คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ในหลักฐานชั้นต้นของชาวยุโรปจำนวนมากทั้งฝรั่งเศสและดัตช์ ระบุตรงกันว่าเมื่อสมเด็จพระเพทราชาเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงได้เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาของสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระอัครมเหสี มีพระโอรสทรงพระนามว่า "เจ้าพระขวัญ" ครับ
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ที่ชำระสมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลายระบุว่า
"ถึงเดอีนสีแลวัจวนพระราชพิทธีตรุฐเสดจ์ปราบดาพีเศกทร่งพระนามสมเดจ์พระมหาบุรุษราชพิตรเจ้าะจัดพระอัคะมะเหษีเดีมเปนผ์ายควัา จัดสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอพระนารายน์เปนเจ้าแลสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอจ้าวพ์าทองสองพระองค์เปนผ์ายซ้าย ฉิมบุตรภรรยาพนักงานของกีนตั้งขึนัเปนเจ้าอยู่นางพญา"
(ถึงเดือนสี่แล้วจวนพระราชพิธีตรุษ เสด็จปราบดาภิเษกทรงพระนามสมเด็จพระมหาบุรุษราช(บ)พิตรเจ้า จัดพระอัครมเหสีเดิมเป็นฝ่ายขวา จัดสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระนารายณ์เป็นเจ้า แลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าทอง สองพระองค์เป็นฝ่ายซ้าย ฉิมบุตรภรรยาพนักงานของกินตั้งขึ้นเป็นเจ้าอยู่นางพญา)
สรุปคือสมเด็จพระเพทราชาทรงตั้งภรรยาเดิมเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา ตั้งพระราชธิดาของสมเด็จพระนารายณ์คือเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ กับพระธิดาของเจ้าฟ้าทองพระอนุชาต่างมารดาของสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายทั้งสองพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงมีพระธิดาชื่อฉิมบุตรภรรยาเดิมอีกคนที่เป็นพนักงานของกินได้เป็นเจ้าอยู่หัวนางพญา
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๒๓๓ พระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายทั้งสองพระองค์ประสูติพระโอรส พระราชธิดาสมเด็จพระนารายณ์มีพระโอรสทรงพระนามว่า "พระราชสมภาร" (หลักฐานอื่นๆ เรียกว่า 'เจ้าพระขวัญ') พระธิดาเจ้าฟ้าทองมีพระโอรสทรงพระนามว่า "ณรายธีเบศ"
เอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าที่พม่าเรียบเรียงจากปากคำเชลยอยุทธยาสมัยสงครามเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ระบุว่า "ทรงตั้งนางอุบลเทวีเป็นมเหสีฝ่ายขวา ทรงตั้งพระสุดาเทวีเป็นมเหสีฝ่ายซ้าย พระสุดาเทวีมีพระราชโอรสองค์ ๑ พระนามว่าพระขวัญ" พระสุดาเทวีในที่นี้ก็คือเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ที่ชำระใน พ.ศ. ๒๓๓๘ สมัยรัชกาลที่ ๑ ส่วนที่เป็นความเก่าระบุว่า
"ตั้งนางบาทบริจาริกากันข้าหลวงเดิม เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา จัดพระราชบุตรีเจ้าฟ้าทอง เชื้อพระนารายณ์เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย นิ่มบุตรนางบาทบริจาริกากันผู้น้อย ซึ่งเป็นพนักงานของกินมาแต่ก่อน ตั้งเป็นแม่อยู่หัวนางพระยา"
เนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) แต่เขียนตกเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพที่เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายอีกองค์ไป และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าภรรยาเดิมที่เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวามีพระนามเดิมว่า "กัน" และระบุว่าเป็นคนเดียวกับพระมารดาของนิ่ม (หรือ ฉิม) ที่เป็นแม่อยู่หัวนางพญา
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ส่วนที่ชำระใหม่โดยเจ้าพระยาพิพิธพิชัย กล่าวถึงเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพที่เป็นพระอัครมเหสีว่า
"แลสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า มีพระราชภคินี คือกรมหลวงโยธาทิพพระองค์หนึ่ง มีพระราชบุตรี คือกรมหลวงโยธาเทพพระองค์หนึ่ง ครั้นเสด็จพระราชดำเนินแต่เมืองนนท์ลงมาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว จึงเสด็จพระราชดำเนินไปจะเข้าที่บรรทมพระตำหนักตึกกรมหลวงโยธาทิพ ๆ บอกพระอาการว่าทรงพระประชวรอยู่ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปหน้าพระตำหนักตึกกรมหลวงโยธาเทพ ๆ ไม่ยอมตรัสตัดพ้อ ตรัสแล้วทรงแสงดาบติดพระหัตถ์อยู่ จึงทรงพระกรุณาให้หาหมอทำเสน่ห์ ก็เสด็จเข้าที่พระบรรทม ให้ทรงพระกรรแสง ครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปครั้งหลังจึงยอม ประมาณ ๗ เดือน ๘ เดือนกรมหลวงโยธาเทพทรงพระครรภ์ ๆ ๓ เดือน"
ภายหลังกรมหลวงโยธาเทพทรงพระครรภ์ประสูติพระราชโอรสทรงพระนามว่า "ตรัสน้อย" (ไม่ตรงกับฉบับอื่นที่ออกพระนามว่า 'เจ้าพระขวัญ')
พระราชพงศาวดารที่ชำระเป็นลำดับถัดมาคือ "พระราชนิพลพงศาวดาร กรุงสยาม" (ตีพิมพ์ในชื่อ 'พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน') ซึ่งชำระเสด็จก่อน พ.ศ. ๒๓๕๐ ปลายรัชกาลที่ ๑ ได้แก้เนื้อหาหลายส่วน และพงศาวดารที่ชำระภายหลังก็อ้างอิงจากฉบับนี้เป็นหลัก
พงศาวดารฉบับนี้ระบุว่า "จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว ก็พระราชตำหรัสเหนือเกล้าโปรฎให้พระอัคมเหษรีเดีมนั้นเปนพระอัคมะเหษิกลาง แลตั้งเจ้าพ์้าศรีสุวรรณ ซึ่งเรยีกว่าพระกัลยานีซึ่งเปนกรมหลวงโยธาทิบเปนพระบรมราชภักดีนีฃองสมเดจ์พระนารายเปนเจ้านั้นเปนอัคมเหษีผ์่ายขวา ตั้งเจ้าพ์้ากรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งเปนพระราชธิดาแห่งสมเดจ์พระนารายเปนเจ้านั้น เปนอัคมเหษีผ์่ายซ้าย ตั้งพระราชบุตรีฃองพระองค์ทรงพระนามฉิมเปนลูกสนมนั้นเปนพระแม่อยู่หัวนางพญา"
คือแก้เนื้อหาใหม่ว่าทรงมีพระอัครมเหสี ๓ องค์ พระภรรยาเดิมได้เป็นพระอัครมเหสีกลาง เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย ส่วนฉิมพระราชบุตรีนั้นเป็นเพียงลูกสนม
พงศาวดารฉบับนี้ยังระบุว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพมีพระโอรสคือเจ้าพระขวัญ ส่วนเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพมีพระโอรสคือตรัสน้อย แต่เมื่อตรวจสอบกับหลักฐานชั้นต้นแล้ว ไม่ปรากฏว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเพทราชา และเจ้าพระขวัญเป็นโอรสเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
เอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่าสมเด็จพระนารายณ์พระราชทานสนมชื่อ "นางกุสาวดี" ที่ตั้งครรภ์อยู่ให้สมเด็จพระเพทราชา เอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดซึ่งเป็นเอกสารเรื่องเดียวกันแต่แปลจากภาษามอญเรียกชื่อสนมนั้นว่า "เจ้าจอมสมบุญ" เมื่อนางตั้งครรภ์จึงพระราชทานให้พระเพทราชา
พระราชพงศาวดารที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ฉบับบริติชมิวเซียมเป็นต้นมากล่าวไว้ใกล้เคียงกันว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงตีเมืองเชียงใหม่ ทรงได้ธิดาพระยาแสนหลวงเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นบาทบริจาริกา พอนางตั้งครรภ์จึงพระราชทานให้พระเพทราชา ซึ่งก็คือพระมารดาของพระเจ้าเสือ
อย่างไรก็ตาม หลักฐานชั้นต้นจำนวนมากตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ลงมาถึงรัชกาลพระเจ้าเสือต่างระบุตรงกันว่าพระเจ้าเสือเป็นโอรสสมเด็จพระเพทราชา สันนิษฐานว่าเรื่องพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์น่าจะเพิ่งเล่าขานกันหลังยุคพระเจ้าเสือไปแล้ว บางทีอาจเพราะพระมารดาของพระองค์เป็นเมียพระราชทานจากสมเด็จพระนารายณ์คนเลยอาจเล่าลือกันว่าพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับ
(ในสมัยโบราณพระเจ้าแผ่นดินอาจพระราชทานเจ้าจอมหรือนางข้าหลวงให้เป็นภรรยาขุนนาง เรียกว่า 'เมียพระราชทาน' หรือ 'นางพระราชทาน' ถือว่าสูงส่งว่าภรรยาอื่นๆ)
