เรื่องของเรือเก่าในอดีต

เรือหางแมงป่อง เรือขนสินค้าในอดีตที่ถูกลืม


เรือหางแมงป่องมีบทบาทมากที่สุดในแม่น้ำปิง ผู้โดยสารหรือพ่อค้าที่อยู่ทางภาคกลาง และหัวเมืองฝ่ายเหนือ เช่น ที่เชียงใหม่ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ หรือจังหวัดน่าน ได้อาศัยเรือเหล่านี้เดินทางไปธุระ และค้าขายติดต่อกันเสมอถึง กับขนานนามให้แก่ “เรือหางแมงป่อง” นี้ว่าเป็น “สิงห์แม่น้ำปิง”

เรือนี้เรียกอีกชื่อว่า “เรือแม่ปะ” เป็นเรือที่ใช้รับส่งผู้โดยสาร และบรรทุกสินค้าตามลำแม่น้ำ มีประทุน 2 ตอนอยู่ตรงกลางลำเรือ และที่ท้ายเรือ หางเรือมีลักษณะงอนขึ้นคล้ายหางของแมงป่องจึงถูกเรียกว่า “เรือหางแมงป่อง” 
การเดินทางโดยเรือนี้ ลำน้ำบางแห่งตื้นเขินจนท้องเรือติดทรายใต้ผ้า ลูกเรือต้องช่วยกันลงเป็นเรือเข้าสู่ร่องน้ำ บางแห่งก็เป็นเกาะแก่งซ้ำยังมีโขดหินแหลมคม เรือแต่ละลำจึงต้องมีลูกเรือหลายคน

มีการสันนิษฐานว่า เรือถูกใช้ในสมัย “พระนางจามเทวีแห่งกรุงหริภุญชัย” โดยเป็นเรือที่เจ้านายฝ่ายเหนือใช้ ซึ่งยุคที่ถือได้ว่าเป็นยุคทองของเรือหางแมงป่องนั้น อยู่ในรัชสมัยของ “เจ้าอินทรวิชยานนท์” (เจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ลำดับที่ 7 ) ซึ่งเป็นพระบิดาของ “เจ้าดารารัศมี” ในสมัย “สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงทูลขอเจ้าดารารัศมีไปเป็นชายา พระองค์ทรงสร้าง “เรือหางแมงป่อง” ขึ้นเพื่อให้เจ้าดารารัศมีเสด็จไปยังพระนคร แต่ถัดมาในยุคหลังจากนั้นเรือหางแมงป่องถูกใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่าง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่

เรือหางแมงป่องมีบทบาทมากที่สุดในแม่น้ำปิง ผู้โดยสารหรือพ่อค้าที่อยู่ทางภาคกลาง และหัวเมืองฝ่ายเหนือ เช่น ที่เชียงใหม่ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ หรือจังหวัดน่าน ได้อาศัยเรือเหล่านี้เดินทางไปธุระ และค้าขายติดต่อกันเสมอถึง กับขนานนามให้แก่เรือนี้ว่าเป็น “สิงห์แม่น้ำปิง”

“เรือหางแมงป่อง” ยังถูกดัดแปลงเป็นเรือตามเสด็จ ซึ่งเป็นเรือที่ข้าราชบริพารใช้ตามเสด็จอารักษ์ขา “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ลักษณะคือกลางลำเรือใส่ประทุนไว้บังฝนบังแดดให้ผู้โดยสาร ท้ายเรือเป็นเก๋งไว้เก็บสัมภาระ ใช้เสด็จตามขบวนใน “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทอดพระเนตรกิจการบ้านเมือง ตามเมืองใหญ่น้อย ในพระราชอาณาเขตทั่วทุกเมืองไม่มีเว้น ในราวปี พ.ศ.2444 จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “เรือหางแมงป่อง” นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในสมัยก่อน

เรียบเรียงโดย “เชียงใหม่นิวส์”
ข้อมูลจาก : บุญเสริม สาตราภัย. เสด็จล้านนา 1. กรุงเทพฯ: ทิพย์วิสุทธ์, 2532 และ www.tcdcconnect.com
ภาพจากเพจ กลุ่มเผยแพร่ กรมศิลปากร
Cr.https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/867878




เรือจากทะเลสาบ Nemi 


คาลิกูลา  หนึ่งในสามของจักรพรรดิโรมันที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์  ซึ่งถูกกล่าวหาว่าทำแต่บาปทุกอย่าง เป็นจักรพรรดิที่ชอบความหรูหรา และได้สร้างเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก  คาลิกูลาปกครองอาณาจักรโรมันในช่วงเวลาสั้น ๆ   เขาได้ชื่อว่าจากผู้นำที่โหดร้ายและมีพฤติกรรมประหลาด โดยมีการกล่าวอ้างว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับการรักษาภาพลักษณ์ตลอดเวลา

