'ยุทธพงศ์'วอน'บิ๊กตู่'ชะลอ ซื้อเรือดำน้ำสู้โควิด-19ก่อน
https://www.dailynews.co.th/politics/767210
ส.ส.โจ้ วอนนายกฯตู่ ชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำ2 ลำช่วยชาวบ้านให้พ้นภัย โควิด-19ก่อน และหยุด”ลักไก่”ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ออกไปอีก 40 ปี
เมื่อวันที่ 5 เม.ย. นาย
ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร หรือส.ส.โจ้ ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยกับเดลินิวส์ออนไลน์ ว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างผลกระทบ ต่อปัญหาปากท้องของประชาชนอย่างรุนแรง จึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำใหม่ จากประเทศจีนจำนวน 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท (ราคาลำละ 11,250.-ลบ.) เพราะในขณะนี้ ประชาชนกำลังเดือดร้อน จากปัญหาความอดอยาก และความยากจน เป็นผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 เพราะเรือดำน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ใน พรบ.งบฯปี2563 ก็สามารถชะลอการจัดซื้อได้ ตนแปลกใจอย่างยิ่ง ว่าทำไม พล.อ.
ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ถึงไม่ยอมที่จะตัดงบฯ การจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ทั้งๆ เป็น เรื่องที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรเลย ตลอดจนเรือดำน้ำลำแรกที่ สั่งซื้อไปกว่าจะได้รับการส่งมอบก็อีก 3 ปีข้างหน้า คือปี พ.ศ.2566
นาย
ยุทธพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ตนได้ทราบมาว่าทางพล.อ.
ประยุทธ์ กำลังจะลักไก่ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 นำโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อขยายฯสัมปทานรถไฟฟ้า ให้กับ บริษัท BTS ออกไปอีก 40 ปี เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในสัปดาห์หน้า , โดยอาศัยช่วงที่ ปชช.กำลังเดือดร้อนจากปัญหาฯ โรคระบาดโควิด-19 , ผ่านเรื่องดังกล่าวฯ ทั้งๆ ที่ เป็นเรื่องที่มีข้อครหา ถึง ความไม่โปร่งใส และ มีการใช้ ม.44 มาช่วยในการขยายสัมปทานให้กับ บ.BTS ออกไปอีก 40 ปี
'กมธ.ปราบโกง' ชี้กักตุนหน้ากากโยงจนท.รัฐ จับพิรุธ แค่ 3 วันส่งไปตปท.เพิ่ม 44% แฉมีผลประโยชน์ในตลาดมืดหลายพันล้าน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2123598
เมื่อวันที่ 4 เมษายน นาย
ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการกักตุนหน้ากากอนามัยว่า ในวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมาธิการชุดที่2ที่มีตนเป็นประธานได้สรุปข้อมูลเบื้องต้นเรื่องการกักตุนหน้ากากอนามัย ภายหลังจากที่เชิญหน่วยงานต่างๆมาให้ข้อมูลอาทิ พล.ต.อ.
จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นาย
อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เหลือเพียงข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ที่ยังไม่ได้มาให้ข้อมูลต่ออนุกมธ. เบื้องต้นพอจะสรุปข้อมูลได้ว่า มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่า มีกระบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย อาจเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ หลังจากนี้อนุกมธ.จะนำข้อมูลที่ได้ไปหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมโยงไปถึงตัวบุคคลว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง
นาย
ธีรัจชัย กล่าวว่า ข้อมูลน่าสงสัยที่อนุกมธ.ตรวจสอบพบเบื้องต้นคือ
