ภวังค์ ก็มี ๓ อย่างเหมือนกัน

(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
ภวังค์ ก็มี ๓ อย่างเหมือนกัน
 เรียกว่า ภวังคุบาท ภวังคจารณะ ภวังคุปัจเฉทะ

ภวังคุบาท 
ถ้าพูดตามที่ท่านแสดง เป็นขณะจิตอันหนึ่ง
 ถ้าพูดตามแนวปฏิบัติแล้ว 
ภวังคุบาท คล้ายกับขณิกสมาธิ
 เราเพ่งพิจารณาอยู่
 มันมีอาการคล้าย ๆ กับจะวูบไปนิดหนึ่ง
 แต่มันก็ไม่ลง หรือบางทีลงไปนิดเดียว ไม่ถึงอึดใจ เป็นสักแต่ว่า

ภวังคจารณะ 
จิตมันรวมลงไปแล้ว คราวนี้เพลิดเพลินชอบอกชอบใจ ยินดีในอารมณ์ของมันตรงนั้นแหละ

ภวังคุปัจเฉทะ
 มันทิ้งอารมณ์ต่าง ๆ หมดเลย ไม่เอาอะไรทั้งนั้น
 ไม่เยื่อใยในของที่พิจารณาอยู่ ไม่เอาอะไรทั้งหมด 
โน่นแน่ ไปชอบใยใจอารมณ์ความสุข ขั้นละเอียดของมันนั่น 
แน่วแน่อยู่จนกระทั่งสติไม่มี 
จนกระทั่งเหมือนกับหลับก็มี

 ภวังคุปัจเฉทะ 
เหมือน ๆ กันกับหลับ ทีแรก ๆ นั่นเหมือนกับหลับจริง ๆ
 ถ้านาน ๆ ไปบ่อยเข้ามีความชำนาญ ก็จะไม่เหมือนหลับ
 มันพลิกไปอยู่ของมันอีกหนึ่งต่างหาก
 เหล่านี้ล้วนแต่เรียกว่า เดินสมถะ การเดินสมถะเป็นอย่างนี้

ในระหว่างวิธีเดินสมถะนี้ มันอาจเกิดปัญญาขึ้นมาก็ได้
 ในขณะใดขณะหนึ่ง โดยมากเกิดจากสมาธิ
 เมื่อจิตสงบเข้าไปแน่วแน่อยู่ในเรื่องอารมณ์ที่เราพิจารณานั้น
 เดี๋ยวมันก็สว่างขึ้นมา 
คำว่า สว่าง ในที่นี้ไม่ใช่แสงสว่าง
 ถ้ามันเป็นแสงสว่าง นั่นเป็นเรื่องของณานเสียแล้ว

ถ้าสว่าง ด้วยอุบายปัญญา มันมีความปลอดโปร่งขึ้นมาในที่นั้น
 คิดค้นพิจารณาอะไรทั้งปวงหมด มันชัดเจนแจ่มแจ้งในเวลานั้น
 การที่มันชัดเจนแจ่มแจ้งนั้น มันเลยเป็นปัญญาขึ้นมาอีก
หรือบางทีมันอาจจะหยิบยกเอาธรรมะอะไรขึ้นมาพิจารณา
 เช่นเรื่องสติปัฏฐาน ๔ 
อะไรเป็นสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต 
หรืออะไรเป็น คำว่า สติ นั้นคืออะไร
 คำว่า สติปัฏฐาน ทำไมจึงต้อง
 เป็นกายานุปัสสนา - เป็นเวทนานุปัสสนา - เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทำไมมันจึงต้องเป็นอย่างนี้

ทีนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ลำดับเรื่อง สติปัฏฐาน ๔
 จะต้องคิดค้นถึงเรื่องกายพิจารณาถึงเรื่องกาย 
เป็นอสุภะปฏิกูล เห็นเป็นธาตุ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
 พิจารณาเรื่องเดียวอยู่ในที่เดียวนั่น
 บางทีมันเข้าไปถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
 บางทีมันเข้าไปเป็นสัจจธรรม เป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ
 มันเลยกลายเป็นปัญญาไป
 อันนี้เป็น ปัญญา เกิดขึ้นมาจาก สมถะ สมถะ กลายเป็นปัญญา

