ช่วงนี้กักตัวอยู่บ้าน มาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการลงทุน 5 วิธีกันครับ (หุ้น,Forex,ทองคำ,อสังหาฯ,Bitcoin)

จากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ไหนจะพิษ Covid-19 แบบนี้เชื่อว่าหลายคนเริ่มกังวลถึงความมั่นคงทางการเงิน และหน้าที่การงานหลักกันบ้างแล้ว ผมเองก็เป็น 1 ในมนุษย์เงินเดือนที่ไม่รู้จะโดน lay off วันไหน หรือถ้าโดนบริษัทบังคับออกแบบไม่จ่ายค่าจ้างจะรับมือกับการขาดรายได้หลักยังไง แต่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาผมเริ่มหาข้อมูลเรื่องการลงทุนไว้พอสมควร เพราะได้โบนัสก้อนนึงมาก็ไม่อยากจะเก็บไว้เฉยๆ เลยตั้งใจจะเอามาลงทุนอะไรซักอย่าง ก็พอจะมีข้อมูลเรื่องการลงทุนให้เงินมันงอกเงยอยู่บ้าง ช่วงนี้ก็ได้ work from home อยู่บ้านยาวๆ เลยอยากรวบรวมข้อมูลมาแชร์กันในยุคที่อะไรๆก็ไม่แน่นอน ว่ามีการลงทุนแบบไหนที่น่าสนใจ และแต่ละการลงทุนนี้มีข้อดี-ข้อเสียกันยังไงบ้าง ใครถูกใจแบบไหนก็เก็บไว้เป็นแนวทางกันนะครับ 

………. คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน ……….

การลงทุน คือ การที่เรานำเงินที่เก็บไว้ หรือกันไว้ส่วนนึง มาซื้อสินทรัพย์หนึ่งเพื่อให้สร้างผลตอบแทน ให้เงินนั้นงอกเงยขึ้นมากกว่าการออมเงินธรรมดา จริงๆการลงทุนมีหลายอย่างมากครับ วันนี้ผมเลือกมาพูดถึง 5 วิธีที่ผมคิดว่าน่าสนใจครับ

     1. หุ้น

หุ้น คือ หลักทรัพย์แสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในบริษัทนั้นๆ อย่างเช่น ผมกับเพื่อน 4 คน รวมเงินกันเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เงินของผมก็เป็นหลักทรัพย์ที่แสดงว่าผมมีสิทธิ์เป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ด้วย หรือที่เรียกว่า หุ้นส่วน นั่นแหละครับ 

การลงทุนในหุ้นจึงเป็นวิธีที่ทำให้คนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆท่านๆที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กับเจ้าของธุรกิจโดยตรง ไม่ได้มีเงินทุนเป็นแสนเป็นล้าน ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนั้นๆได้ครับ เช่น ถ้าผมอยากเป็นเจ้าของเซเว่นก็ไปซื้อหุ้น CPALL หรือถ้าผมอยากลงทุนในธุรกิจยางพาราก็ไปซื้อหุ้น STA ประมาณนี้ครับ

จากกราฟหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2008 - ปัจจุบัน จะเห็นได้ชัดว่ามีการเติบโตเยอะมากนะครับ ถึงแม้ช่วงนี้มีวิกฤติ Covid-19 ทำให้กราฟตกลงมา แต่ก็ยังไม่ถึงครึ่งกราฟ และถ้าดูจากช่วงปี 2008-2009 ก็เคยมีวิกฤติแบบนี้จนหุ้นดิ่งลงเหมือนกันแต่หลังจากนั้นก็ทะยานกลับขึ้นมาได้ ก็คงต้องวิเคราะห์กันต่อไปครับว่าหลังจากนี้แนวโน้มจะเป็นยังไง เวลาเราจะเลือกลงทุนหุ้นกับบริษัทไหนก็ให้ดูจากงบการเงิน/ผลประกอบการ ของบริษัทนั้นๆได้เลย (ดูจากเว็บ www.set.or.th ได้ครับ) ผมขอยกตัวอย่างของ Homepro แล้วกันนะครับ

แต่ละบริษัทจะมีงบการเงินมาให้เราดูประกอบการตัดสินใจว่าน่าลงทุนด้วยมั้ย หลักๆก็ดูที่ตัวเลขรายได้รวม, กำไร แล้วก็อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนครับ ดูว่าแต่ละปีที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงยังไง 

