเชื่อเสมอว่าผมคือคนที่โชคดีที่ได้รู้จักคำว่า "รักแท้ มีอยู่จริงในหมู่เกย์" แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่า ในหมู่เกย์อย่างผมที่เอากันยังไงก็ไม่ท้อง ไม่ต้องมีพันธะ มันจะมีรักแท้จริงๆ หรอ เรื่มแทรกเข้ามาในหัวผมเรื่อยๆ
ผมก็คงไม่โกหกว่าในช่วงระยะนั้นที่ย้ายเข้ามาในพื้นที่ของเขา ก็มีนอกลู่นอกทางบ้าง แต่มีครั้งใหญ่ถ้านับได้ก็ 3 ครั้งที่ผมนอกกายเค้า และในทุกๆครั้งผมไม่ได้ปกปิดอะไร เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันอาจจะเกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบ หรือโอกาส หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมจะบอกเขาเสมอว่าผมทำผิดและพร้อมยอมรับผิดทุกอย่าง และในทุกๆครั้ง เค้าก็ให้อภัยผม แต่การให้อภัยนั้นต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าจะกาย หรือใจ ของเราทั้งคู่ จนครั้งที่ 3 เค้าตบหน้าผมสองครั้งเค้าร้องไห้จนผมรู้สึกอยากตายให้พ้นๆไปจากชีวิตของเค้า ที่ทำผิดกับเค้ามาถึง 3 ครั้ง จนเมื่อเค้าตั้งสติได้ถึงได้เดินมาปลอบและให้อภัยผม วันนั้น 31 มกราคม 2563 ผมสัญญากับเค้าว่าเมื่อเค้าได้ยอมรับความผิดของผม ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกและมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน ที่เค้าทำแบบนั้นมันยิ่งตอกย้ำผมว่าผมจะต้องรักเค้าให้มากขึ้นๆๆอีก ทุกอย่างจึงคืนสู่สภาพปกติ ภายหลังจากวันนั้นผมก็ไม่มีแม้แต่นอกใจ นอกกาย หรือแม้แต่คุยกับคนอื่นก็ไม่มี ตั้งใจทำงาน เลิกงานกลับห้อง
แต่รู้มั้ยครับว่ามันพีคกว่านั้น... ไม่กี่วันก่อนวาเลนไทน์ ผมจำได้ว่า 9 กุมภาพันธ์ 2563 เราไปเวียนเทียนที่วัดด้วยกันวันมาฆบูชา มันมีความสุขมากสำหรับผมแม้ในวันนั้นเราจะงอนๆกันตามประสา แต่มันทำให้ผมรู้สึกดีที่เค้าชวนผมไปทำบุญ แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับ ตื่นเช้าวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563 ผมไปทำงานช่วงสายๆ แฟนผมได้คุยกับคนๆนึงในแชทไลน์ เนื้อหาก็
"ว่างมั้ย มา...กัน แฟนไปทำงาน" "เจอกันตอนเย็นนะ" "เป็นไงชอบมั้ย" "คิดถึง" "พรุ่งนี้ เจอกันอีกนะ"
ผมมาเห็นแชทนี้ในวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งก็คือวันที่ผมโพสในกระทู้ก่อนหน้าครับ ทำไมผมถึงเห็นหรอครับ ร้อยวันพันปีผมก็ไม่จับอะไรส่วนตัวของเค้านะครับ แต่วันนั้นเค้าอาบน้ำ หัวผมไม่รู้มันคิดอะไร หยิบโทรศัพท์เค้าขึ้นมาเปิดดู ถึงได้ช๊อค อึ้งไปเลยทีเดียว... ผมเก็บเงียบ ไม่บอกเขาว่าผมเห็นอะไรบ้าง และเขาก็ไม่รู้ว่าผมทำอะไรในระหว่างที่เขาอาบน้ำ ผมนั่งถามตัวเองว่าผมทำผิดอะไร ผมยังไม่ดีพอสำหรับเขาหรอ ทำไมเขาถึงทำกับผมแบบนี้ น้ำตาผมไหลอาบสองแก้มโดยที่ผมหลบไม่ให้เขาเห็น คืนนั้นสมองผมมันยิ่งบอกให้ผมหาคำตอบว่าผมจะทำยังไงกับเรื่องนี้ต่อไป ...