1. การส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่าง ประเทศที่ในช่วงวันที่ 1-3กุมภาพันธ์ 2563 พบว่า มีตัวเลขการส่งออกมากกว่าปกติถึง 44% ถือว่าผิดปกติ อาจเชื่อมโยงไปถึงประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 4กุมภาพันธ์ 2563 ที่ห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยเกิน 500 ชิ้น จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่บริษัทผู้ผลิตต่างๆรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่า ในวันที่ 4กุมภาพันธ์ จะมีออกประกาศดังกล่าว จึงเร่งส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศ และอาจเชื่อมโยงไปก่อนหน้านี้ที่คนในรัฐบาลระบุว่า มีสต๊อกหน้า กากอนามัย 200ล้านชิ้น แต่ขณะนี้ไม่รู้ว่าหน้ากากอนามัย 200ล้านชิ้น หายไปไหน ซึ่งต่อมาอธิบดีกรมการค้าภายในปฏิเสธว่า มีกำลังการผลิตเพียงแค่ 1.2แสนชิ้นต่อวัน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ระบุว่า จำนวน 200ล้านชิ้นเป็นเพียงแค่วัตถุดิบ ดังนั้นข้อมูลที่หน่วยงานรัฐพูดไม่ตรงกัน
นาย
ธีรัจชัย กล่าวว่า
2. อนุกมธ.สงสัยว่า จำนวนการผลิตหน้ากากอนามัยของบริษัทต่างๆน่าจะมีกำลังการผลิตมากกว่า 1.2ล้านชิ้นต่อวัน เห็นได้จากจำนวนมิเตอร์ค่าไฟฟ้าของโรงงานผลิตหน้ากากที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกัน นาย
วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โรงงานต่างๆมีการเพิ่มยอดการผลิตหน้ากากเป็น 2.3 ล้านชิ้นต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านชิ้น หายไปไหน อนุกมธ.เชื่อว่า หน้ากากอนามัยผลิตออกมาอย่างเพียงพอ แต่ไม่ถูกส่งไปขายในตลาดทั่วไป แต่นำไปขายในตลาดมืดตามโลกออนไลน์ในราคาแพงเกินจริง ขั้นต่ำชิ้นละ 15 บาท จากต้นทุนชิ้นละ 2บาท และหากมีการนำสต๊อกหน้ากาก 200ล้านชิ้น ไปขายในตลาดมืดร่วมด้วย เชื่อว่าน่าจะมีผลประโยชน์จากการกักตุนหน้ากากอนามัยไปขายเป็นจำนวนเงินหลายพันล้านบาท ขณะนี้อนุกมธ.เห็นจิ๊กซอว์ต่างๆหมดแล้ว เหลือแค่เชื่อมโยงหาหลักฐานไปถึงตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ยังต้องรอข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ที่ยังไม่ส่งให้กมธ. ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญ อาทิ ข้อมูลกำลังการผลิตหน้ากากอนามัย 11แห่ง ในแต่ละวัน ข้อมูลการจัดสรรหน้ากากอนามัยไปให้หน่วยงานต่างๆแต่ละวัน รวมถึงสต๊อกหน้ากาก 200 ล้านชิ้นมีจริงหรือไม่
JJNY : ยุทธพงศ์วอนตู่ชะลอ ซื้อเรือดำน้ำ/กมธ.ปราบโกงชี้กักตุนหน้ากากโยงจนท.รัฐ/วันนอร์จี้เร่งใช้งบ/SMEsรับมือโควิดไม่ไหว
https://www.dailynews.co.th/politics/767210
ส.ส.โจ้ วอนนายกฯตู่ ชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำ2 ลำช่วยชาวบ้านให้พ้นภัย โควิด-19ก่อน และหยุด”ลักไก่”ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ออกไปอีก 40 ปี
เมื่อวันที่ 5 เม.ย. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร หรือส.ส.โจ้ ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยกับเดลินิวส์ออนไลน์ ว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างผลกระทบ ต่อปัญหาปากท้องของประชาชนอย่างรุนแรง จึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำใหม่ จากประเทศจีนจำนวน 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท (ราคาลำละ 11,250.-ลบ.) เพราะในขณะนี้ ประชาชนกำลังเดือดร้อน จากปัญหาความอดอยาก และความยากจน เป็นผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 เพราะเรือดำน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ใน พรบ.งบฯปี2563 ก็สามารถชะลอการจัดซื้อได้ ตนแปลกใจอย่างยิ่ง ว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ถึงไม่ยอมที่จะตัดงบฯ การจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ทั้งๆ เป็น เรื่องที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรเลย ตลอดจนเรือดำน้ำลำแรกที่ สั่งซื้อไปกว่าจะได้รับการส่งมอบก็อีก 3 ปีข้างหน้า คือปี พ.ศ.2566
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ตนได้ทราบมาว่าทางพล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะลักไก่ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 นำโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อขยายฯสัมปทานรถไฟฟ้า ให้กับ บริษัท BTS ออกไปอีก 40 ปี เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในสัปดาห์หน้า , โดยอาศัยช่วงที่ ปชช.กำลังเดือดร้อนจากปัญหาฯ โรคระบาดโควิด-19 , ผ่านเรื่องดังกล่าวฯ ทั้งๆ ที่ เป็นเรื่องที่มีข้อครหา ถึง ความไม่โปร่งใส และ มีการใช้ ม.44 มาช่วยในการขยายสัมปทานให้กับ บ.BTS ออกไปอีก 40 ปี