เขาได้สร้างเรือขนาดใหญ่ขึ้นมาสามลำ  ขณะนั้นถือว่าเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มียาวประมาณ 70 เมตร  กว้าง 20 เมตร ภายในเรือมีอาคารหินที่สวยงาม  มีแถวฝีพาย  และที่เสากระโดงมีใบเรือสีม่วง เรือขับเคลื่อนด้วยพวงมาลัยขนาดใหญ่สี่ตัวที่มีความยาว 11.3 เมตร ลอยลำอยู่เหนือทะเลสาบเนมิซึ่งถือว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวโรมัน 




นักประวัติศาสตร์อธิบายเรือเหล่านี้ว่า
“ ... พายแจวสิบแถว…เรือแต่ละลำส่องประกายด้วยอัญมณี ... มีห้องอาบน้ำ  แกลเลอรี่และร้านเสริมสวยมากมาย  มีต้นองุ่นและไม้ผลหลากหลายสายพันธุ์เติบโตขึ้น”

เรือแต่ละลำตกแต่งด้วยหินอ่อนกระเบื้องโมเสคและกระเบื้องทองแดงปิดทอง เรือได้รับการติดตั้งระบบประปาน้ำร้อนไหลจากก๊อก ส่วนต่าง ๆ ของระบบน้ำประปาถูกตกแต่งอย่างหรูหราด้วยหัวของหมาป่าสิงโตสัตว์ในตำนาน

ในปีสุดท้ายของการครองบัลลังก์  คาลิกูลาถูกลอบสังหาร ไม่นานหลังจากนั้น“ เรือสำราญ” ของเขาที่สร้างขึ้นมาในเวลาเมื่อไม่กี่ปี ก็ถูกแย่งชิงสิ่งของมีค่าไปเกือบหมดและถูกทำให้จมอยู่ใต้ทะเลสาปนั้นเอง ในศตวรรษต่อมาพวกมันถูกลืมเลือน   เวลาผ่านไปในศตวรรษที่สิบห้า  มีข่าวลือเกี่ยวกับการมีอยู่ของสิ่งที่“ น่าสนใจ” ใต้น้ำของทะเลสาบเนมิในปี 1842  แต่ความลับของเรือคาลิกูลาก็ยังไม่ถูกเปิดเผย 


ในปี ค.ศ. 1920 เบนิโตมุสโสลินี ผู้นำชาวอิตาเลียนสั่งให้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุลึกลับ โดยมีความพยายามระบายน้ำในทะเลสาบ และพบว่าใต้ทะเลสาปมีเรือสองลำจมโคลนอยู่   ความยาว 70 และ 73 เมตรตามลำดับ  และพบวัตถุสีทองมากมาย รวมทั้งรูปปั้นและของประดับตกแต่ง  มีการยืนยันว่าเรือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับจักรพรรดิคาลิกูลา  สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่นี้ถูกย้ายไปที่โรงเก็บเครื่องบินและพิพิธภัณฑ์ แต่น่าเสียดายที่ระหว่างการต่อสู้ในปี 1944 พิพิธภัณฑ์ถูกทำลายและเรือทั้งสองลำถูกไฟไหม้บางส่วน

ยังไม่ชัดเจนนักว่าทำไมคาลิกูลาจึงต้องการเรือขนาดใหญ่และหรูหราในทะเลสาบขนาดเล็ก ตามสมมติฐานบางอย่างเรือถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่จักรพรรดิและผู้ติดตามของเขา
Cr.https://skudelnica.ru/th/psihologiya/korabli-iz-ozera-nemi-korabl-dlya-udovolstvii-kak-razvlekalsya.html




Equihen Plage หมู่บ้านบ้านเรือคว่ำในฝรั่งเศส


Equihen Plage เป็นหมู่บ้านริมทะเลขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส เหตุที่เรียกว่า หมู่บ้านบ้านเรือคว่ำ (Equihen Plage) ก็เพราะว่า ในอดีตต้นทศวรรษ 1900 หมู่บ้านแห่งนี้ทำอาชีพประมง เมื่อเรือเก่าหรือชำรุดเสียหาย ก็จะลากขึ้นมาไว้บนฝั่ง ซึ่งมันก็มีจำนวนมาก คนในหมู่บ้านก็เกิดไอเดียนำรือมาทำเป็นที่อยู่อาศัย โดยการพลิกให้หงายท้อง และลากเรือเหล่านั้นขึ้นบนฝั่ง

แต่พอเวลาผ่านไปหมู่บ้านเหล่านี้ก็ถูกลืมเลือน ทางรัฐบาลจึงเร่งฟื้นฟู บำรุงซ่อมแซม เพื่อรักษาหนึ่งในมรดกโลกและประวัติศาสตร์แห่งนี้ไว้ และทำให้หมู่บ้านเรือคว่ำ Equihen Plage แห่งนี้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกครั้ง ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก




นี่คือกระท่อมไม้ที่ทำมาจากเรือตกปลาเก่า เรียงรายอยู่ตามบริเวณชายฝั่งของเกาะลินดิสฟาร์น (Lindisfarne) หรือที่รู้จักการในชื่อเกาะศักดิ์สิทธิ์ (Holy Island)  แต่กระท่อมเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อการอยู่อาศัย แต่เพื่อเอาไว้เก็บอุปกรณ์และของใช้สำหรับการออกหาปลา