ในระหว่างที่เขาหลับ ผมทำการบันทึกหลักฐานทั้งหมด มันทำให้ผมได้รู้ว่า ตลอดเวลาที่เขาบอกรักผมทุกวันนั้นเพื่อให้ผมตายใจไม่สงสัยในตัวเขาก็เท่านั้น เพราะนอกจากคนนี้ยังมีอีกมายมายมี่เค้าทำแบบนี้ ยังย้อนไปถึงแม้กระทั่งนับแต่วันแรกที่ผมย้ายเข้ามา มันเกิดขึ้นมาโดยตลอดโดยที่ผมไม่ได้เอะใจซักนิด แม้ในบางวันมันอาจจะมีอะไรให้ผมได้สงสัยอยู่บ้าง เช่น ทำไมมีผ้าขนหนูใหม่เอาออกมาใช้ หรือเศษทิชชู่ในถังขยะที่มีมากกว่าปกติ แต่เค้าก็ปิดผมจนมาถึงวันนี้ ทุกคำถามที่ผมถามมาตลอด ผมเจอแต่การโกหก ทุกๆอย่างมันเปิดเผยในวันนี้ แม้ที่เขาบอกว่าเค้าไปทำงานวันหยุด แต่จริงๆคือเค้าไปทำแบบนั้นกับคนอื่นเสมอ ที่ผมเจ็บปวดไปกว่านั้นคือมันเกิดขึ้นในห้องผม บนที่นอนของผม บนที่นอนของเราที่เรานอนด้วยกันทุกวัน ผมย้อนกลับมาถามตัวเองจนทุกวันนี้ ว่าผมจะทำใช้ชีวิตยังไงต่อไป
จากวันนั้นถึงวันนี้ เราคุยกันน้อยลง ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง นอนเตียงเดียวกันแต่ผ้าห่มคนละผืน กินใครกินมัน อยู่ใครอยู่มัน เสมือนเราอยู่บนโลกใบนี้เพียงแค่ใช้ออกซิเจนร่วมกันเท่านั้น ผมบอกเขาตรงๆ ว่าผมก็เสียใจและผมรับไม่ได้กับสิ่งที่กิดขึ้น คำถามเป็นพันเป็นร้อยที่ผมถามออกไป ผมกลับไม่ได้คำตอบแม้แต่คำตอบเดียวกลับมา ถ้านี่จะเป็นการแก้แค้นที่เขาทำกับผม ผมก็ขอให้เขาหยุดได้มั้ย... รู้มั้ยครับ เขาบอกผมว่าไง เขาบอกจะหยุดเพื่อผม แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เค้าอยู่กับโลกของเขามาทั้งชีวิต เขาขอเวลาในการปรับตัว...นั่นแปลว่า ถ้าผมยอมรับข้อเสนอนี้ ผมจะต้องทนสิ่งที่มันเกิดขึ้นซ้ำๆนี้ให้ได้ ผมก็ถามใจตัวเองว่าผมไหวได้แค่ไหน คำตอบคือผมไม่สามารถรับมันต่อไปได้อีกแม้ผมจะรักเขามากแค่ไหนก็ตาม ตอนแรกผมยังคิดว่าเมื่อผมจับได้แบบนี้เค้าคงหยุดทำและเกรงใจผมบ้าง แต่...ผิดครับ มันกลับกลายเป็นข้อต่อรองสำหรับการใช้ชีวิตคู่ของเรา เค้าบอกผมว่าเขาไม่โอเคกับการที่ผมไปดูอะไรที่เป็นส่วนตัวของเขา (จริงๆ ผมก็อยากถามกลับ ว่าถ้าไม่ตัดสินใจดูในวันนั้น ผมคงต้องกินหญ้าต่อไปจนถึงวันนี้) ถ้าจะอยู่กันต่อผมต้องไม่ทำแบบนี้ ในขณะที่เขาก็ยังแชทๆกับคนพวกนั้นทุกวันๆ
ถามว่าผมเจ็บมั้ยหรอครับ เจ็บนะ เจ็บมาก ผมต้องอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยู่ด้วยกันแต่ต้องไม่รู้จักกัน กินข้าวก็ต้องกินคนเดียวทั้งที่เขาก็นั่งอยู่ข้างหลัง มันก็ตลกดีนะครับ (แต่ขำไม่ออก) จากนี้ผมก็พยายามอดทนที่สุดให้ก้าวผ่านมันไปให้ได้ ผมมองหาที่พักใหม่เพื่อย้ายออกไปจากชีวิตเค้า แต่ก็มาเจอพิษโควิดเข้าไปอีก ที่คอนโดห้ามเคลื่อนย้ายทั้งคนและทรัพย์สินเข้าและออกจนกว่าจะผ่านพ้นโควิดไป ...กลายเป็นผมต้องอยู่ในห้องนี้กับเค้าตลอด 24 ชม. แบบ "คนเคยรัก แต่ไม่รู้จักกันแล้ว" มันทรมานเหลือเกินครับ
ผมไม่รู้ว่าใจของผมมันจะแข็งพอจนวันนั้นที่ผมได้ย้ายออกมาถึงรึเปล่า ผมกลัวแค่ว่าความรักในใจของผมจะให้อภัยเค้าในสิ่งเหล่านั้น...แล้วผมต้องกลับมาเจ็บปวดแสนสาหัสอีกครั้งซ้ำๆ ก็เท่านั้นเอง
#ไม่ว่าโลกมันจะหมุนไปยังไง มันจะเหวี่ยงเราไปเจอกับอะไรมากมายแค่ไหน ผมก็บอกกับตัวเองเสมอว่า...ชีวิตมันต้องเดินต่อไป
เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ 9 เมษายน 2563