'กมธ.ปราบโกง' ชี้กักตุนหน้ากากโยงจนท.รัฐ จับพิรุธ แค่ 3 วันส่งไปตปท.เพิ่ม 44% แฉมีผลประโยชน์ในตลาดมืดหลายพันล้าน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2123598
เมื่อวันที่ 4 เมษายน นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการกักตุนหน้ากากอนามัยว่า ในวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมาธิการชุดที่2ที่มีตนเป็นประธานได้สรุปข้อมูลเบื้องต้นเรื่องการกักตุนหน้ากากอนามัย ภายหลังจากที่เชิญหน่วยงานต่างๆมาให้ข้อมูลอาทิ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เหลือเพียงข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ที่ยังไม่ได้มาให้ข้อมูลต่ออนุกมธ. เบื้องต้นพอจะสรุปข้อมูลได้ว่า มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่า มีกระบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย อาจเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ หลังจากนี้อนุกมธ.จะนำข้อมูลที่ได้ไปหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมโยงไปถึงตัวบุคคลว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง
นายธีรัจชัย กล่าวว่า ข้อมูลน่าสงสัยที่อนุกมธ.ตรวจสอบพบเบื้องต้นคือ
1. การส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่าง ประเทศที่ในช่วงวันที่ 1-3กุมภาพันธ์ 2563 พบว่า มีตัวเลขการส่งออกมากกว่าปกติถึง 44% ถือว่าผิดปกติ อาจเชื่อมโยงไปถึงประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 4กุมภาพันธ์ 2563 ที่ห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยเกิน 500 ชิ้น จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่บริษัทผู้ผลิตต่างๆรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่า ในวันที่ 4กุมภาพันธ์ จะมีออกประกาศดังกล่าว จึงเร่งส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศ และอาจเชื่อมโยงไปก่อนหน้านี้ที่คนในรัฐบาลระบุว่า มีสต๊อกหน้า กากอนามัย 200ล้านชิ้น แต่ขณะนี้ไม่รู้ว่าหน้ากากอนามัย 200ล้านชิ้น หายไปไหน ซึ่งต่อมาอธิบดีกรมการค้าภายในปฏิเสธว่า มีกำลังการผลิตเพียงแค่ 1.2แสนชิ้นต่อวัน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ระบุว่า จำนวน 200ล้านชิ้นเป็นเพียงแค่วัตถุดิบ ดังนั้นข้อมูลที่หน่วยงานรัฐพูดไม่ตรงกัน
นายธีรัจชัย กล่าวว่า
2. อนุกมธ.สงสัยว่า จำนวนการผลิตหน้ากากอนามัยของบริษัทต่างๆน่าจะมีกำลังการผลิตมากกว่า 1.2ล้านชิ้นต่อวัน เห็นได้จากจำนวนมิเตอร์ค่าไฟฟ้าของโรงงานผลิตหน้ากากที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โรงงานต่างๆมีการเพิ่มยอดการผลิตหน้ากากเป็น 2.3 ล้านชิ้นต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านชิ้น หายไปไหน อนุกมธ.เชื่อว่า หน้ากากอนามัยผลิตออกมาอย่างเพียงพอ แต่ไม่ถูกส่งไปขายในตลาดทั่วไป แต่นำไปขายในตลาดมืดตามโลกออนไลน์ในราคาแพงเกินจริง ขั้นต่ำชิ้นละ 15 บาท จากต้นทุนชิ้นละ 2บาท และหากมีการนำสต๊อกหน้ากาก 200ล้านชิ้น ไปขายในตลาดมืดร่วมด้วย เชื่อว่าน่าจะมีผลประโยชน์จากการกักตุนหน้ากากอนามัยไปขายเป็นจำนวนเงินหลายพันล้านบาท ขณะนี้อนุกมธ.เห็นจิ๊กซอว์ต่างๆหมดแล้ว เหลือแค่เชื่อมโยงหาหลักฐานไปถึงตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ยังต้องรอข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ที่ยังไม่ส่งให้กมธ. ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญ อาทิ ข้อมูลกำลังการผลิตหน้ากากอนามัย 11แห่ง ในแต่ละวัน ข้อมูลการจัดสรรหน้ากากอนามัยไปให้หน่วยงานต่างๆแต่ละวัน รวมถึงสต๊อกหน้ากาก 200 ล้านชิ้นมีจริงหรือไม่