ข้อดีของหุ้น
     1.  ด้วยความที่หุ้นแต่ละตัวเนี่ยมันเป็นรูปแบบของ ธุรกิจ หรือ บริษัท ที่เค้าก็มีคนบริหารอยู่แล้ว ตัวผู้บริหารแต่ละธุรกิจเค้าก็ต้องอยากได้กำไรมากขึ้น เติบโตขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว ดังนั้นตามธรรมชาติแล้วเนี่ย ส่วนมากหุ้นก็จะราคาดีขึ้นเรื่อยๆครับ
     2.  และด้วยความที่เค้าเป็นรูปแบบธุรกิจ ก็ยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่งคือ แต่ละบริษัทจะมีงบการเงิน มีบัญชีรายรับ-รายจ่าย รายได้ กำไร สถิติต่างๆ มาให้เราดูก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นด้วยครับ
     3.  หุ้นบางตัวสภาพคล่องสูง(แต่บางตัวก็ไม่มีสภาพคล่องนะครับ) ซื้อขายได้ง่ายมากๆ อยากซื้อก็ซื้อเลย อยากขายก็ขายได้เลยครับ
     4.  บางบริษัทจะมีการปันผลให้ทุกปีครับ จะปันผลเป็นเงิน หรือปันผลเป็นหุ้นก็ว่ากันอีกทีนึง ถือเฉยๆไว้เอาปันผลก็ยังได้ครับ

ข้อเสียของหุ้น
     1.  หุ้นบางตัวสามารถปั่นราคากันได้ง่ายมากครับ ใครที่มีทุนหนาๆอาจจะปั่นราคาให้สูงขึ้นแล้วเทขายจนหุ้นตกฮวบเลยก็ทำได้ วิธีป้องกันเบื้องต้นก็คือให้เลือกบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงซักหน่อยก็ดี เพราะว่ายิ่งมูลค่าฯน้อย ก็ยิ่งปั่นได้ง่ายนั่นเองครับ
     2.  ต้องมีความรู้ด้านบัญชี ต้องอ่านงบการเงินเป็นครับ ใครไม่มีสกิลตรงนี้ก็อาจจะต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีความรู้ด้านนี้ซักหน่อยครับ
     3.  หุ้นควรใช้เงินเย็นมาลงทุน ใครเงินน้อยจะเห็นผลตอบแทนที่น้อยมาก เช่น ลงทุน 1,000 บาท ผลตอบแทนปีละ 10 เปอร์เซ็น เราก็ได้มา 100 บาท (จริงๆ สามารถกู้มาร์จิ้นมาเทรดหุ้นได้ แต่ไม่แนะนำ เพราะบางครั้งราคาหุ้นที่ดีมีการเหวี่ยงที่รุนแรง ราคาอาจจะตกเกิน 50% ซึ่งทำให้เราหมดตัวได้)

2. FOREX

FOREX มาจากคำว่า Foreign Exchange Market คือ ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนอัตราสกุลเงินระหว่างประเทศ เป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก Forex มีการซื้อขายกันตลอด 24 ชั่วโมง มีสภาพคล่องสูงมากๆ แต่ก็มีความเสี่ยงและผันผวนมากเช่นกัน การลงทุนใน Forex เราสามารถสร้างรายได้จากการเก็งกำไรส่วนต่างของสกุลเงิน โดยจะซื้อขายสกุลเงินกันเป็นคู่ๆ เช่น EUR/USD, USD/JPY หรือ GBP/USD  

สิ่งสำคัญในการลงทุนตลาด Forex คือต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแต่ละสกุลเงินเป็นอย่างดี รวมไปถึงการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด เข้าใจสภาวะเศรษฐกิจ แล้วก็ต้องอ่านกราฟเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆได้ด้วยครับ 

การลงทุนใน Forex เริ่มต้นนั้นใช้ทุนแค่ 10 USD ก็สามารถเริ่มเทรดได้แล้ว แต่การฝากเงินเข้าพอร์ตจะเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโบรกเกอร์กำหนด 