ถ้าพิจารณานานหนักเข้าแล้ว 
คราวนี้มันหมดเรื่องหมดราวคือว่า
 มันรู้เห็นชัดเจนหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
 (เช่น เห็นกายเป็นธาตุชัดเจน)
 มันก็มารวมเป็นอันเดียว อยู่ในที่เดียวอีกเหมือนกัน
 เรื่องที่พิจารณาอยู่นั้น มันทิ้งหมด ไม่เอาแล้วคราวนี้ 
เลยมารวมเข้าเป็นอันเดียว มาเป็นสมถะอีก
 คล้าย ๆ กับว่า ทำงานเสร็จสรรพแล้ว
 เก็บเครื่องไม้เครื่องมือเสีย แล้วพักผ่อน เป็นทำนองนั้น

นอกจากนั้นอีก มันยังมีอีก
 เมื่อพิจารณาถึงเรื่องกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี่ละ
 เดินแบบสมาธิ พิจารณาคิดค้นอะไรต่าง ๆ
 จะเป็นธาตุ ขันธ์ หรืออายตนะหรืออะไรก็ตาม
 ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด พิจารณาไป ๆ 
สติมันอ่อนลงไป มันชอบสงบสุข
 ยินดีกับความวิเวกสงัด
 ยินดีกับความชัดความจริงในการพิจารณานั้น 
เลยนิ่งแน่วเข้าไปหาความสงบ
 จิตน้อมไปตาม เลยเข้าไปเป็นฌาน
 จิตเป็นภวังค์หายเงียบไป นี่มันสลับซับซ้อนทีเดียว
ในผลที่สุด จะเป็นวิธีใดก็ช่างมันเถิด
 เราแต่งมันไม่ได้หรอก
 เพียงแต่ให้เราจับหลักที่ได้อธิบายนี้ไว้ก็แล้วกันว่า
 วิธีเดินสมถะเป็นแบบนี้ ๆ อย่างนี้ ๆ มันจะเป็นอะไรก็ช่าง
 ปล่อยให้มันเป็นไปแล้วจึงค่อยมาพิจารณาทีหลังว่า
 ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น
 ขณะใดถ้าสติ สมาธิ มีกำลังเพียงพอ
 จิตมันจะไม่รวมเข้าเป็นภวังค์ 

สมาธิ นั้นก็เลยเป็น มรรค จนเกิด ปัญญา ขึ้นมา 
ดังที่อธิบายเมื่อครู่นี้ เหตุผลชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในที่เดียว
 จนทอดธุระหมดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งปวดหมด มาอยู่ในที่เดียว
 ธรรมเกิดมาจากที่เดียว ความรู้เกิดจากในที่เดียว 
แจ่มแจ้งในที่เดียวนั้น เลยเป็นวิธีเดินมรรค 
มันต้องเป็นแบบนั้น มันเป็นเองของมัน
ถ้าบางทีอาจจะเกิดพลั้งเผลอ หรืออาจจะเกิดจากสุขภาพไม่ดี หรือมิฉะนั้น
 สมถะ เกิดจากมึนเมาอาหารก็ได้ 
เหตุมีหลายเรื่อง เหตุเหล่านี้จิตรวมดีเหลือเกิน 
ตรงนั้นสงบง่าย เข้าภวังค์ง่ายที่สุด
 ที่เรียกกันว่า โมหะสมาธิ เป็นภาษาสำนวนของนักปฏิบัติ
 แต่แท้ที่จริงก็คือภวังค์นั่นเอง

เหตุนั้นนักปริยัติ หรือปัญญาจารย์ทั้งหลาย
 จึงโทษนักหนาเมื่อจิตเข้าถึงภวังค์
 ก็ว่า อวิชชา โมหะ หลง
 อย่างที่เขาพูดกันพูดในการปาฐกถาทุกวันนี้ (พ.ศ. ๒๕๑๗)
 ทางวิทยุกระจายเสียง เขาโจมตีกันเหลือเกินว่า
 นั่งหลับตาภาวนาเป็นโมหะอวิชชา
 พวกนี้ตายแล้วเกิด นับภพนับชาติไม่ถ้วน
 ไปไหนไม่รอดหรอกพวกนี้ 
จมอยู่นี่แหละพวกโมหะอวิชชา
 ภาวนาหาอวิชชาหรือหาปัญญา เขาถือกันเป็นอย่างนั้น