พระราชพงศาวดารที่ชำระสมัยหลัง เช่น พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าสมเด็จพระเพทราชาทรงมีพระโอรสธิดาที่เกิดด้วยพระสนมอีก ๔ องค์ คือ พระองค์เจ้าจีน พระองค์เจ้าดำ พระองค์เจ้าแก้ว พระองค์เจ้าบุญนาก แต่ไม่ทราบนามพระมารดาครับ
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ที่ชำระสมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลายระบุว่า
"ถึงเดอีนสีแลวัจวนพระราชพิทธีตรุฐเสดจ์ปราบดาพีเศกทร่งพระนามสมเดจ์พระมหาบุรุษราชพิตรเจ้าะจัดพระอัคะมะเหษีเดีมเปนผ์ายควัา จัดสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอพระนารายน์เปนเจ้าแลสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอจ้าวพ์าทองสองพระองค์เปนผ์ายซ้าย ฉิมบุตรภรรยาพนักงานของกีนตั้งขึนัเปนเจ้าอยู่นางพญา"
(ถึงเดือนสี่แล้วจวนพระราชพิธีตรุษ เสด็จปราบดาภิเษกทรงพระนามสมเด็จพระมหาบุรุษราช(บ)พิตรเจ้า จัดพระอัครมเหสีเดิมเป็นฝ่ายขวา จัดสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระนารายณ์เป็นเจ้า แลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าทอง สองพระองค์เป็นฝ่ายซ้าย ฉิมบุตรภรรยาพนักงานของกินตั้งขึ้นเป็นเจ้าอยู่นางพญา)
สรุปคือสมเด็จพระเพทราชาทรงตั้งภรรยาเดิมเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา ตั้งพระราชธิดาของสมเด็จพระนารายณ์คือเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ กับพระธิดาของเจ้าฟ้าทองพระอนุชาต่างมารดาของสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายทั้งสองพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงมีพระธิดาชื่อฉิมบุตรภรรยาเดิมอีกคนที่เป็นพนักงานของกินได้เป็นเจ้าอยู่หัวนางพญา
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๒๓๓ พระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายทั้งสองพระองค์ประสูติพระโอรส พระราชธิดาสมเด็จพระนารายณ์มีพระโอรสทรงพระนามว่า "พระราชสมภาร" (หลักฐานอื่นๆ เรียกว่า 'เจ้าพระขวัญ') พระธิดาเจ้าฟ้าทองมีพระโอรสทรงพระนามว่า "ณรายธีเบศ"
เอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าที่พม่าเรียบเรียงจากปากคำเชลยอยุทธยาสมัยสงครามเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ระบุว่า "ทรงตั้งนางอุบลเทวีเป็นมเหสีฝ่ายขวา ทรงตั้งพระสุดาเทวีเป็นมเหสีฝ่ายซ้าย พระสุดาเทวีมีพระราชโอรสองค์ ๑ พระนามว่าพระขวัญ" พระสุดาเทวีในที่นี้ก็คือเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ที่ชำระใน พ.ศ. ๒๓๓๘ สมัยรัชกาลที่ ๑ ส่วนที่เป็นความเก่าระบุว่า
"ตั้งนางบาทบริจาริกากันข้าหลวงเดิม เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา จัดพระราชบุตรีเจ้าฟ้าทอง เชื้อพระนารายณ์เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย นิ่มบุตรนางบาทบริจาริกากันผู้น้อย ซึ่งเป็นพนักงานของกินมาแต่ก่อน ตั้งเป็นแม่อยู่หัวนางพระยา"
เนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) แต่เขียนตกเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพที่เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายอีกองค์ไป และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าภรรยาเดิมที่เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวามีพระนามเดิมว่า "กัน" และระบุว่าเป็นคนเดียวกับพระมารดาของนิ่ม (หรือ ฉิม) ที่เป็นแม่อยู่หัวนางพญา
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ส่วนที่ชำระใหม่โดยเจ้าพระยาพิพิธพิชัย กล่าวถึงเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพที่เป็นพระอัครมเหสีว่า
"แลสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า มีพระราชภคินี คือกรมหลวงโยธาทิพพระองค์หนึ่ง มีพระราชบุตรี คือกรมหลวงโยธาเทพพระองค์หนึ่ง ครั้นเสด็จพระราชดำเนินแต่เมืองนนท์ลงมาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว จึงเสด็จพระราชดำเนินไปจะเข้าที่บรรทมพระตำหนักตึกกรมหลวงโยธาทิพ ๆ บอกพระอาการว่าทรงพระประชวรอยู่ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปหน้าพระตำหนักตึกกรมหลวงโยธาเทพ ๆ ไม่ยอมตรัสตัดพ้อ ตรัสแล้วทรงแสงดาบติดพระหัตถ์อยู่ จึงทรงพระกรุณาให้หาหมอทำเสน่ห์ ก็เสด็จเข้าที่พระบรรทม ให้ทรงพระกรรแสง ครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปครั้งหลังจึงยอม ประมาณ ๗ เดือน ๘ เดือนกรมหลวงโยธาเทพทรงพระครรภ์ ๆ ๓ เดือน"
ภายหลังกรมหลวงโยธาเทพทรงพระครรภ์ประสูติพระราชโอรสทรงพระนามว่า "ตรัสน้อย" (ไม่ตรงกับฉบับอื่นที่ออกพระนามว่า 'เจ้าพระขวัญ')
พระราชพงศาวดารที่ชำระเป็นลำดับถัดมาคือ "พระราชนิพลพงศาวดาร กรุงสยาม" (ตีพิมพ์ในชื่อ 'พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน') ซึ่งชำระเสด็จก่อน พ.ศ. ๒๓๕๐ ปลายรัชกาลที่ ๑ ได้แก้เนื้อหาหลายส่วน และพงศาวดารที่ชำระภายหลังก็อ้างอิงจากฉบับนี้เป็นหลัก
พงศาวดารฉบับนี้ระบุว่า "จึ่งพระบาทบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว ก็พระราชตำหรัสเหนือเกล้าโปรฎให้พระอัคมเหษรีเดีมนั้นเปนพระอัคมะเหษิกลาง แลตั้งเจ้าพ์้าศรีสุวรรณ ซึ่งเรยีกว่าพระกัลยานีซึ่งเปนกรมหลวงโยธาทิบเปนพระบรมราชภักดีนีฃองสมเดจ์พระนารายเปนเจ้านั้นเปนอัคมเหษีผ์่ายขวา ตั้งเจ้าพ์้ากรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งเปนพระราชธิดาแห่งสมเดจ์พระนารายเปนเจ้านั้น เปนอัคมเหษีผ์่ายซ้าย ตั้งพระราชบุตรีฃองพระองค์ทรงพระนามฉิมเปนลูกสนมนั้นเปนพระแม่อยู่หัวนางพญา"
คือแก้เนื้อหาใหม่ว่าทรงมีพระอัครมเหสี ๓ องค์ พระภรรยาเดิมได้เป็นพระอัครมเหสีกลาง เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย ส่วนฉิมพระราชบุตรีนั้นเป็นเพียงลูกสนม
พงศาวดารฉบับนี้ยังระบุว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพมีพระโอรสคือเจ้าพระขวัญ ส่วนเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพมีพระโอรสคือตรัสน้อย แต่เมื่อตรวจสอบกับหลักฐานชั้นต้นแล้ว ไม่ปรากฏว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเพทราชา และเจ้าพระขวัญเป็นโอรสเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
เอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่าสมเด็จพระนารายณ์พระราชทานสนมชื่อ "นางกุสาวดี" ที่ตั้งครรภ์อยู่ให้สมเด็จพระเพทราชา เอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดซึ่งเป็นเอกสารเรื่องเดียวกันแต่แปลจากภาษามอญเรียกชื่อสนมนั้นว่า "เจ้าจอมสมบุญ" เมื่อนางตั้งครรภ์จึงพระราชทานให้พระเพทราชา
พระราชพงศาวดารที่ชำระสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ฉบับบริติชมิวเซียมเป็นต้นมากล่าวไว้ใกล้เคียงกันว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงตีเมืองเชียงใหม่ ทรงได้ธิดาพระยาแสนหลวงเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นบาทบริจาริกา พอนางตั้งครรภ์จึงพระราชทานให้พระเพทราชา ซึ่งก็คือพระมารดาของพระเจ้าเสือ
อย่างไรก็ตาม หลักฐานชั้นต้นจำนวนมากตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ลงมาถึงรัชกาลพระเจ้าเสือต่างระบุตรงกันว่าพระเจ้าเสือเป็นโอรสสมเด็จพระเพทราชา สันนิษฐานว่าเรื่องพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์น่าจะเพิ่งเล่าขานกันหลังยุคพระเจ้าเสือไปแล้ว บางทีอาจเพราะพระมารดาของพระองค์เป็นเมียพระราชทานจากสมเด็จพระนารายณ์คนเลยอาจเล่าลือกันว่าพระเจ้าเสือเป็นโอรสลับ
(ในสมัยโบราณพระเจ้าแผ่นดินอาจพระราชทานเจ้าจอมหรือนางข้าหลวงให้เป็นภรรยาขุนนาง เรียกว่า 'เมียพระราชทาน' หรือ 'นางพระราชทาน' ถือว่าสูงส่งว่าภรรยาอื่นๆ)
พระราชพงศาวดารที่ชำระสมัยหลัง เช่น พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าสมเด็จพระเพทราชาทรงมีพระโอรสธิดาที่เกิดด้วยพระสนมอีก ๔ องค์ คือ พระองค์เจ้าจีน พระองค์เจ้าดำ พระองค์เจ้าแก้ว พระองค์เจ้าบุญนาก แต่ไม่ทราบนามพระมารดาครับ
แสดงความคิดเห็น
เมียของสมเด็จพระเพทราชามีกี่พระองค์คะ