วิธีการลงทุนใน Forex ก่อนอื่นก็ต้องไปสมัครสมาชิกแล้วก็เปิดบัญชีเทรดกับโบรกเกอร์ก่อน สำหรับโบรกเกอร์ที่นิยมใช้กันในไทยก็มี BullSphere.com , FBS.co.th , Exness.com เป็นต้น หลังจากนั้นใครที่ยังไม่มีพื้นฐานมากอาจจะลองเทรดแบบ demo ก่อนก็ได้ บางโบรกเกอร์อาจจะมีแนะนำเบื้องต้นให้เรา หรือละเอียดได้ขั้นไหนก็ต้องลองหาข้อมูลของแต่ละโบรกเกอร์ดูครับ ในการเทรดส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรม Meta Trader 4 หรือไม่ก็ cTrader ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับเทรด Forex โดยเฉพาะ เราก็สามารถโหลดมาใช้ได้ทั้งในคอมฯและบนสมาร์ทโฟนเลย ผมขอยกตัวอย่างหน้าตาของ MT4 (Meta Trader 4) ที่ผมใช้ผ่านโบรกเกอร์ www.BullSphere.com มาให้ดูนะครับ 

หน้าตาตอนเราเทรดก็จะประมาณนี้ครับ รายละเอียดต่างๆของ Forex จริงๆมีอีกค่อนข้างเยอะครับ ช่วงแรกๆผมก็ไปศึกษาอบรมกับ Bull Sphere ก่อนเทรดจริงอยู่พักนึง ที่นี่เขามีอบรมให้ฟรีไม่จำกัดครับ พอเข้าใจแล้วลงสนามจริงก็เลยไม่ยากครับ เวลามีปัญหาหรือติดขัดตรงไหนก็ถามที่ทางโบรกเกอร์ได้ตลอด 

การเทรด Forex นั้นต้องบอกว่าด้วยความที่สภาพคล่องสูงมาก อาจะทำให้เรารวยได้เร็วก็จริง แต่เหรียญมี 2 ด้านครับ เพราะมันก็อาจจะทำให้เราขาดทุนหนักมากได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นควรศึกษาหรืออบรมให้ความรู้แน่นๆและมีวินัยในการเทรดจะช่วยลดความเสี่ยงได้เยอะมาก ส่วนปัจจัยที่ทำให้มูลค่าของสกุลเงินแต่ละตัวขึ้นหรือลงนั้นก็มีหลายอย่างครับ ได้แก่
     1.  สภาพเศรษฐกิจของประเทศเจ้าของสกุลเงินนั้น
     2.  ความมั่นคงทางการเมือง
     3.  นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศนั้น
     4.  นโยบายเกี่ยวกับการเงินของธนาคารกลาง
     5.  อัตราเงินเฟ้อ
     6.  อัตราการว่างงาน
     7.  ปัญหาความขัดแย่งระหว่างประเทศ
     8.  ภัยธรรมชาติ
     9.  โรคระบาด

ข้อดีของการลงทุนใน FOREX
     1.  สภาพคล่องสูงมาก ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5วัน/สัปดาห์
     2.  เป็นตลาดที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดในโลก สูงกว่า 5 ล้านล้าน USD/วัน ทำให้ไม่สามารถปั่นราคากันได้
     3.  ใช้เงินลงทุนน้อย แถมบางโบรกเกอร์อย่าง Bull Sphere ที่ผมใช้ ก็มีการเล่น leverage หรือเพิ่มทุนให้เราได้ด้วย ทำให้เราเทรดได้มากขึ้นเป็น 1,000 เท่า
     4.  สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงเลยครับ

ข้อเสียของการลงทุนใน FOREX
     1.  ไม่เหมาะสำหรับคนที่อยากทำลงทุนระยะยาว เพราะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันมากและอาจจะโดนค่า Swap ทำให้ขาดทุนได้ เน้นระยะสั้นจะเหมาะกว่า เช่นการเก็งกำไรแบบ day trade หรือการเทรดแบบรายวัน

3. กองทุนทองคำ

กองทุนทองคำ คือ กองทุนที่ลงทุนในทองคำ วิธีการก็คือเราเอาเงินไปลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำแล้วเค้าจะนำเงินเราไปลงทุนอีกทีนึง เหมือนเราได้ลงทุนในทองคำแท่งผ่านกองทุนของต่างประเทศประมาณนี้ครับ โดยมูลค่าของหน่วยลงทุนก็จะขึ้นลงตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาทองคำในประเทศนะครับ และเนื่องจากเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย

แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่เรามักได้ยินคนบอกว่า ถ้ามีเงินเยอะๆ ให้ซื้อทองมาเก็บไว้ เพราะในระยะยาวทองจะทำกำไรให้เราได้แน่นอน 

ถ้าดูจากกราฟมูลค่าในตลาดทองคำโลกตั้งแต่ปี 1973 จนถึงปัจจุบันปี 2020 จะเห็นได้ชัดว่าค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นมาเรื่อยๆ อาจจะช้าบ้างเร็วบ้าง ก็ต้องอาศัยจังหวะดีๆเหมือนกันครับ แต่ถ้าตั้งใจจะถือระยะยาวแล้วก็ดีแน่นอน

แต่ถ้าเรามาดูช่วง 10 ปีย้อนหลังนี้จะเห็นว่ามีช่วงปี 2013 - 2016 ที่ราคาตกลงไปเยอะมาก แล้วก็เริ่มขึ้นมาเรื่อยๆถึงปัจจุบัน ถ้าเราอ่านสถานการณ์ขณะนั้นๆได้ และตัดสินใจซื้อ หรือ ขายได้อย่างถูกจังหวะแล้ว รับรองว่าคุ้มค่าครับ ผมจะลองยกตัวอย่างกราฟของ กองทุนเปิดธนชาติทองคำแท่ง นะครับ

จะเห็นว่ามีช่วงที่ราคาทองต่ำระยะหนึ่งแล้วก็พุ่งขึ้นมาหลายเปอร์เซ็น แล้วก็ลงต่ำอีกระยะหนึ่ง แล้วปีนี้ก็พุ่งขึ้นมาอีก อย่างที่ผมบอกว่าทองต้องถือระยะยาวถึงจะคุ้มครับ เหมาะสำหรับคนไม่รีบร้อน แต่ต้องดูจังหวะเป็น ตอนไหนควรซื้อ ตอนไหนควรขาย

ถ้ามาดูสถานการณ์ช่วงนี้ถือว่ายังสูงกว่าปีก่อนๆอาจจะมีขึ้นลงบ้างแต่ถ้าใครซื้อมานานแล้วยังไงก็ถือว่ากำไรอยู่ครับถ้าจะขายช่วงนี้ หรือถ้าคุณคิดว่าอาจจะพุ่งไปมากกว่านี้รอดูไปก่อนก็ได้ แล้วแต่การวิเคราะห์ของแต่ละคนครับ

ข้อดีของกองทุนทองคำ
     1.  ในกรณีที่ถือระยะยาวมากๆ ยังไงก็ได้กำไร เพราะเงินยิ่งเฟ้อ ทองจะยิ่งแพง ล่าสุดอเมริกาก็สั่ง QE ไม่จำกัดวงเงิน ดูจากกราฟระยะยาวได้ครับ ขึ้นชัดเจน
     2.  ไม่จำเป็นต้องอ่านงบการเงินเป็น แค่ดูกราฟและเข้าไปซื้อช่วงที่ราคาตกก็ลงทุนได้ครับ เพราะยังไงระยะยาวราคาก็ขึ้น
     3.  สภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ง่ายมากๆ อยากซื้อก็ซื้อเลย อยากขายก็ขายได้เลยครับ

ข้อเสียของกองทุนทองคำ
     1.  กองทุนทองคำจะไม่มีปันผลให้เหมือนกับหุ้นนะครับ กำไรเราจะได้จากส่วนต่างการซื้อขายเท่านั้น (ถ้ากองไหนมีปันผล พอปันผลเสร็จราคากองทุนก็จะตกลง)
     2.  ถ้าเราตัดสินใจซื้อ ผิดจังหวะ เช่น ซื้อในช่วงที่มูลค่าสูง แล้วหลังจากนั้นกราฟดิ่งราคาต่ำลงมากว่ามูลค่าที่เราซื้อไว้ ก็อาจจะต้องรออีกนานเป็น 10 ปีกว่าที่ราคาจะกลับมาสูงอีกครั้งครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่