จริงบางอย่าง แต่ว่าไม่ถูกทั้งหมด
 เดี๋ยวนี้เรากำลังคิดค้นหาความโง่ คือโมหะอวิชชา
 มันจะโง่แบบไหนก็ให้มันเห็นเสียให้หมดเรื่องหมดราว
 แล้วเราจึงจะฉลาด ถ้ามัวแต่กลัวโง่ก็เลยไม่เห็นโง่ 
ไม่รู้จักความโง่นั้นสักที ว่ามันเป็นอย่างไร
 ไม่เห็นโง่ก็เลยไม่ฉลาดเท่านั้นซี
 เรื่องมันอยู่ตรงนั้นแหละ อันที่ว่าไม่ถูกทั้งหมดมันอยู่ตรงนี้

เราจะไปฉลาดรู้ก่อนเกิดอย่างที่พูดกันว่า
 ตายก่อนเกิด มันก็แย่เหมือนกัน 
คำโบราณท่านว่าไว้น่าฟังมาก 
คนตายก่อนเกิดดูเอาเถิดหลานเกิดก่อนยาย มันก็แปลกเหมือนกันนะ
 หลานเกิดก่อนยาย มันก็เข้าทำนองเดียวกันนั่น ยังไม่ทันเกิดก็ตายแล้ว
 ก็เหมือนกันกับหลานเกิดก่อนยาย มันก็พอกันนั่นซี

จึงว่า ให้มันรู้จักความโง่ ให้มันรู้จักความหลง 
มันจะหลงโดยวิธีไหน แบบไหนก็ตาม
 ที่อธิบายมาวิธีทั้งหมดนั่นแหละคือ ทำให้รู้จักความโง่ความหลง
 ค้นคว้าหาความโง่ความหลงนั่น
 จึงว่าทำลงไปมันก็ไปหาความโง่ความหลงนั่นแหละ
 แต่เราจะไปหา ไปรู้ความหลงอย่างที่ว่านั่น รู้ว่ามันคือ เป็นเรื่องสมถะ เรียกว่า ฌาน นั่นเอง

การที่มันติดมันหลงในฌานนี่แหละสำคัญนัก 
ทีนี้เรารู้เรื่องของมันแล้ว 
ทีหลังเราก็จะได้ไม่หลง ไม่ติดฌาน นั่นแหละ ปัญญาเกิดจากความไม่รู้

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงหมด ถ้าผิดเสียก่อนถึงจะทำถูก 
กฎหมายของบ้านเมืองทั้งหลาย ถ้าไม่มีคนทำผิด เขาก็ไม่ตราเป็นกฎหมายขึ้นมา 
พระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน
 ถ้าไม่มีผู้ทำผิด พระองค์ก็ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท 
สิกขาบท ๒๒๗ ข้อล้วนแต่ผิดแล้วจึงทรงบัญญัติ 
ไม่ใช่พระองค์ทรงบัญญัติก่อนผิด 

คณาจารย์ปัญญาจารย์ทั้งหลายสมัยเดี๋ยวนี้ 
ไม่ต้องให้ผิดละ บัญญัติหมด บัญญัติผิดก่อนเลย
 มันไม่ใช่วิสัยของผู้มีปัญญาญาณ
 ผู้ฉลาดนั่นเป็นเรื่องความเห็นของคนบางคน
 จึงว่า พวกเราพากันเรียนให้รู้ถึงเรื่องความโง่ เรื่องความหลงเสีย
ที่อธิบายในวันนี้ เป็นการอธิบายถึงเรื่อง
 ในการภาวนาการดำเนินจิตของเรา มันมี ๓ แนว
 เดินทางสมถะ เดินทางปัญญาวิปัสสนา เดินทางปัญญาโพธิปักขิยธรรม
 วันนี้พูดเฉพาะเรื่อง สมถะ
เอาเพียงเท่านี้เสียก่อน เอาละ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่