กระท่อมในลักษณะนี้ เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ 1908 ซึ่งคนที่คิดค้นกระท่อมจากเรือตกปลาเก่าเป็นคนแรก ก็คือ Sir Edwin Lutyens สถาปนิกที่เคยสร้างบ้านและอนุสรณ์มากมายบนเกาะอังกฤษ  ในปัจจุบัน กระท่อมจากเรือเก่าส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยองค์กรอิสระ National Trust ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่มีจุดประสงค์ในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของอังกฤษ และก็ได้เปิดให้ผู้คนทั่วไปได้เข้าเยี่ยมชมอีกด้วย

source : www.amusingplanet.com
Cr.https://travel.mthai.com/world-travel/157283.html / By  jasminta
Cr.http://www.naibann.com/blog/sheds-built-from-fishing-boat/  โดย Wi Naibann




เรือปานามา เกยตื้นหาดชลาทัศน์ บทเรียนที่ไม่ควรถูกลืม


 เรือปานามา บางคนอาจจะไม่รู้เรื่องของเรือลำนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537 พายุได้ซัด  เรือจีน่าร์-2 (Genar-II) สัญชาติปานามา เข้ามาเกยตื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ด้านเหนือของชุมชนบ้านเก้าเส้ง  หลังจากนั้นไม่นานชายหาดด้านทิศเหนือของตัวเรือก็เกิดการกัดเซาะ เนื่องจากลำเรือไปขวางทิศทางของตะกอนทรายชายฝั่ง ในขณะที่ทางทิศใต้ของเรือนั้นเกิดการทับถมของตะกอนทรายจำนวนมหาศาล
 
ปรากฏการณ์ช้างต้นสามารถอธิบายได้จากทฤษฎีกระบวนการของชายฝั่งทะเลที่ว่า ชายฝั่งประกอบด้วยหาดทรายและสันดอนใต้น้ำซึ่งเป็นบริเวณที่คลื่นเริ่มแตกในช่วงฤดูมรสุมที่คลื่นลมแรง หาดทรายจะถูกกัดเซาะและทรายถูกหอบออกสู่ทะเลไปกองเป็นสันดอนใต้น้ำ แต่เมื่อถึงฤดูคลื่นลมสงบ คลื่นเดิ่งจะพัดพาทรายที่สันดอนนั้นถมกลับสู่ฝั่ง ก่อตัวเป็นหาดทรายดังเดิมดังแสดงในรูปซึ่งจะเห็นได้ว่า รูปร่างของชายหาดจะสมดุลด้วยตัวเองตามฤดูกาล เรียกว่า “ สภาวะสมดุลพลวัต ”

 การที่คลื่นแตกใกล้ชายฝั่งจะก่อให้เกิดกระแสน้ำที่พัดพาตะกอนทรายให้เคลื่อนที่ลัดเลาะไปตามชายฝั่ง ในกรณีชายฝั่งสงขลาพบว่าทรายจะมีทิศทางการเคลื่อนที่สุทธิไปทางทิศเหนือ ดังนั้นเมื่อมีสิ่งกีดขวางกระบวนการเคลื่อนที่นี้ เช่น การสร้างเขื่อนหรือคันกันทรายริมชายฝั่ง ทรายก็จะไหลมาติดกับเขื่อนฯเหล่านั้น ทำให้ชายหาดด้านถัดไปขาดแคลนทรายที่จะมาหล่อเลี้ยง ผลลัพธ์ก็คือ หาดทรายจะถูกกัดเซาะอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็พังทลายซึ่งยากต่อการแก้ไข




หลักฐานจากภาพถ่ายในปี พ.ศ.2538 หลังจากที่เกิดเหตุเรือปานามาได้เกยตื้น ประจักษ์ชัดว่าหาดทรายทางด้านเหนือของซากเรือถูกกัดเซาะอย่างฉับพลัน

หลังจากนั้นไม่นานทางราชการได้สั่งรื้อถอนซากเรือลำนี้ออกพ้นไปจากชายหาดชลาทัศน์ คลื่นก็ได้ทำหน้าที่พัดพาเม็ดทรายที่กองทับถมนั้น กลับคืนสู่ชายหาดชลาทัศน์ที่สวยงามทอดยาวเป็นแนวตรงดังเดิม ดังภาพที่ถ่ายไว้ในปี พ.ศ 2544
 
จากเหตุการณ์เรือปานามาเกยตื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ในครั้งนั้น เปรียบเสมือนการสร้างเขื่อนหรือคันดักทรายในปัจจุบันที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ดังนั้นยิ่งสร้างเขื่อนที่ชายฝั่ง ก็จะยิ่งเร่งให้เกิดการกัดเซาะหาดทราย ถ้าไม่มีเขื่อนหรือสิ่งกีดขวางที่มนุษย์นำไปรบกวนสมดุลธรรมชาติ ไม่นานหาดทรายก็จะกลับสู่สภาพเดิม

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย พิชญวัฒน์ ลิ้มรัชชานนท์ 
Cr.https://www.gotoknow.org/posts/550388


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่